ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเบาๆ ในยามดึกทำให้ร่างเล็กผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ หันไปมองลูกชายที่นอนอยู่อีกมุมของห้องที่ยังหลับปุ๋ย ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเธอยังลังเลที่จะเดินไปเปิดประตู แต่ครั้นนึกได้ว่าจะเปิดหรือไม่ คนที่อยู่หลังประตูก็สามารถเข้ามาในห้องนี้ได้อยู่ดีถ้าเพียงเขาต้องการ นั่นจึงทำให้เธอเดินแผ่วเบาไปเปิดประตูให้เขา
และทันทีที่สิ่งกีดขวางหายไป คนมาเยือนยามวิกาลก็รีบดันร่างเล็กเข้าไปในห้อง กระชากประตูปิดล็อกกลอนอย่างว่องไว แล้วช้อนอุ้มร่างบอบบางพาไปวางลงบนเตียงอย่างเร็วรี่
“อย่าทำแบบนี้นะคะคุณสาม”
มือบางดันอกเขาไว้พัลวัน เมื่อคนที่มาเคาะประตูห้องยามดึกไม่พูดพร่ำทำเพลง กระโจนใส่เธออย่างกับเสือที่ซุ่มดักรอเหยื่อมานานจนหิวซก
“ทำไม” เขาชะงักก่อนจะถามเสียงต่ำ ทำให้คนฟังรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังไม่พอใจ
“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“งั้นฉันคงต้องทำให้เธอดูว่าเราเป็นสินะ”
เขาทำท่าจะก้มลงมาหาอีก แต่เธอก็ยกมือขึ้นปิดปากหยักไว้
“คุณแต่งงานแล้วนะคะ”
“แล้วไง ฉันไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนนั้นสักครั้ง ที่ฉันยอมแต่งก็เพราะฉันต้องการอยู่กับเธอ ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นอยากแต่งกับฉันมากจนตัวสั่นและใครๆ ก็เห็นดีเห็นงามด้วย ฉันก็ยอมแต่งแล้วไง จะมาเรียกร้องอะไรอีก ความรักของฉันไม่ได้มีเรี่ยราด ฉันรักเธอ ก็หมายความว่าฉันมีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น”
หญิงสาวน้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน หมดคำพูดจะเอ่ยอ้างปฏิเสธเขา ได้แต่อ่อนระทวย เปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่น ยอมตามใจให้เขาดึงทึ้งเสื้อผ้าออกไปจนหมด
คุณเล็ก หรือ คุณสามของเธอยิ้มชอบใจเมื่อเห็นคนตัวเล็กสิ้นฤทธิ์ในอ้อมแขน
เขากดจูบที่ซอกคอขาวผ่องเบาๆ ทำท่าจะเลื่อนลงมาหาอกอวบอิ่มที่ยังคงพองใหญ่เนื่องจากต้องให้น้ำนมลูกชาย อีกนิดที่ปากหนาจะก้มลงมาสัมผัสได้อยู่แล้ว
“อย่าค่ะ เดี๋ยวลูกตื่น”
คำเตือนนั้นทำให้เขาหันไปมองที่มุมห้อง ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจลูก แต่ความคิดถึงเมียมันก็มากล้นเหลือเกิน
ชายหนุ่มยอมก้าวลงจากเตียง เสื้อผ้าบนตัวเขายังอยู่ครบแม้จะยุ่งยับไปหน่อยจากเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ตาม
“ไง ไอ้เสือน้อยของพ่อ” เสียงทุ้มเอ่ยนุ่มนวลพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก ใจอยากจะยกร่างเล็กขึ้นมากอดและหอมแก้มสักฟอด แต่ก็กลัวไอ้ตัวเล็กจะตื่นมางอแง จึงได้แต่ก้มลงหอมหน้าผากเล็กนั้นเบาๆ
คนเป็นเมียและแม่ของลูกผุดขึ้นมานั่ง พร้อมกับรวบผ้าห่มมาปิดบังเรือนร่างอวบอิ่มไว้ หากก็ไม่พ้นสายตาเขาที่ตวัดกลับมามองจนทันเห็น
ร่างสูงลุกขึ้นเดินห่างออกมาจากเปลของลูกชาย เขาเดินกลับมาที่เตียงช้าๆ พร้อมกับปลดกระดุมเสื้อนอนแบบเชิ้ตไปด้วย ทีละเม็ด ทีละเม็ด
เร้าอารมณ์คนมองชะมัด!
“ไม่ใช่ไม่เคยเห็นนะ” น้ำเสียงเขามีแววขบขันเมื่อเห็นดวงตากลมโตยิ่งโตเข้าไปใหญ่
“คุณสามบ้า” สาวน้อยที่กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวว่าแค่นั้น ก่อนจะล้มตัวลงนอนหันหลังให้เขาพร้อมกับดึงผ้าห่มคลุมโปง แต่ก็ถูกเขาจับพลิกกายให้มานอนหงาย พร้อมกับร่างแกร่งที่คร่อมอยู่ด้านบน โดยที่เขาก็อยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับเธอ มุดเข้ามาได้!
“หนูง่วงแล้วนะคะ วันนี้ลูกชายคุณงอแงทั้งวัน”
“ก็นอนไปสิ ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
“คุณสามก็ปล่อยสิคะ”
“ขออย่างอื่นเถอะ”
เขาว่าแค่นั้นแล้วก็ก้มลงมาหา แต่ไม่ได้ก้มลงมาหาริมฝีปากหรือทรวงอวบอิ่มที่ยังอยู่ในระยะให้นมบุตร กลับขยับกายลงไปใกล้หน้าท้องแบนราบและก้มลงไปหาจุดนั้น จุดที่เขาและเธอเคยหลอมรวมเป็นคนคนเดียวกันจนนับครั้งไม่ถ้วน
“คุณสามอย่าค่ะ อย่าจูบตรงนั้น”
“ไม่ จะจูบตรงนี้”
เขาบอกเสียงอู้อี้ก่อนจะกดริมฝีปากลงไปหนักๆ เกิดมาเขาก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แต่นี่คือผู้หญิงที่เขารักที่สุดรองจากแม่ แค่นี้ยังน้อยไปกับการที่เธอเสียสละทั้งชีวิตให้เขา
ลิ้นสากลากไล้เลียยังจุดกึ่งกลางกายสาวโดยไม่สนใจแรงขัดขืนน้อยนิดของเธอที่ต่อต้านเขา แน่ล่ะก็ที่ผ่านมาเขาโหมโรงแบบเบาๆ อาจจะจูบลูบคลำเธอไปทุกสัดส่วน แต่ก็ไม่ได้สร้างความรัญจวนด้วยการเคล้าคลึงที่จุดโฟกัสจนเธอขนลุกซู่แบบนี้
“อื้อ พอเถอะนะคะ...อ๊า...” เสียงสั่นระริกบอกเขา ราวกับอยากให้เพลาๆ แรงลิ้นที่พลิ้วไหวลงไปบ้าง
ก่อนที่เธอจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมอาการเหนื่อยหอบ เมื่อใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนกายขึ้นมาส่งยิ้มให้อยู่ในระดับเดียวกัน จากนั้นก็กดจูบดูดดึงริมฝีปากอิ่มที่เขาหลงใหลราวกับห่างหายไม่ได้พานพบกัน ทั้งที่ความจริงเขารังแกเธอไม่เคยห่างในยามมีโอกาส เขาเหมือนคนอยากเอาชนะที่อยากแข่งกันกับลูกเพื่อคลอเคลียเธอยังไงยังงั้น
ดูได้จากการที่เขากำลังดูดกลืนน้ำในอกสีขาวขุ่นเข้าปากอย่างไม่ออมแรง แย่งลูกกินอีก!
สติสตังของคนทั้งคู่เตลิดไกล ทุกอย่างเกิดขึ้นใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน จากนั้นมหกรรมผีผ้าห่มก็เริ่มต้นอย่างเร่าร้อนและจบลงอย่างนุ่มนวล ทุกขั้นตอนดำเนินไปอย่างแผ่วเบา มีเพียงเสียงครางอ่อนแรงที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ
“อา...”
สาวน้อยเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ตอนนี้เป็นสาวเต็มวัยและเป็นแม่ของเด็กชายอายุสิบขวบที่พอจะเรียนรู้และเข้าใจความไม่สมบูรณ์ของคำว่าครอบครัวพ่อแม่ลูกได้บ้างแล้ว
เธอเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นคนที่สามารถอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้อย่างสง่าราศีในฐานะสะใภ้แต่ง เดินอุ้ยอ้ายเข้ามาหาจนถึงเรือนพักหลังเล็กของเธอและลูกชาย
“สะใจเธอล่ะสิที่ฉันจะเดินออกไปจากที่นี่เสียได้ แต่บอกไว้เลยนะว่าฉันไม่ได้แพ้เธอ ลูกฉันจะต้องอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ลูกเธอ นังไพร่!”
คนที่คิดว่าตัวเองสูงส่งมองหญิงสาวที่นั่งน้ำตาไหลบนพื้นด้วยสายตาหยามเหยียด หลังจากพ่นถ้อยคำบาดใจทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายมาทีหลัง
“คุณวิพูดเรื่องอะไรคะ” อดถามออกไปไม่ได้ เมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“อย่ามาตอแหล เพราะเธอ ชีวิตฉันถึงต้องเป็นแบบนี้ อย่าหวังเลยว่าฉันจะปล่อยให้เธอเสวยสุขได้ง่ายๆ”
ผู้มาเยือนว่าแค่นั้น ก่อนจะเดินนวยนาดออกไปทั้งที่ท้องโตใกล้จะคลอดในอีกไม่กี่วันนี้
ปล่อยให้เจ้าของสถานที่ได้แต่นั่งน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวดใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าใครได้แอบยืนดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
เด็กน้อยค่อยๆ ขยับกายออกมาจากที่ซ่อน มือเล็กกำแน่นอยู่ข้างลำตัว มันห้ามไม่ได้จริงๆ กับความโกรธที่อัดแน่นจนจุกในตอนนี้
นานเป็นครู่กว่าที่เขาจะระงับอารมณ์แค้นแบบเด็กๆ ได้ แล้วจึงวิ่งเข้าไปกอดมารดาที่นั่งร้องไห้กระซิกๆ
“แม่ครับ”
เสียงเรียกของลูกทำให้หญิงสาวเข้มแข็งขึ้น เธอรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะกอดตอบเขาแนบแน่น
“แม่ร้องไห้”
เด็กน้อยไม่เชื่อรอยยิ้มฝืนๆ ที่มารดาส่งให้สักนิด
“แม่หยุดร้องแล้วลูก”
“รักแม่ครับ”
“แม่ก็รักหนูนะ”
สองแม่ลูกบอกรักกัน ก่อนจะกอดกันกลมแน่นอีกครั้ง
“ทำไมพ่อไม่มาหาเราเลยครับ” เด็กชายตัวน้อยถามหาบิดาที่เขายังไม่ได้เห็นหน้าเลยตลอดสัปดาห์มานี้
“คุณพ่อทำงานอยู่นะลูก พ่อรักหนูมากนะครับ เข้าใจคุณพ่อนะครับคนเก่ง” เธอปลอบลูกเสียงแผ่ว ทั้งที่ในใจก็เจ็บแปลบไม่ต่างกัน ด้วยรู้ดีว่าเหตุผลที่เขามาหาบ่อยๆ ไม่ได้คืออะไร
แต่ก็ต้องยอม เพื่อแลกกับความสุขที่รออยู่ปลายทาง ทั้งที่ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมีอยู่จริงไหม สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็มีเพียง…ความหวัง