บทที่ 2.4

1371 คำ
เวลา 20:12 นาฬิกา ณ แอลกอฮอล์ “ไม่เห็นหัวน้องชายเธอ” “ไม่รู้มัน...” ฉันตอบเสียงเรียบ เมื่อขุน...เพื่อนผู้ชายที่ฉันสนิทเป็นพิเศษถามหาเอย์ ตอนนี้เราสองคนอยู่ในร้านนั่งชิลใกล้มหาวิทยาลัยแล้วบังเอิญเจอกลุ่มเพื่อนของเอย์ที่มุมร้าน เหมือนจะมากันทุกคนยกเว้นหมอนั่น ตายแล้วมั้ง “เธอทำอะไรมัน?” ขุนเคลื่อนใบหน้ากลับมาพร้อมทั้งหรี่ตาลงราวกับกำลังคาดคั้นความจริงจากฉัน “ฉันบอบบาง ไม่รังแกใคร” อีกครั้งที่คำตอบของฉันถูกส่งไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เชื่อก็โง่” มือหนายื่นมาเขกหัวฉันดังป๊อก ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่ยอมให้ทำแบบนี้แน่ “เอาความจริงสิ” “...” ฉันไม่ตอบและเลือกที่จะยกเหล้าขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว จังหวะนั้นโทรศัพท์มือถือส่งสัญญาณเตือนเข้ามาพอดี ฉันจึงละความสนใจจากทุกอย่างแล้วเพ่งมองหน้าจอที่ปรากฏข้อความหนึ่งจากเบอร์ไม่ทราบชื่อ ฉันกดเข้าไปดูทันที และเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อความภาพ ภาพของเอย์ในสภาพที่ดูไม่จืด แผลเต็มหน้า เสื้อนักศึกษาหลุดลุ่ยเปรอะเปื้อนคราบเลือดและดินทราย เขานอนอยู่บนพื้นโดยมีกลุ่มแก๊งของต้าร์รายล้อม นับแล้วราวๆ สิบคน แล้วยังไงต่อ? “ใครส่งไรมา” คาดว่าฉันคงอยู่ในสายตาขุนตลอด เจ้าตัวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงถามขึ้นอย่างอยากรู้ แต่ไม่ได้คะยั้นคะยอจะเอาคำตอบให้ได้หรอก เขาแค่จ้องมองฉัน “นายไม่ต้องรู้เยอะก็ได้” ฉันปิดหน้าจอโทรศัพท์แล้วจัดการเทเหล้าปั่นในเหยือกใส่แก้วช็อต จากนั้นก็กระดกลงคอเพียงรวดเดียว “ต้องรู้ดิ” ขุนเหมือนกำลังหัวเสียนิดหน่อยที่ฉันไม่ยอมบอกความจริง เพราะคลุกคลีกันมาหลายปี ไม่แปลกที่ขุนจะดูออกว่าฉันปกปิดบางอย่างไว้ จริงๆ ก็ไม่ได้อยากปิดบัง แค่คิดว่าเรื่องความเป็นความตายของเอย์มันไร้สาระเกินกว่าเขาจะรู้มากกว่า “ถ้าอยากบอกจะบอกเอง” “เป็นแบบนี้ทุกทีเลยเกล” อาการหัวเสียเมื่อครู่นี้ถูกแทนที่ด้วยความน้อยอกน้อยใจ ทำให้ฉันต้องเคลื่อนสายตาไปหยุดที่ใบหน้าหมอนั่นตรงๆ ขุนจัดว่าเป็นคนหล่อคนหนึ่ง มาดเข้ม ผิวสีน้ำผึ้ง ตัวสูง มีออร่านายแบบ คนภายนอกมักเห็นแต่ด้านนิ่งๆ ของเขา แต่เวลาอยู่กับฉันบางทีเขาก็ชอบทำตัวเหมือนเด็ก ออดอ้อน งอแง ขี้น้อยใจ ขัดกับภาพลักษณ์มาก ครอบครัวขุนร่ำรวย แต่เขาทำตัวติดดิน พกเงินติดตัววันหนึ่งไม่กี่ร้อยบาท ชอบกินข้าวแกงข้างทาง หมอนั่นเป็นเหมือนขั้วบวก ส่วนฉันเป็นขั้วลบ เราต่างกัน แต่ก็สามารถเข้ากันได้ “มันไม่ใช่เรื่องของนาย จะรู้ไปทำไม” ฉันถาม “ก็...” ขุนทำปากขมุบขมิบ แต่ก็ถอนหายใจออกมาในท้ายที่สุด “เออ ไม่อยากรู้ก็ได้” หลังจากนั้นเราสองคนก็เปลี่ยนเรื่องคุย แต่จังหวะหนึ่งฉันสัมผัสได้จากฝั่งซ้ายมือคล้ายมีคนจ้องมองถึงได้หันกลับไป กระทั่งพบว่าหนึ่งในกลุ่มเพื่อนเอย์กำลังมองฉันจากระยะห่างหลายสิบเมตร ผู้ชายคนนั้น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ ‘ดิน’ ฉันกลับถึงบ้านเกือบๆ สี่ทุ่มและพบว่าสายธารกับพ่อนั่งอยู่ตรงห้องรับแขก ทั้งสองคนดูกระวนกระวาย สีหน้าเคร่งเครียด ถ้าตาไม่ได้ฝาดไปฉันเห็นสายธารร้องไห้ หึ... “เกล กลับบ้านดึกอีกแล้วนะ” พ่อที่หันมาเห็นฉันถอดรองเท้าพอดีใช้โทนเสียงดุดันเหมือนทุกครั้ง “รู้ไหมว่าน้องไปไหน?” ก่อนจะเปลี่ยนไปถามหาใครบางคน...ราวกับว่าเรื่องนั้นมันสำคัญกว่าการกลับบ้านดึกของฉัน “น้องไหนคะ?” ฉันถามพร้อมเอียงคอ ทำไขสือไม่รู้ว่าท่านกำลังสื่อถึงอะไร “แม่โทรหาน้องเอย์ไม่ได้...” เป็นสายธารที่ให้คำตอบ มันดูกระวนกระวายเหมือนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกำลังจะตาย “ติดต่อไม่ได้เลย ฮึก น้องจะเป็นอะไรไหมนะ” ฉันรำคาญเสียงสะอึกสะอื้นของอีนี่จริงๆ “ก็เรื่องของมัน เกลจะขึ้นห้อง” ฉันมองพ่อกับสายธารอย่างเฉยชาแล้วทำท่าจะขึ้นไปพักผ่อน ทว่า... “เดี๋ยว” น้ำเสียงเข้มข้นของพ่อดังขึ้นซะก่อน สิ่งนั้นรั้งฉันไว้กับที่ “แกน่าจะรู้จักเพื่อนๆ ของน้อง ช่วยติดต่อแล้วถามให้หน่อย” “เกลไม่รู้จักใครทั้งนั้น พ่อหาทางติดต่อเอาเองละกัน” ว่าจบฉันก็ขึ้นห้องทันที ไม่สนใจเสียงเรียกของท่านอีกต่อไป ส่วนสายธารยังคงสะอึกสะอื้นอยู่เหมือนเดิม กระทั่งสามวันผ่านไป...เอย์ยังคงขาดการติดต่อ ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน ตาย? ถ้าตายจริง ขอหลักฐานมายืนยันหน่อยก็ดี End Describe Aey Describe “พี่เอย์...” เสียงหวานๆ ที่ฟังแล้วอาจละลายกลายเป็นน้ำดังขึ้นปลุกผมจากภวังค์ ผมหันกลับไปมองเธอ...และพบผู้หญิงตัวกะจ้อยร่อย ผิวขาว ท่าทางบอบบางเดินเข้ามาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็ก คาดว่าเป็นผ้าที่จัดการชุบน้ำมาแล้วเรียบร้อย ผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่ากิ่ง เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อสองสามวันก่อน ผมถูกอัดจนเดินแทบไม่ไหว สภาพเหมือนหมาข้างถนน พวกมันคิดว่าผมตายแล้วถึงได้ปล่อยให้นอนหายใจโรยรินคลุกฝุ่นคลุกดินอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาเกือบสิบชั่วโมง กระทั่งเด็กคนนี้ผ่านมาเห็นและพาผมมาพักฟื้นที่บ้านของเธอ ผมได้รับความช่วยเหลือจากกิ่ง เธอทำแผลให้ มีอาหาร มียา เธอเกือบจะเช็ดตัวให้ผมแล้ว แต่ผมเบรกทัน ตอนนั้นสภาพผมย่ำแย่มากเกินกว่าจะเรียกว่าคน ถ้าบอกว่าเป็นศพที่ยังมีลมหายใจก็คงไม่ใช่การเปรียบเทียบเกินจริง แม้ว่าตอนนี้ใบหน้าผมยังมีรอยฟกช้ำ คิ้วยังคงแตก ริมฝีปากยังมีบาดแผลทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าตอนแรกแล้ว และสาบาน...คืนนี้ผมจะกลับไป “พี่เอย์ดีขึ้นหรือยัง” เธอทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงพร้อมใช้ดวงตากลมโตสำรวจผมไปพลาง เด็กคนนี้เหมือนเกลตอนมัธยม ดูไร้เดียงสา มีเสน่ห์ จริงๆ ก็มีส่วนที่คล้ายกันอยู่บ้าง ไม่ใช่เรื่องแปลก ในเมื่อกิ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเกล เธอต้องมาอาศัยอยู่กับยายสองคนหลังจากที่แม่เธอตายไป เธออยู่ปี 1 เรียนปีเดียวกับผม แต่ผมอายุเยอะกว่า 1 ปี เอาตามตรงกิ่งมีศักดิ์เป็นน้องสาวผมเหมือนกัน...เหมือนกับที่เกลเป็นพี่สาวผม “ดีขึ้นแล้ว” ผมตอบแล้วฉวยเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาจากมือเธอ “ขอบใจมาก คืนนี้พี่ไม่รบกวนเราแล้ว” “ไม่รบกวนเลยนะ!” กิ่งส่ายหน้าไปมา “พี่เอย์ไม่ต้องคิดมาก มันเป็นเรื่องที่กิ่งต้องทำอยู่แล้ว เพราะถ้าขืนเจ๊เกลรู้ว่ากิ่งปล่อยแฟนตัวเองนอนอืดเป็นศพโดยไม่ช่วยเหลือ เจ๊แกคงฆ่ากิ่งแหงๆ” เธอยกมือลูบแขนไปมาอย่างขนลุก คงนึกถึงภาพนางมารใจทรามอย่างเกวารินทร์อยู่ เชื่อไหมว่าคำบอกกล่าวของเธอทำให้ผมชะงักเล็กน้อย หัวใจเหมือนจะเต้นแรงเมื่อได้ยินคำว่า ‘แฟน’ จากปากเธอ กิ่งรู้ว่าแม่ผมแต่งงานกับพ่อของเธอ แต่ก็ไม่รังเกียจ ยังนับถือผมเป็นพี่ ยิ่งกว่านั้น...เธอยังเข้าใจว่าผมกับเกลเป็นแฟนกันอยู่ ก็เป็นนะ เมื่อนานมาแล้ว นานมาก.... “ไม่เป็นไรครับ” ผมยกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู “พี่แข็งแรงแล้ว จะกลับไปหาเกล” เสียใจด้วยนะเกล ที่เอย์คนนี้...คนที่เธอเกลียดยังไม่ตาย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม