ตอนที่3 เรื่องราวของแม่ทัพเย็นชา (1)
อาภรณ์สีดำของหยางเฉินหลงพลิ้วไหวตามแรงลมเป็นจังหวะ คนร่างสูงเดินไปตามทางหินอ่อนจากไปอย่างเงียบเฉียบไร้การสนทนากับคนสนิทที่เดินตามหลังมาติด ๆ
ในสมองของเขานั้นคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ อย่างไม่เข้าใจ มือหนากำเข้าหากันแน่นราวกับจะบดดาบคู่กายที่ถืออยู่นั้นให้แตกละเอียดเป็นผุยผงเพื่อระบายความอัดอั้นใจ
หยางเฉินหลงมีร่างกายที่สูงโปร่งมัดกล้ามแน่นเป็นลอน ใบหน้าของเขานั้นคมคายคิ้วทรงกระบี่ที่เข้ารับกับใบหน้า...ถ้าไม่นับว่าเขามีแผลเป็นที่ส่งผลให้เขานั้นอัปลักษณ์ เขาก็ถือว่าเป็นคนที่หน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ในแคว้นต้าซีแห่งนี้แต่ทุกอย่างนั้นมันแก้ไขไม่ได้เพราะเหตุการณ์ในรัชศกที่18 ในครั้งนั้น~
เขาเติบโตมาที่เมืองชายแดนตั้งแต่เด็กจนโตเขาอาศัยอยู่ที่นั้นกับครอบครัวที่อบอุ่นมีมารดาบิดาและเขาผู้เป็นลูก เขามีมารดาที่เก่งกาจเป็นกุนซือคู่ใจของบิดามาตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนบิดานั้นก็เป็นถึงแม่ทัพทมิฬไร้พ่าย ชีวิตของเขาสงบสุขที่สุดและมีความสุขมาก ๆ มาหลายปี
จวบจนกระทั่งเขามีอายุได้แปดปี!!
บิดาก็พาสตรีคนใหม่เข้าบ้านมา...ตั้งแต่วันนั้นชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ มารดาของเขาที่เคยใจดีและอบอุ่นก็แปรเปลี่ยนเป็นสตรีขี้อิจฉาและร้ายกาจสุด ๆ เขาไม่เคยเห็นมารดาเป็นแบบนี้มาก่อน
วัน ๆ ของมารดาที่ทำนั้นก็คือจะคอยกลั่นแกล้งสตรีคนนั้นที่บิดาพามาอยู่ใหม่เสมอ สารพัดทุกอย่างที่มารดาคิดได้ก็จะลงมือทำทันทีทั้งต่อหน้าและลับหลังเพื่อกลั่นแกล้งสตรีคนใหม่ของบิดา
ส่วนบิดาที่เคยอ่อนโยนก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาและใจร้ายกับมารดาอยู่บ่อย ๆ ทุก ๆ จนมารดานั้นมักจะหนีไปร้องไห้เงียบ ๆ กอดเขาในห้อง
ทุกอย่างดำเนินไปแบบนี้ไปเกือบหกปีและมันก็จบลงในที่สุดในสมัยรัชศกที่18 ของฮ่องเต้เซี่ยหลงอันในค่ำคืนที่มีหิมะโปรยปรายลงมาจนปกคลุมไปทั่วอาณาจักรต้าซี ~
.........................
สมัยรัชศกที่18 เดือนสิบเอ็ดที่เงียบสงบในเมืองชายแดน บรรยากาศยามค่ำคืนที่หนาวเหน็บมีหิมะโปรยปรายเบา ๆ มาหลายชั่วยามจนปกคลุมหลังคาจวนต่าง ๆ จนมีสีขาวโพลน ชาวบ้านหลาย ๆ คนต่างก็เก็บตัวอยู่ในจวนอย่างเงียบ ๆ ไม่ออกไปไหนเพื่อพักผ่อนหย่อนใจหลังจากที่ใช้ชีวิตมาตลอดทั้งวัน
ในจวนของแม่ทัพรักษาชายแดนที่เป็นที่อยู่อาศัยของสกุลหยางนับร้อยชีวิต จู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนชุดดำอย่างมากมายเคลื่อนตัวไปตามหลังคาบ้านอย่างรวดเร็วและเริ่มทำการสังหารหมู่ผู้คนในจวนอย่างเงียบ ๆ บ่าวไพร่ที่หลับสนิทต่างล้มตายไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ กว่าเรื่องจะแดงก็ผ่านไปเกือบหนึ่งถ้วยชาแล้วหลาย ๆ คนเพิ่งรู้สึกตัว
"ฆ่าศึกบุก"
"ช่วยด้วย"
"กรี้ดดดดด"
"ช่วยด้วย ๆ "
"ฮือ ๆ "
เสียงกรีดร้องโหยหวนของบ่าวไพร่ที่ดังไม่หยุด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มไปทั่วบริเวณ สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนในจวนไม่น้อย ไม่นานนักทุกอย่างก็ตกอยู่ในความสงบ กลุ่มองครักษ์ต่างก็พากันออกมาปกป้องผู้คนและเกณฑ์คนไปรวมตัวกันไว้ที่ลานกว้างของจวนทันที
เด็กชายในวัยสิบสี่ปีอย่าง...หยางเฉินหลงก็ถือดาบออกมาพร้อมสู้เช่นกัน เด็กชายในชุดนอนราคาแพง ดวงตาสดใสจ้องมองไปรอบ ๆ บริเวณด้วยความตื่นกลัวและตกใจ ตั้งแต่เขาเกิดมา14ปีนี้ ยังไม่เคยฆ่าฟันสู้รบมาก่อน ชีวิตของเขานั้นสุขสบายไร้เรื่องกังวลใจ เมื่อต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้เขาอดจะตื่นตระหนกไม่ได้เด็กชายมองไปรอบ ๆ บริเวณด้วยดวงตาที่สั่นไหว
"ท่านพ่อเกิดอะไรขึ้นขอรับ" หยางเฉินหลงเอ่ยถามบิดาเขารีบสาวเท้าไปใกล้ ๆ ผู้เป็นบิดา ยามที่อยู่ใกล้ผู้เป็นพ่อนั้นเขาจะรู้สึกว่ามันปลอดภัยและสบายใจ...เพราะบิดาของเขานั้นจะคอยดูหลังและปกป้องเขาอยู่เสมอเพื่อมิให้ได้รับอันตราย
"ลุงโจวกำลังไปตรวจสอบอยู่ ลูกได้รับบาดเจ็บหรือไม่" หยางอวี่หนิงในวัยกลางคนเขาอยู่ในชุดนอนไม่ต่างกับลูกชายและคนอื่น ๆ ที่นี่ ผมเผ้าก็ถูกมัดลวก ๆ เอาไว้ เขากำดาบแน่นสายตาคมดุจเหยี่ยวเฝ้าระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา
"ไม่ขอรับท่านพ่อ" เด็กชายเอ่ยตอบคำถามบิดา ก่อนที่สายตาของเขาจะไปปะทะกับมารดาที่รีบเดินมาหาเขาอย่างเป็นห่วง ในมือของมารดาก็มีดาบคู่ใจถือมาด้วย กลิ่นอายเหี้ยมโหดแผ่ออกมาจากสตรีที่มีใบหน้าอบอุ่น
ช่างเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกับภาพลักษณ์ที่มีไม่น้อย
"ท่านแม่" หยางเฉินหลงเอ่ยทักทายมารดา เด็กชายมองมารดาด้วยสายตาเป็นประกาย ท่านแม่ของเขาช่างเป็นสตรีที่แข็งแกร่งเหลือเกินดูสิถือดาบที่หนัก ๆ มาอย่างสบาย ๆ เหมือนถือเพียงกิ่งไม้เท่านั้น
"อืม" ไป๋อิงอิงเดินไปหาลูกชายคนเดียวด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะลูบหัวและทำการสำรวจร่างกายของลูกชายทันที เมื่อลูกชายไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่เส้นผมนางจึงระบายลมหายใจออกมาด้วยความผ่อนคลายในที่สุด
"....................."
ไป๋อิงอิงจะละสายตาจากลูกชายแล้วจ้องมองผู้ที่มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชาความเจ็บปวดฉายชัดในดวงตากลมก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อนางกะพริบตา
"ท่านพี่....พี่หญิง" เสียงหวานใสตื่นตระหนกเปล่งมาจากหญิงสาวที่มีใบหน้าโศกเศร้าอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา หม่าซือโถวอนุภรรยาของแม่ทัพปราบชายแดนทำความเคารพสามีและภรรยาเอกด้วยท่าทางขลาดเขลา สายตานั้นก้มมองพื้นอยู่ตลอดเวลาไม่กล้าเอ่ยอะไรมากมายนัก เพราะนางไม่ใช่คนที่คุยเก่งและยังกลัวสตรีอย่างไป๋อิงอิงมากเสีย ด้วย
"......................" ไป๋อิงอิง
"ได้รับบาดเจ็บหรือไม่" ชายวัยกลางเดินไปกอบกุมมือเรียวของอนุภรรยาเบา ๆ เขาเอ่ยถามหญิงสาวด้วยความเป็นห่วงทันทีที่นางมาถึง
"ไม่เจ้าค่ะ" หม่าซือโถวส่ายหน้าเป็นคำตอบ นางจ้องแม่ทัพด้วยสายตาหวานฉ่ำที่เต็มไปด้วยความรักอย่างไม่ปิดบัง
หม่าซือโถวนางเป็นเพียงสตรีบ้าน ๆ ที่ไม่เป็นที่รักของบิดาและมารดา แม้แต่ชื่อของนางพวกเขาก็ยังตั้งให้อย่างไม่ใส่นัก นางเป็นเพียงซือโถวก้อนหินไร้ค่าก้อนหนึ่งเท่านั้น
การมีอยู่ของนางนั้นจะมีหรือไม่มีก็ไม่สลักสำคัญอันใด เมื่อนางถูกแม่ทัพหนุ่มช่วยเหลือจากอุทกภัยเมื่อหลายปีก่อนนางจึงรู้สึกขอบคุณและตั้งใจไปช่วยเหลือกลุ่มทหารที่มาช่วยเหลือชาวบ้านด้วยการไปช่วยทำอาหารตอบแทน
ด้วยนิสัยที่อ่อนโยนของนาง....ไม่นานนักนางก็เผลอกายได้เสียกันกับแม่ทัพตรงหน้า แม้นางจะเสียใจแต่นางไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก นางเพียงอยากตอบแทนเท่านั้นแต่เรื่องราวกลับไม่จบแค่ที่หมู่บ้าน....
แม่ทัพหนุ่มกลับพานางมาที่เมืองหน้าด่านด้วยและยังมอบฐานะอนุภรรยาให้แก่นาง แต่ใครจะคิดว่าเขานั้นกลับมีภรรยาและลูกอยู่แล้ว นางจึงทำได้เพียงอดทนเท่านั้นเพียงเพื่อความรัก...ใช่เพราะนางรักสามีด้วยใจจริง แม้จะต้องทำให้สตรีอีกคนเสียใจและทุกข์ทนเพราะนางแต่นางก็อดจะเห็นแก่ตัวไม่ได้เพราะนางก็รักของนางเช่นกัน
"ไปอยู่กับบ่าวไพร่ตรงนั้นเถอะ เหตุการณ์สงบค่อยออกมา" หยางอวี่หนิงจัดแจงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ทุกคนควรหาที่ซ่อนให้ดีและพร้อมสู้ตลอดเวลา เพราะพวกเขาอยู่ในที่แจ้งส่วนศัตรูอยู่ในที่ลับไม่รู้ว่าศัตรูมีเท่าไหร่และจะจู่โจมอีกครั้งตอนไหนก็ไม่ทราบได้
"นายท่านพวกคนชุดดำนี้จุดควันไฟที่ให้ฤทธิ์กดประสาทขอรับ แต่ข้าทำลายหมดไปแล้ว" โจวต้าถังวิ่งไปหาเจ้านายของตนเองอย่างรวดเร็วก่อนจะรายงานสิ่งที่ไปสืบมาอย่างรวดเร็วให้แม่ทัพได้รู้ทันที ไม่ทันที่จะได้วางแผนอันใดกลุ่มห่าธนูก็พุ่งออกมาจากความมืดอย่างมากมายพุ่งเข้าใส่คนที่อยู่ในจวนสกุลหยางทันที
ฟิ้ว ฉึก
ธนูไฟถูกยิงมาจากที่สูงก่อนที่มันจะลุกลามไปอย่างรวดเร็วทันที เรือนหลังเล็ก ๆ ที่ด้านในไม่มีอะไรให้ต้องห่วง บ่าวไพร่ที่อยู่ไม่ไกลต่างไม่รอช้าต่างก็พากันรีบไปดับไฟทันทีเพื่อยับยั้งภัยพิบัติ
ธนูลูกดังกล่าวถ้าจะพูดให้ถูกจริง ๆ แล้วมีความหมายนอีกอย่างนั้นก็คือการยิงธนูขู่ขวัญพวกเขานั้นเอง
"ศัตรูบุก....เตรียมตัวให้ดี" แม่ทัพหนุ่มสวมเกราะรบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในตอนนี้ต่างก็พร้อมสู้เพื่อปกป้องครอบครัวและเพื่อนพ้อง
ทหารสกุลหยางแต่ละคนจับดาบแน่นเพื่อรอคำสั่งการจากแม่ทัพใหญ่
"ขอรับ" กลุ่มทหารพร้อมอาวุธขานรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมจนสนั่นบริเวณ ทหารแต่ละคนต่างก็มีสีหน้าที่แน่วแน่
สายตาของทุกคนจ้องมองไปทางฝั่งศัตรูที่แฝงกายอยู่ตามหลังคาจวนด้วยสายตาโกรธแค้น พวกเขาในตอนนี้อยากจะสู้รบแล้วแค่แม่ทัพออกคำสั่งพวกเขาก็จะจับดาบห้ำหั่นพวกนั้นให้จมกองเลือดไม่ให้มีแม้แต่ลมหายใจกลับไป~
พรึบ
ไม่นานนักกลุ่มคนชุดก็ปรากฏกายออกมาอย่างมากมายแต่ละคนแผ่กลิ่นอายเหี้ยมโหดออกมา.....ทั้งสองกลุ่มต่างประจันหน้ากันไม่พูดไม่กล่าว
"ฆ่ามัน"
"ฆ่า"
"ฆ่า"
"ฆ่า"