บทที่1.1

1231 คำ
Gale Describe 4 ปีก่อน ณ โรงอาหารกลางของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง เพล้ง! “อีโง่ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!” พลั่ก! คำด่านั้นสาดใส่ฉันพร้อมแรงผลักมหาศาล ด้วยความที่มัวแต่ตื่นตระหนกและหวาดกลัว ทำให้ฉันซึ่งเดิมทีสู้ใครไม่ได้อยู่แล้วถลาไปตามแรงก่อนจะล้มลงจนได้ยินเสียง ‘ตุ้บ’ ดังตามมา แน่นอนว่าทันทีที่หัวเข่ากระแทกพื้น...ความเจ็บปวดเป็นสิ่งแรกที่โจมตีฉัน “...” ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมทั้งก้มหน้าลง มองเศษอาหารกับจานที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่เพียงไม่นานก็เงยหน้าขึ้น ตอนนั้นจึงพบว่าผู้หญิงคนเดิมกับเพื่อนของเธอกำลังใช้สายตาชนิดหนึ่งมองฉัน เป็นสายตาที่แม้แต่เด็กอนุบาลยังมองออกเลยว่ากำลังโดนดูถูก และใช่...ถึงแม้เหตุการณ์เมื่อกี้เป็นความจงใจของใครอีกคนที่เดินเข้ามากระแทกฉันจนทำให้เกิดเรื่อง แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้อธิบายจนปากฉีกถึงหู ก็อย่าหวังว่าคนพวกนี้จะเปิดใจรับฟัง หรือต่อให้ได้ฟังความจริงแล้ว ยังไงในสายตาของคนกลุ่มนี้ ฉันก็คืออีเฉิ่ม อีแว่น และอีหน้าโง่อยู่ดี... เพื่อนร่วมชั้นมองฉันเป็นเหมือนเบ๊ที่คอยรับใช้และอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งนั่นรวมไปถึงการถูกข่มเหงรังแก ในแต่ละวันฉันได้แผลกลับบ้านไม่ต่ำกว่าห้าจุด แผลทางกายน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่บาดแผลทางจิตใจมันสาหัสมาก ฉันต้องแบกรับความปวดร้าวแบบนั้นมานาน...นานจนความเจ็บปวดค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความแค้น “มองทำไม แกเป็นคนทำก็เก็บสิ” ผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉัน...ชื่อเพลง เธอบอกว่าตัวเองแสนจะเฟียซ แต่เธอคงแยกระหว่างคำว่า ‘เฟียซ’ กับ ‘เหี้ย’ ไม่ออกล่ะมั้ง ฉัน...ทำได้แต่ด่าในใจ “เราไม่ได้ตั้งใจนะ” ฉันเค้นเสียงที่สั่นระริกออกไป แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มเหยียดหยัน แม้ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่รอยยิ้มนั้นไม่ต่างอะไรกับการด่าฉันด้วยถ้อยคำแรงๆ เลยสักนิด เห็นไหม...คนพวกนี้ไม่ฟังหรอก ต่อให้กรีดร้องจนสุดเสียง ตราบใดที่คนๆ นั้นคือฉัน...มันก็ไร้ความหมาย เปล่าประโยชน์ชะมัดเลยเกล “จะยอมเก็บดีๆ หรือให้ฉันเอาวีรกรรมต่างๆ ไปบอกพ่อของแก” เพลงรู้ว่าตัวเองได้เปรียบกว่าฉันหลายขุม ไม่แปลกที่เธอจะหยิบเรื่องพ่อมาข่มขู่กัน ยอมรับว่านัยน์ตาคู่นั้นยามจ้องมองฉันทั้งเลือดเย็นและน่ากลัว...นี่เป็นสายตาของคนที่อายุเพียง 17 ปีเท่านั้น โลกเรามันเปลี่ยนไปแล้ว คนเลวไม่จำเป็นต้องอายุมากหรือเป็นผู้ใหญ่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม หรือบางทีก็อยู่ที่ ‘กมลสันดาน’ ล้วนๆ เด็กอายุ 10 ขวบยังรังแกเพื่อนจนเข้าโรงพยาบาลได้ แล้วนับประสาอะไรกับเพลงอายุ 17 ปี...คนที่เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวย เรียนดี กิจกรรมเด่น เธอเคยทำพฤติกรรมแบบนี้กับคนอื่นเหมือนกัน แต่ไม่เคยถูกลงโทษ ถ้าถามว่าทำไม...คำตอบง่ายๆ คือพ่อของเธอเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน แฟร์สุดๆ ไปเลย “...เราจะเก็บ” เพราะเสียเปรียบเต็มประตู ฉันจึงไม่มีทางเลือก ยอมก้มหน้ารับชะตากรรมด้วยการเก็บซากจานอย่างช่วยไม่ได้ ‘ไม่เป็นไร’ ฉันบอกตัวเอง...และในชีวิตนี้ฉันพูดคำนี้มาไม่ต่ำกว่า 200 ครั้ง จนกระทั่งฉันได้เจอ ‘ผู้ชายคนนั้น’ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ปัจจุบัน มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกประสาทเสีย... หนึ่งในนั้นคือการตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่แล้วพบว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงเพียงคนเดียวอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับมีผู้ชายคนหนึ่งในสภาพเปลือยเปล่ากับรอยเล็บมากมายบนตัวนอนอยู่ข้างๆ กัน... เพียะ! ไวเท่าความคิด ฉันใช้มือฟาดลงกลางศีรษะของอีกฝ่ายทันที ทำเอาเขาขมวดคิ้วตอบรับกลับมา ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นทั้งที่ยังสะลึมสะลือ “เมื่อไหร่จะหยุดทำตัวเร่ร่อนมานอนห้องคนอื่นสักที” ทันทีที่นัยน์ตาคมกริบถูกเปิดแล้วสะท้อนภาพฉัน...ฉันไม่รอให้เขาได้ปริปากพูดอะไรก็ยิงคำถามที่ต่อให้ไม่มีการกระชากกระชั้น แต่มั่นใจว่าคนฟังต้องเข้าใจสภาพอารมณ์ของฉันในตอนนี้ดี ที่ถามแบบนี้เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอเขาในตอนเช้า มันไม่แปลกก็จริง แต่ไม่ใช่เรื่องที่ควรชาชิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาพเปลือยๆ ของเราสองคน “นี่บ้านเธอ” เสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วมีเสน่ห์แต่น่ารังเกียจสำหรับฉันดังขึ้น เขายังนอนอยู่บนเตียงของฉัน แถมยังจ้องมองฉันด้วยสายตาเฉื่อยชา ชื่อของเขาคือเอย์ “รู้แล้วก็ไสหัวไป” ฉันพยักพเยิดหน้าไปทางประตู ถ้าไม่จำเป็นฉันจะไม่มีเรื่องกับพวกปลายแถว แต่การเจียดเวลาคุยด้วยในครั้งนี้...ส่วนหนึ่งมาจากการที่เรามีสถานะใกล้เคียงการเป็น ‘พี่น้อง’ มากกว่า ฉันแค่บอกว่า ‘ใกล้เคียง’ แต่ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นจริงๆ เพราะต่อให้แม่ของเขาเพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านได้ไม่นานในฐานะเมียใหม่พ่อ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องญาติดีด้วย ครอบครัวฉันเรียกได้ว่าร่ำรวย มีเงินใช้ได้ทั้งปีทั้งชาติ ธุรกิจด้านดนตรีซึ่งพ่อเป็นคนก่อตั้งกำลังไปได้สวยและถูกจับตามองอยู่ในขณะนี้ การที่สายธาร...แม่ของเอย์เข้ามาในช่วงที่พ่อกำลังขาขึ้น ทำให้ฉันคิดไปเองแล้วว่าเธอมาเพื่อเกาะพ่อฉันกิน ไม่มีปัญญาหาเงินใช้ก็ทำตัวน่าสมเพชด้วยการบีบน้ำตาเรียกคะแนนสงสาร แถมยังเชิดหน้าชูคอทำตัวเป็นใหญ่ในบ้านอย่างหน้าไม่อาย เห็นแล้วขยะแขยงจริงๆ “แต่ตอนนี้ก็เหมือนบ้านฉัน” น้ำเสียงของเอย์เรียบเรื่อยไม่ทุกข์ร้อน “หรือเธอจะเถียง...” “...” ฉันปรายตามอง ไม่อยากเปลืองน้ำลายไปกับการบริภาษเขา เพราะสุดท้ายแล้วภาษาคนก็ไม่มีผลกับคนจำพวกนี้ และแน่นอน...ฉันจะไม่ตั้งคำถามว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคน เพราะต่อให้รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ กับการเจอเอย์ในสภาพเปล่าเปลือยบนเตียงตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้สำคัญขนาดที่ฉันจะมานั่งโอดครวญ ก็แค่ไอ้บัดซบคนหนึ่ง เพราะความหน้าด้านหน้าทนของเอย์ บวกกับการที่ฉันรู้นิสัยเขาเป็นอย่างดี สุดท้ายจึงปล่อยให้เขานอนอยู่บนเตียงต่อไป ส่วนตัวเองลุกขึ้นเตรียมอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน ระหว่างนั้นสองตาฉันเหลือบเห็นชุดของเราสองคนกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น และเหนือสิ่งอื่นใด...ฉันเห็นถุงยางอนามัยใช้แล้วตกอยู่ไม่ไกลจากปลายเท้าตัวเอง เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว ฉันเก็บความคิดหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในหัวอย่างเงียบเชียบ ไม่ตื่นตระหนกและทำเพียงแค่เดินผ่านสิ่งเหล่านั้นไปอย่างเฉยชา อย่าหวังว่าวิธีเดิมๆ จะใช้ได้ผล อย่าหวัง...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม