ตอนที่2 เรื่องราวของหลี่ซูเจิน
"ฮูหยินน้อย"
"ฮูหยินน้อยเจ้าคะ"
เสียงเรียกแปลกประหลาดดังขึ้นที่ข้างหูหลี่ซูเจินถี่ ๆ ไม่หยุด ยังพร้อมด้วยแรงสะกิดเขย่าที่แขนไปมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่นานสองนาน...แต่ก็ยังไม่สามารถปลุกให้คนที่หลับอยู่นั้นตื่นขึ้นมาได้สักนิด
"......................."
สองสาวใช้ที่หน้าตาเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออกต่างก็มองหน้ากันด้วยสายตาจนใจ พวกนางต่างมีใบหน้าที่แสดงความกังวลอยู่บนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
'น่ารำคาญจริง ๆ'
หญิงสาวที่นอนบนเตียงกว้างย่นคิ้วด้วยความไม่พอใจทันที ใบหน้ากลมที่เต็มไปด้วยสิวหนองบนใบหน้ามีสีแดงก่ำจากการอักเสบของสิวเต็มไปหมด
ปากกระจับแตกระแหงจนมีเลือดซึม...มองไปแล้วชวนให้ไม่สบายสายตาเสียเท่าไหร่ แพขนตางอนสั่นไหวไปมาครู่หนึ่งก่อนที่ดวงตากลมหวานฉ่ำจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาเพราะความรำคาญ...
"ฮูหยินน้อยบ้าอะไรของเธอ" คนบนเตียงเอ่ยเสียงดังรำคาญออกไป....น้ำเสียงที่เอาแต่ใจปากก็บ่นด่าคนที่รบกวนการนอนไม่หยุด แต่ดวงตากลมกลับหลับพริ้มลงอีกครั้งด้วยความง่วง
"......................"
"......................"
ร่างอวบทำการพลิกตัวหาท่าที่ทำให้หลับสบายอีกครั้ง...เมื่อได้ที่ก็เริ่มทำการหลับอีกครั้ง ด้วยความที่หญิงสาวเพลียไม่น้อยหลังจากที่โหมงานหนักมามากกว่าสามเดือนเต็ม ๆ เมื่อถึงเวลานอนหญิงสาวมักจะนอนให้เต็มที่และจะวีนทุกคนที่มาขัดจังหวะการพักผ่อนอยู่เสมอ~
"ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ท่านแม่ทัพมาขอพบเจ้าค่ะ" อาหลัวที่สวมอาภรณ์สีเทาไร้การปักลวดลายนางเป็นสาวใช้แฝดผู้พี่ทำใจกล้าเอ่ยกับเจ้านายสาวของตนเองอีกครั้งด้วยความตระหนกนางไม่มีความแน่ใจนักว่าเจ้านายหญิงที่แสนจะเอาแต่ใจนั้นจะยอมตื่นขึ้นมาหรือไม่
นางก็เพิ่งมารับใช้เจ้านายคนนี้ใหม่เช่นกัน พวกนางไม่รู้จักนิสัยของคนตรงหน้ามากนัก รู้เพียงว่าเป็นบุตรีของเสนาบดีหลี่ตู้จวิน เป็นบุตรสาวที่ถูกประคบประหงมเลี้ยงดูมาอย่างดีและยังมีนิสัยที่ร้ายกาจไม่เบาดังนั้น...ดังนั้นพวกนางสองพี่น้องที่ได้รับหน้าที่มาเป็นสาวใช้ในเรือนไผ่หลิวแห่งนี้ต่างก็ถูกสาวใช้คนอื่น ๆ กำชับอยู่เสมอมาว่า....อย่าทำให้เจ้านายโกรธเคืองดีกว่าเพื่อรักษาชีวิตน้อย ๆ ให้ยาวนานจนแก่ตาย~
"โอ๊ย! ไม่พบฉันง่วงเข้าใจหรือไม่...เดี๋ยวแม่จะฟาดให้" หลี่ซูเจินวีนเสียงดังทันที เท้าทั้งสองของยกขึ้นยกลงจนเสียงดังตึง ๆ ไม่เท่านั้นมืออวบยังยกขึ้นทำท่าจะฟาดใส่คนที่บังอาจมาทำลายการหลับพักผ่อนอีกด้วยอย่างเอาแต่ใจเหมือนเด็ก
"จะ..เจ้าค่ะ" ฮาหลังถอยร่นออกมาทันทีด้วยความกลัว….เมื่อตั้งสติได้นางก็รีบส่งสัญญาณให้กับน้องสาวของตนเองที่รออยู่ไม่ไกลอย่างอาหลีให้ไปแจ้งข่าวแก่แม่ทัพที่รออยู่หน้าประตูทันทีว่านายหญิงของพวกนางนั้นปฏิเสธไม่พบ
อาหลีไม่รอช้ารีบก้าวเท้าจากหอนอนของเจ้านายสาวเพื่อไปแจ้งแก่นายท่านของบ้านอย่างแม่ทัพน้อยหยางเฉินหลงที่นั่งรอด้านนอกทันทีด้วยความไม่สบายใจ นางหวังว่านายท่านจะเข้าใจพวกนางนะ อาหลีคิดในใจอย่างกังวลทั้งนายท่านและนายหญิงนั้นต่างก็เป็นบุคคลที่พวกนางนั้นกลัวทั้งคู่
ตึก ตึก ตึก
หัวใจของอาหลัวเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอกด้วยความกลัว เจ้านายของพวกนางทั้งสองนั้นต่างก็มีนิสัยที่แปลกประหลาดหนึ่งเอาแต่ใจเหมือนเด็ก ๆ อีกคนก็เงียบขรึมเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้ช่างเป็นคู่สามีที่แปลกประหลาดที่สุดเลยก็ว่าได้ในต้าซีแห่งนี้
............................
"นายท่านเจ้าคะ...ฮูหยินน้อยไม่ตื่นเจ้าค่ะ" อาหลียอบกายถวายความเคารพเจ้าบ้านที่ยืนเหม่อมองต้นไม้อยู่เงียบ ๆ อย่างเกรงกลัว เอ่ยจบนางก็ก้มหน้ามองพื้นพยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุดเท่าที่จะทำได้
"......................."คนที่ถูกเรียกว่านายท่านสวมอาภรณ์สีดำเรียบ ๆ เขามีผิวกายสีแทนอมน้ำตาลแผ่กลิ่นอายเย็นชา บนใบหน้ายังสวมหน้ากากเงินบดบังรอยแผลเป็นที่ได้จากการสู้รบเมื่อหลายปีก่อนบนใบหน้าทางขวาเอาไว้เหมือนทุกครา
ร่างหนาหันไปทางสาวใช้ที่มาแจ้งข่าวทันที เขาจ้องมองไปทางด้านในเรือนนอนของฮูหยินที่เพิ่งแต่งมาได้เพียงวันเดียวเท่านั้น...
ราวกับจะมองให้ทะลุถึงสตรีที่อยู่ด้านในว่านางคิดอย่างไรกับเขากันนะ? เขารู้เพียงว่านางไม่อยากแต่งงาน....แต่เขาก็ไม่คิดว่านางจะรังเกียจเขาได้ขนาดนี้จนไม่ยอมพบหน้ากัน
นางก็คงไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่นี่ ใช่สิเขามันคนอัปลักษณ์ ไม่แปลกที่ใคร ๆ ก็รังเกียจเขา
"หึ!" ร่างหนาแสยะยิ้มดูแคลนออกมา มือหนากำดาบแน่นจนเส้นเลือดนั้นปูดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวทันทีเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ
"อืม ให้นางนอนเถอะ" เสียงเย็นชาและห่างเหินเปล่งออกมา เท้ายาวเดินออกจากเรือนไผ่หลิวที่เป็นที่ตั้งที่ดีสุดของจวนทันที แต่เดินได้เพียงสามก้าวเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
"ข้าจะไปรักษาชายแดนสามเดือนถึงกลับ บอกนางด้วยนะตอนที่นางตื่นนอน"เสียงเย็นชาอ่อนลงเขาเอ่ยกับสาวใช้ที่ยังนิ่งอยู่กับที่เสียงดังไม่หันหลังไปมองด้วยประโยคยาวเหยียดมากกว่าที่เคยพูด
"เจ้าค่ะนายท่าน" อาหลีรับทราบ เมื่อเจ้านายหนุ่มจากไปพร้อมองครักษ์คู่ใจจนลับสุดสายตา นางก็รีบไปด้านในเรือนนอนทันทีก่อนจะไปพูดคุยกับอาหลัวผู้เป็นพี่สาวเรื่องที่นายท่านกำชับเอาไว้
.............................
เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในเรือนไผ่หลิวหญิงสาวร่างอวบอ้วนนอนหายใจเร็วรัวใบหน้ากลมเต็มไปด้วยเหงื่อตามกรอบหน้า ใบหน้างดงามย่นคิ้วอย่างเจ็บปวดตลอดการนอนหลับบนเตียงนุ่ม
บรรยากาศที่เย็นสบายแต่คนบนที่นอนนั้นกลับมีเหงื่อไหลจนชุ่มไปทั่วกรอบหน้า นางราวกับตัวเองนั้นนอนอยู่บนเตียงไฟที่ร้อนระอุ
ในห้วงความฝัน หลี่ซูเจินทำได้เพียงมองดูเรื่องราวต่าง ๆ ที่ฉายชัดไปมาอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ สิ่งที่นางเห็นนั้นเป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่น่าจะเป็นคนโบราณ
ตั้งแต่เด็กทารกตัวน้อยเกิดมา แปรเปลี่ยนเป็นเด็กน้อยที่น่ารักและเริ่มเอาแต่ใจตามประสาลูกคนรวย ด้วยความที่ถูกเลี้ยงดูด้วยความตามใจและมีแต่คนประคบประหงมอยู่ตลอดเวลา เด็กน้อยคนนั้นจึงมีนิสัยที่แย่แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก นางมักจะดุด่าสาวใช้อยู่บ่อย ๆ เวลาไม่ได้ดั่งใจ
จวบจนเวลาผ่านไปหลายปีด้วยความที่เด็กน้อยเป็นคนที่ช่างทานอยู่แล้ว นางชมชอบทานอาหารที่มีแต่เนื้อตลอดสามมื้อและยังตบท้ายด้วยขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจตลอดหลายปี
หลี่ซูเจินชอบทานอาหารอร่อย ๆ แต่กลับไม่ชอบขยับร่างกาย วัน ๆ มีแค่กินกับนอนอยู่เป็นประจำอยู่หลายปี จนเด็กน้อยรู้ตัวอีกทีนางก็มีน้ำหนักร่วมเกือบร้อยกิโลในวัยเพียงสิบสามปีเท่านั้น!!
ไม่ใช่เพียงแค่น้ำหนักเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด บนใบหน้าที่จะควรเกลี้ยงเกลาของหญิงสาวยังเต็มไปด้วยตุ่มหนองจนเต็มสองแก้มกลมอย่างมากมาย จากเด็กน้อยที่เคยน่ารักน่าทะนุถนอมก็กลับกลายเป็นเหมือนแม่หมูอัปลักษณ์เท่านั้น
จากเด็กสาวที่เคยอารมณ์ดีก็แปรเปลี่ยนเป็นคนโมโหร้ายทุบตีคนระบายอารมณ์อยู่บ่อย ๆ นางชอบเก็บตัวอยู่แต่ในจวนไม่ออกไปเที่ยวคบค้าสมาคมกับใคร
ด้วยความอับอายในหน้าตายามที่ใครเผลอมองมา เด็กสาวก็เริ่มไม่พอใจเหมือนคนที่มองมานั้นคอยหัวเราะเยาะนางตลอดเวลา ด้วยความคิดลบ ๆ จึงทำให้เด็กสาวนั้นมีอารมณ์ร้อนและฉุนเฉียวอยู่ตลอด บ่าวไพร่ในจวนไม่สามารถจ้องมองนางได้ถ้าใครแอบมองและนินทาคนคนนั้นจะถูกโบยและขายทิ้งทันทีที่ซ่องชั้นต่ำโทษฐานที่มองหน้านาง
สองปีให้หลังจู่ ๆ หญิงสาวอย่างหลี่ซูเจินก็ได้รับพระราชทานสมรสกับแม่ทัพอัปลักษณ์ที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ที่ชายแดนจนตัวดำเหมือนหมี แถมยังมีข่าวลือว่าเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตและนิสัยเย็นชา ทุก ๆ อย่างอยู่ ๆ ก็เหมือนแตกสลาย
คุณหนูหลี่ซูเจินก็เริ่มกลายเป็นคนโมโหร้ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่ด้วยความที่เป็นพระราชทานสมรสนางจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ดังนั้น นางจึงต้องตบแต่งเข้าตระกูลหยางอย่างช่วยไม่ได้
ความจริงที่หลี่ซูเจินเสียใจที่สุดในชีวิตนั้นก็คือปล่อยให้ตนเองกลายเป็นคนอ้วนฉุอัปลักษณ์และพลาดโอกาสไม่ได้แต่งงานกับชายในดวงใจอย่างองค์ชายสามที่หล่อเหลานางรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว
ตั้งแต่แต่งงานมา…นางก็รู้สึกราวกับโลกทั้งใบแตกสลายมองไปทางไหนก็มีแต่ความทุกข์ตรม นางน้อยใจในชะตาชีวิตของตนเองยิ่งนักแม้แต่ชายในดวงใจนางก็มิได้ครอบครอง
ด้วยความที่นางไม่ยินดีจะใช้ชีวิตคู่กับแม่ทัพหนุ่มที่อัปลักษณ์ นางจึงตั้งใจไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเงียบ ๆ คนเดียวหลังจากคืนส่งตัวเข้าหอแต่นางก็ถูกช่วยเหลือจากบ่าวไพร่ในจวนตระกูลหยางจึงรอดชีวิตมาได้ และนางก็นอนซมตรอมใจจากไปอย่างเงียบ ๆ คนเดียวบนเตียงกว้างในคืนเข้าหอ !!!