ฝ่ามือแกร็งแน่นของหญิงสาวตวัดลงบนหน้าของเขาอีกถึงสองครั้งสองคราวแต่ใบหน้าคมคร้ามกลับดูราวกับว่าไม่สะทกสะท้านไม่ว่าเธอจะใช้แรงตอกกลับไปหนักหน่วงแค่ไหน ก็แค่แรงผู้หญิงที่กำลังอ่อนแอ เธอคิดว่าเขาจะเจ็บแต่เปล่าเลย มันแค่ทำให้แมทเทียสลั่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆๆๆ...ฮ่าๆๆๆๆ”
“แมท...คุณบ้าไปแล้ว...คุณต้องเป็นบ้าไปแล้ว”
ลักษณ์นาราถอยหลังห่างไปก็เพียงชนกับเก้าอี้ เสียงหัวเราะของแมทเทียสเหมือนคมแก้วบาดลึกและกรีดซ้ำลงบนความชอกช้ำกลัดหนอง เธอร้องไห้อย่างสิ้นหวังขณะร่างสูงผละห่างและทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม สิ้นเสียงหัวเราะเขาจึงลูบแก้มเบา ๆ ด้วยหลังมือ นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยฤทธิ์ของความคั่งแค้น ชายหนุ่มเลียริมฝีปากและจ้องเธอราวกับจอมซาตานกระหายวิญญาณที่กำลังหวั่นหวาด
“ผมเป็นบ้าตั้งแต่วันที่คุณพาลูกหนีกลับเมืองไทย และขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าท้าทายผมให้มาก ลิลลี่...ไม่อย่างนั้นคุณจะเจอมากกว่าที่เจอวันนี้”
ลักษณ์นาราส่ายหน้าทั้งน้ำตา เธอกำมือข้างที่ตบหน้าเขาแน่น รู้สึกหายใจขัดเพราะแรงบีบคั้นทางอารมณ์ทั้งจากสายตาเอาเรื่องและคำพูดที่ไม่หลงเหลือเยื่อใยของคนเคยรัก เธอเคยรักเขามากเท่าไหร่ถึงวันนี้ก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง หากแมทเทียสได้กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้วสำหรับหญิงสาวโดยสมบูรณ์ รอยยิ้มเหยียดบนมุมปากหยักขณะร่างสูงโน้มตัวมาเบื้องหน้า
“ผมจะ...”
“ฉันจะไปหาลูก”
ลักษณ์นารารีบลุกขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อเห็นเขาขยับตัวเพียงเล็กน้อย ยอมรับว่าตอนนี้เธอเหมือนคนเป็นประสาทอ่อน ๆ หวาดระแวงและกลัวไปหมดว่าแมทเทียสจะทำอะไรรุนแรงกับเธอเหมือนอย่างที่เขาทำเมื่อครู่ ชายหนุ่มแค่มองและเอนหลังพิงเก้าอี้ เขาผายมือไปทางประตูเคบินซึ่งเป็นห้องนอนของลูกสาวตัวน้อยด้วยสีหน้าเยือกเย็นทว่าแววตากลับอาบด้วยความเย้ยหยัน ร่างบอบบางรีบหันหลังให้และก้าวเท้าเร็ว ๆ กลับเข้าไปในห้องนั้น เมื่อประตูเคบินปิดลงแมทเทียสจึงยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับใต้ริมฝีปากและต้องผงะเมื่อเห็นคราบเลือดติดบนผ้าเพราะไม่ใช่รอยเล็กน้อยอย่างที่เขาคิด
“คุณแมทเทียส...โอ๊ะ!...เลือด...เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เสียงแอร์โฮสเตสสาวประจำเครื่องบินส่วนตัวคอสแทนทิโนดังขึ้นเมื่อเธอก้าวเข้ามาและเห็นผ้าเช็ดหน้าในมือของชายหนุ่มมีคราบสีแดงเถือกหลายจุด เธอถามด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ คุณล้มหรือว่าโดนอะไรบาด เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าคะ ทำไมรอยเลือดถึงได้เปื้อนผ้าเช็ดหน้าอย่างนั้น”
“ไม่มีอะไรหรอก” เขาปฏิเสธพร้อมส่ายหน้า “บาดแผลแค่เล็กน้อย”
“ดิฉันจะเข้ามาถามว่าต้องการอะไรบ้างหรือเปล่าคะ อาหารว่างหรือเอสเปรสโซ่สักแก้ว”
“ผมไม่ต้องการอะไรตอนนี้ ถ้าอยากได้จะเรียกเอง”
“ค่ะ”
เธอรับคำแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองผ้าเช็ดหน้าในมือชายหนุ่มอีกครั้งก่อนเดินกลับออกไป ปล่อยให้แมทเทียสนั่งระบายลมหายใจก่อนที่เขาจะพับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเก็บลงในกระเป๋าเสื้อสูทแต่สายตายังคงจ้องนิ่งไปยังประตูเคบินที่ปิดสนิทขณะภายในห้องลักษณ์นาราเข้าไปนั่งอยู่ข้างเตียงเล็กที่ลักษมีนอนกอดกระเป๋าใส่ตุ๊กตาหลับปุ๋ย
หญิงสาวนั่งหอบและพยายามสกัดกลั้นเสียงสะอื้นเพราะกลัวลูกจะตื่นขึ้นมาเห็น น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งไหลเหมือนไม่มีสิ้นสุด หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองว่าเธอจะหยุดความเจ็บช้ำนี้ได้อย่างไร เธอจะหนีจากผู้ชายใจร้ายอย่างแมทเทียสไปไหนได้ หากไม่มีลูกเธอก็ไม่ลังเลใจเลยที่จะหลบหน้าเขาไปสุดขอบฟ้า หากไม่มีบ่วงรักของหัวใจดวงน้อยเธอคงตัดสินทำอะไรได้มากกว่านี้ และความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่าถูกทำร้ายให้เจ็บตัวคือจิตใต้สำนึกที่ร้องบอกเธอตลอดเวลาว่าแมทเทียส คอสแทนทิโนคือผู้ให้กำเนิดเด็กแฝดหน้าตาน่ารักน่าชังทั้งสอง ร่างบอบบางขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงครางเล็ก ๆ ของลูกน้อย
“ปุนต์”
ลักษณ์นาราเลื่อนตัวขึ้นไปบนเตียงและเห็นทั้งลูกชายและลูกสาวตัวน้อยบิดตัวไปมา เด็กทั้งสองมีนิสัยอย่างหนึ่งนั่นคือชอบนอนละเมอ บางครั้งเป็นฝันร้ายที่เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดลูกตัวแค่นี้ถึงได้มองเห็นตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางความมืดและเปลี่ยวเหงาในความฝัน ทั้งสองมักมีนิมิตตรงกันและชอบแย่งกันเล่าให้แม่ฟังเสมอ มันอาจหมายถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยว เป็นความปรารถนาและโหยหาวันที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของพ่อพร้อมหน้าแม่ โดยเฉพาะปุนต์ที่มักบอกเธอเสมอว่ารักพ่อแค่ไหน หญิงสาวขยับเข้าไปและโอบกอดร่างเล็กทั้งสองไว้ก่อนก้มลงไปหาและร้องเพลงกล่อมเบา ๆ สักครู่เปลือกตาบอบบางบนใบหน้าของลักษมีที่นอนกอดน้องไว้ซึ่งเป็นสิ่งที่แฝดพี่ทำอยู่เป็นนิจก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น
“มี๊ขา...”
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอลูก?”
ลักษมีพยักหน้าแต่แล้วคิ้วบางก็ย่นเข้าหากันขณะเอียงหน้าจ้องมารดาด้วยแววตาใสซื่อ มือเล็ก ๆ เลื่อนมาแตะบนริมฝีปากของลักษณ์นาราขณะที่น้องยังหลับเอาหน้าซุกอยู่กับไหล่ของพี่สาว
“มี๊ขา...ปากมี๊...มีสีแดง”
ลักษณ์นาราออกอาการตกใจเมื่อลูกสาวทักด้วยความไม่รู้เดียงสา หญิงสาวลูบปากที่บวมเจ่อเบา ๆ เมื่อครู่เธอลืมนึกถึงความเจ็บแปลบที่ริมฝีปากและเมื่อตั้งสติได้เธอจึงยิ้มกับลูกน้อย
“มี๊ขาสะดุดขาเก้าอี้หกล้มค่ะ”
“จริงหรา...มี๊ขาระวังซีคะ...เจ็บมากมั้ย”
“ไม่ค่ะ”
“มามะ...ปั๊บเป่าให้นะ”
หนูน้อยทำปากจู๋ ลักษณ์นาราใจหายและเผลอร้องไห้ออกมาเมื่อลักษมีโอบกอดเธอด้วยแขนเล็ก ๆ ราวจะปลอบประโลมแม่ โอ...ลูกจ๋า แม่ไม่อยากคิดเลยว่านี่จะเป็นการได้กอดลูกด้วยความรักก่อนที่เธอจะไมได้ทำมันเหมือนก่อนอีกแล้ว และพอเห็นหยดน้ำหล่นจากตาของแม่เด็กหญิงจึงทำหน้าเบ้
“เห็นม้ายคะว่ามี๊ขาเจ็บ มี๊ขาร้องไห้”
“เอ้อ...”
“ก้มหน้ามาคะ...ปุ๊บปั๊บ...เป่าให้ ๆ”
ลักษณ์นาราก้มหน้าลงไปและตระกองกอดร่างน้อยไว้ในอ้อมแขนด้วยรักสุดหัวใจเพื่อให้ลักษมีเป่าที่ริมฝีปากของเธอเบา ๆ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะแนบปากกับปากเล็กอย่างอ่อนโยน จูบทุกที่บนใบหน้าของลูกสาว ปาก แก้มนวลนุ่ม จมูกรั้นเล็กและเปลือกตาแสนบอบบางก่อนจะกระซิบเบา ๆ ว่า
“โอเคค่ะ มี๊ขาหายเจ็บแล้ว”
“เห็นม้ายคะว่าปุ๊บปั๊บเก่ง”
“หนูเก่งที่สุดค่ะ แต่...เอ...หนูยังไม่ได้บอกมี๊ขาเลยว่าเมื่อกี๊หนูฝันร้าย ฝันว่าไงคะ”