บทที่1.2

2131 คำ
“เกลตื่นแล้วค่ะ” ฉันใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวไม่นานนัก และเมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างของบ้านก็พบว่าพ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหาร ส่วนเสียงเมื่อกี้เป็นของสายธาร...เมียใหม่พ่อ เธอส่งยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนหวาน ถ้าใครไม่รู้นิสัยที่แท้จริงของเธอ คงมองว่าเธอเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ และใช่ เพราะฉันรู้จนหมดไส้หมดพุง ถึงมองออกว่าสิ่งที่เธอทำอยู่คือการเสแสร้ง ทว่าการเสแสร้งของเธอ พ่อมองว่าเป็นความหวังดีที่เธอมีให้ฉันอย่างบริสุทธิ์ใจ อยากจะอ้วก... “มาคุยกันก่อน” ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่กินข้าวเช้า แต่เมื่อเจอสายตาตำหนิกับน้ำเสียงดุดันของคนเป็นพ่อ ฉันจึงต้องทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามท่าน “ได้ข่าวว่าเมื่อคืนเมาเหรอ แกดื่มอีกแล้ว?” “ใช่ เกลดื่ม” ฉันยอมรับแล้วชำเลืองตามองสายธารที่นั่งอยู่ข้างพ่อ รอยยิ้มหวานๆ เมื่อครู่นี้กลายเป็นรอยยิ้มฉาบพิษไปแล้วเรียบร้อย “สายธารฟ้องสินะ” “พูดให้มันดีๆ อย่างน้อยสายธารก็มีศักดิ์เป็นแม่ของแก” น้ำเสียงขุ่นเขียวของพ่อทำให้ฉันสูดลมหายใจเข้าปอด เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับฉันไม่ต่ำกว่าห้าสิบครั้งนับตั้งแต่สายธารก้าวเข้ามาในบ้าน มันกลายเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อพ่อ มีส่วนในการตัดสินใจของท่าน ส่วนฉัน...แค่ขยับตัวนิดเดียวก็ผิดแล้ว “เกลมีแม่คนเดียว” ฉันบอก “ต่อให้พ่อมีเมียใหม่อีกสักกี่คน คนพวกนั้นก็มาแทนแม่ไม่ได้” “แต่แม่แกตายแล้ว!” พ่อขึ้นเสียง ราวกับต้องการปลุกให้ฉันตื่นจากความฝัน อ้อ ใช่สิ แม่ตายแล้ว... “สาเหตุมันมาจากพ่อไง” ฉันจ้องหน้าพ่อโดยที่ใบหน้ายังคงราบเรียบ ต่อให้หัวใจเจ็บปวดจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยง แต่ฉันเลือกที่จะเก็บความทรมานนั้นไว้กับตัวเอง เป็นตายร้ายดียังไง...ฉันจะไม่เผยด้านอ่อนแอให้สายธารเห็น “เพราะพ่อนอกใจแม่ไปหามัน” “เกล! พ่อไม่เคยสอนให้แกก้าวร้าว” พ่อตาแดง ไม่ได้จะร้องไห้หรอก แค่โกรธที่ฉันพูดความจริงแล้วมันกระแทกใจมากกว่า “คุณคะ ไม่เป็นไรค่ะ” สายธารเอื้อมมือไปแตะแขนพ่อ ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลลื่นหู ท่าทีของเธอเหมือนนางเอกละครน้ำเน่าที่ต่อให้ถูกกระทำก็พร้อมจะให้อภัย “เกลยังเด็ก” สายธารเคลื่อนสายตามาทางฉัน ใช่ เมื่อเทียบกับสายธารแล้ว ฉันยังเด็ก...เด็กกว่าเธอมาก แต่แปลกนะ ทั้งๆ ที่อายุเยอะกว่าฉันเป็นสิบยี่สิบปี แต่ยังกล้านอนถ่างขาให้ผัวชาวบ้านจนได้เข้ามาอยู่ในที่ที่ตัวเองอยากอยู่ แถมหลายๆ ครั้งยังพยายามไซโคพ่อ ทำให้ท่านหงุดหงิดเรื่องฉันอยู่บ่อยๆ สายธาร...เธอนี่มันดอกทองจริงๆ “อายุ 21 ไม่เด็กแล้วนะ โตพอจะคิดได้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ” พ่อยังคงต่อว่าฉัน เหมือนท่านมองเห็นความผิดของคนอื่นหมดยกเว้นความผิดของตัวเอง อย่าให้ได้ร่ายเลยว่าฉันกับแม่ต้องเจออะไรบ้างจากผู้ชายคนนี้...คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเสาหลักของบ้าน คนที่เคยบอกว่ารักแม่ยิ่งกว่าสิ่งใด ...คนที่เคยอบอุ่นและอ่อนโยนกับฉัน แม่น่ะยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ แต่พ่อ...เหมือนตัวตนของท่านได้ตายไปแล้ว “เกลไปก่อนนะคะ” ฉันมองพ่อที่กำลังเดือดจัดอย่างเฉยชา ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากบ้านทันที นาทีถัดมาฉันพบว่ารถของตัวเองจอดอยู่หน้าบ้าน คิดว่าเมื่อคืนคงมีเพื่อนสักคนขับรถมาส่งฉันเพราะเมาจนขับกลับเองไม่ได้ ฉันไม่ได้ตั้งคำถามอะไรมากมายนัก เลือกที่จะสตาร์ตรถแล้วขับออกมาจากบริเวณบ้านทันที วันนี้มีเรียนเที่ยง ยังเหลือเวลาอีกถมเถ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่รีบร้อน แต่จังหวะที่รถเคลื่อนตัวผ่านจุดๆ หนึ่งแล้วบังเอิญหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตกที่นั่งลำบาก ฉันก็ค่อยๆ ชะลอรถจนกระทั่งจอดเทียบฟุตบาทในที่สุด ฉันควรเข้าไปช่วย... แต่เลือกที่จะนั่งมองภาพเหตุการณ์นั้นอย่างเงียบเชียบ ผู้หญิงคนนั้นคือหนึ่งในกลุ่มเพื่อนฉันเอง แต่เราไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ มันมีหลายสาเหตุ...แต่เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังอีกที ดูจากรูปการแล้ว เหมือนมันจะไปสร้างศัตรูมาเพิ่มอีกแล้วล่ะมั้ง ถึงได้ถูกลากมาจัดการในจุดที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ ซึ่งฉันถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะขนาดกับเพื่อนในกลุ่ม...ยังสร้างรอยร้าวต่อกันได้ขนาดนี้ “...” ฉันนั่งมองภาพนั้นผ่านบานกระจกรถซึ่งติดฟิล์มทึบ มันถูกผู้หญิงอีกคนผลักจนเซ ด้วยส่วนสูงและสัดส่วนที่ต่างกัน ไหนจะจำนวนคนของอีกฝ่ายที่มีมากกว่า ทำให้มันเสียเปรียบและดูอ่อนปวกเปียกไปเลย ไหนว่าเก่ง... ฉันยังคงเฉยชา กระทั่งมันถูกอีกคนตบจนหน้าหันและล้มลงไปกองกับพื้น วูบนั้นมันพยายามสอดส่ายสายตาเหมือนต้องการความช่วยเหลือ ก่อนจะหันมาเจอรถของฉันที่จอดอยู่พอดี กระจกติดฟิล์มแบบนี้มันมองไม่เห็นหน้าฉันหรอก แต่มันจำยี่ห้อและทะเบียนรถฉันได้ถึงได้ทำตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง ‘เกล ช่วยด้วย’ ฉันอ่านปากมันทั้งๆ ที่มีระยะห่างระหว่างกันหลายสิบเมตร ‘เกลๆๆ มาช่วยที’ ฉันยิ้มและยังคงนั่งอยู่ในรถ ทำเป็นลืมไปได้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยเมินเฉยต่อคำร้องขอของฉันแล้วเลือกผู้ชายมากกว่าเพื่อน ฉันเคยเกือบตายก็เพราะมัน โดนกับตัวเองดูสักครั้งคงไม่เป็นไร ฉันยังรอดมาได้ มันเองก็คงไม่ตาย อย่างมากคงแค่ปากแตก เสียโฉม หรืออาจจะพิการ... ‘อึก...ไม่ มะ...ไม่เอา’ พอเห็นหน้ามัน ฉับพลันภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมาในหัว เหตุการณ์นั้นเหมือนแผ่นหนังที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ...กระทั่งฉันตัดสินใจกระชากความทรงจำน่ารังเกียจออกจากสมองแล้วลากสายตากลับมา ความแค้นที่เกาะกุมหัวใจทำให้ฉันเมินเฉยต่อคำร้องขอของมันอย่างเลือดเย็น และใช่ สิ่งที่ฉันทำเป็นลำดับถัดมาคือขับรถจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้มันเผชิญหน้ากับผู้หญิงพวกนั้นเพียงลำพัง เจ็บบ้างก็ดี เจ็บให้มันได้สักเสี้ยวหนึ่งของฉัน ครืดๆ หลังจากนั้นเพียงไม่นาน การสั่นเตือนของโทรศัพท์ก็ทำให้ฉันต้องใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายที่วางไว้บนเบาะข้างๆ แล้วกดรับโดยไม่ได้มองก่อนว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา [ตื่นยัง] กระทั่งปลายสายกรอกเสียงถาม ฉันจึงได้คำตอบ “ถ้าไม่ตื่นจะรับสายนายแบบนี้ไหม...ขุน?” ฉันถามกลับ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะร้ายๆ กลับมา และใช่...ชื่อของเขาคือขุน เป็นเพื่อนผู้ชายที่ฉันสนิทด้วย เรารู้จักกันตอนที่ฉันประสบปัญหาบางอย่างและได้เขาช่วยเหลือเอาไว้ “โทรมาทำไม กำลังขับรถ” [ก็เมื่อคืนเธอเมาเลยอยากรู้ว่าตื่นมาจะขับรถไหวไหม กลัวแฮงค์] “ตอนนี้โอเค” ฉันตอบไปตามความจริง ก่อนจะถามต่อ “เมื่อคืนใครมาส่งฉัน นายหรือเปล่า?” [...] แต่คำถามนั้นทำให้ปลายสายเงียบไป “ทำไม พูด” ฉันยังคงโทนเสียงไว้เหมือนเดิม แต่คำพูดก็สื่อชัดเจนแล้วว่าต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ [ไอ้เอย์ น้องชายเธอ] “...เหอะ” ฉันแค่นหัวเราะออกมาเมื่อได้รู้ความจริงเรื่องนี้ [เมื่อคืนพอมาถึงมันก็ลากเธอออกไปเลย ไม่ได้ทำไรใช่ไหม?] “อืม” ฉันตอบสั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการซักถามจากขุน ส่วนหนึ่งคือรู้อยู่เต็มอกว่าเมื่อคืนเอย์ทำอะไรกับฉันไว้บ้าง สังเกตจากถุงยางที่ใช้แล้ว ฉันเห็นมีมากกว่าหนึ่ง...นั่นเท่ากับว่าเมื่อคืนระหว่างเรามันเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่าสองครั้ง โดยที่ฉันเองก็จำอะไรแทบไม่ได้เลย เอย์รู้ว่าฉันรังเกียจเขา แค่มองหน้าและคุยกันดีๆ ยังไม่อยากทำ ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ฉันเสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นตอนเมา ตอนไม่สบาย เขามักจะฉวยโอกาสทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ทุกที ฉันถึงได้บอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเรา หลังจากนั้นฉันคุยกับขุนต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะวางสาย ทว่าวางสายได้เพียงไม่นานก็มีใครอีกคนโทรเข้ามา ฉันที่ตรึงสองตาไว้เพียงท้องถนนจึงกดรับโดยไม่มองหน้าจออีกครั้ง “ว่า?” [ยัยลูกนิสัยเสีย...] เสียงเข้มที่แฝงความคุกรุ่นทำให้ฉันได้คำตอบตั้งแต่วินาทีแรก จะเป็นใครถ้าไม่ใช่...พ่อ [แกทิ้งน้องได้ไง] “...?” ฉันไม่เข้าใจ [รถน้องเสีย กลับมารับน้องไปเรียนด้วยเดี๋ยวนี้!] ‘น้อง’ ที่ว่าคงหมายถึงเอย์ที่ ‘นอนกับฉัน’ เมื่อคืนสินะ “แล้วมันขึ้นรถเมล์ไม่เป็นเหรอพ่อ” ฉันถามเพราะคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองต้องมารับผิดชอบ อีกอย่าง...เอย์มีทั้งบิ๊กไบค์ที่เขาทำงานเก็บเงินตั้งแต่เด็กเพื่อซื้อมัน ไหนจะรถยนต์ยี่ห้อดังของผัวเก่าสายธารอีก จะบอกว่ารถเสียทั้งสองคันพร้อมกันว่างั้น? “เกลมาไกลแล้ว ให้มันหาทางไปเรียนเอง” เพราะฉันรู้ว่านี่เป็นแผนของเอย์จึงได้กล้าปฏิเสธ และต่อให้รถของเขาเสียขึ้นมาจริงๆ ฉันก็ไม่ย้อนกลับไปรับแน่ [พ่อต้องรีบไปทำธุระกับสายธาร ทางที่พ่อไปมันคนละทางกับมหา’ลัยด้วย] พ่ออธิบายเมื่อฉันบอกปัดความต้องการของท่านที่มีต่อเอย์ [นี่ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่ง] ฉันแทบจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้มข้นของคนเป็นพ่อ ดูสิ่งที่พ่อปฏิบัติกับลูกในไส้อย่างฉันและลูกเมียใหม่อย่างเอย์สิ ดี...ดีจริงๆ “แล้วเกลจะได้อะไร” คนอย่างฉัน...ถ้าต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน การที่ต้องเสียเวลาเพื่อวกรถกลับไปรับเขา ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันไม่คิดจะทำตั้งแต่แรก [แกยังจะมาต่อรองอีกหรือไง] พ่อดูหัวเสียไม่น้อย ถ้าฉันอยู่ตรงหน้าท่านคงหนีไม่พ้นการถูกต่อว่า หนักขึ้นมาหน่อยคงถูกตีจนช้ำ...เหมือนอย่างที่ฉันเคยเจอมา “ไปเอานิสัยนี้มาจากใครนะ พ่ออยากรู้จริงๆ” “...” ฉันเงียบ โทรศัพท์ในมือถูกฉันบีบอย่างแรง...แรงจนความเจ็บแผ่ลามไปทั่วฝ่ามือ [ค่อยว่ากันอีกที มารับน้องก่อน เหมือนน้องจะเรียนสิบเอ็ดโมง] คำบอกกล่าวของท่านทำให้ฉันต้องเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ซึ่งเป็นข้างเดียวกับมือที่กำลังบังคับพวงมาลัย สิบโมงครึ่งแล้ว... “ค่ะ” ฉันขานรับสั้นๆ อย่างจำใจ คำว่า ‘ค่อยว่ากันอีกที’ ของท่านมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ แต่เชื่อได้เลยว่าฉันจะไม่ยอมให้การกล้ำกลืนนี้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ หลังจากที่พ่อวางสาย ฉันก็หาทางยูเทิร์นกลับ แต่... End Describe Aey Describe ผมกำลังแกล้งเกล ความจริงวันนี้ผมไม่มีเรียน ผมโกหกพ่อเธอว่ารถเสียและมีเรียนสิบเอ็ดโมง แต่ตอนนี้สิบเอ็ดโมงครึ่งเข้าไปแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่ายัยแม่มดจะปรากฏตัว เมื่อมันนานเกินไปจนมีความคิดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะเมินเฉยและจงใจปล่อยให้รอ ผมจึงตัดสินใจโทรไปหาเธอทันที แต่รู้ไหม...เธอไม่รับสายผม ถึงแม้เธออาจต่อรองกับพ่อเพื่อแลกกับการเจียดเวลามารับผมไปเรียน แต่ผมว่าเธอแกร่งพอจะมองว่าการถูกพ่อบริภาษหรือโดนลงโทษเป็นเรื่องเล็กน้อย ดีไม่ดีเธออาจมองว่ามันโคตรจะไร้สาระด้วยซ้ำ เธออยู่ในจุดที่ไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร เกล เกวารินทร์...ผมรู้จักเธอดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม