หลังจากที่คุยกันวันนั้น ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น จะมีก็แต่ชาตินี่แหละ ที่เหมือนตัวเองจะทำตัวไม่ปกติ ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะพูดหรือคุยอะไร แม้แต่มองหน้ามะปราง ชาติก็ยังไม่กล้ามองเต็มตาเลยด้วยซ้ำ จะว่าพยายามหลบหน้าก็อาจจะเป็นเช่นนั้น
ก็มันไม่ชิน ที่มีผู้หญิงมาเปิดประเด็นแบบนี้ก่อน ส่วนมากเขาจะเป็นคนเริ่มก่อน และที่สำคัญชาติไม่แน่ใจ ว่าที่มะปรางเอ่ยออกมาเช่นนั้น เพราะต้องการประชดชีวิตหรือไม่ หรือเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น
ชาติไม่อยากให้มะปรางเสียใจภายหลัง ถึงแม้เขาจะอยากกระโจนเข้าใส่ ตั้งแต่เธอยื่นข้อเสนอมาก็ตาม แต่หมาจิ้งจอกนุ่งขาวห่มขาวอย่างเขา ก็ต้องอดทนอดกลั้น แม้กลิ่นเนื้อสาวจะหอมยั่วยวนใจ จนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
“เอากาแฟขมๆ มากระแทกปากซิอีหนู” เอ่ยสั่งเจ้าของร้านขายกาแฟเจ้าประจำ ที่สนิทสนมกันมานมนาน เรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันดีทุกอย่าง
“ชีวิตมันหวานจนเลี่ยน ถึงขนาดต้องใช้กาแฟมาตัดความหวานเลยเหรอพี่ชาติ” คนถูกแซวปรายตามองเจ้าของร้านเล็กน้อย
“พูดมาก”
“พูดแทงใจอะเนาะ แล้วตกลงจะบอกได้หรือยัง ว่าไปเอาลูกเต้าเหล่าใครเขามาเลี้ยง หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มดีนะพี่”
ลมหายใจหนักๆ กระแทกออกมา เพราะวันนั้นเขาดันพลาดที่สั่งข้าว สั่งน้ำร้านนี้ให้ไปส่งที่ร้าน และมะปรางก็เดินออกมาจากหลังร้านพอดิบพอดี จึงทำให้แม่ค้าที่สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านอย่างปลาไปเห็นเข้า
“ไม่ต้องรู้สักเรื่องได้ไหมล่ะ”
“พี่น้องกันไหมล่ะ เวลาปลามีเรื่องอะไรปลายังเล่าให้พี่ฟังเลย”
“เอ็งมาเล่าเองครับ พี่ไม่ได้ถาม”
“โธ่! พี่ชาติ พูดซะ... ไม่รู้แหละ ตกลงจะบอกไม่บอก ว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง หรือว่าจะให้ปลาไปเยี่ยมเยียนพี่ถึงร้านดี”
“เออๆ บอกก็บอก”
เอาวะ อย่างน้อยๆ สองหัวก็น่าจะดีกว่าหัวเดียว บางทีปลาอาจจะช่วยเขาหาทางออกของเรื่องนี้ได้ หลังจากที่ชายหนุ่มพยายามหาคำตอบให้ตัวเองมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมตัวเองถึงได้พยายามหลบหน้ามะปราง หลังจากคุยกันเรื่องนั้น และที่สำคัญต้องทำอย่างไรต่อไปดี
“เอ็งว่าพี่ควรทำยังไงดีวะไอ้ปลา” ชาติเอ่ยถามหลังจากที่เล่าทุกอย่างให้ปลาฟัง คนถูกถามยิ้มแห้ง ไม่น่าเลยเรา ไม่น่าไปอยากรู้เรื่องคนอื่นเลย
“พี่ชาติ เอาตามตรงเลยนะ พี่ตัดสินใจเองเลยว่าจะเอายังไงต่อ”
“กูว่าแล้ว ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
“โธ่! พี่ เรื่องแบบนี้มันพูดยากอะ แต่ถ้าให้ปลาเสนอความคิดเห็นนะ ในเมื่อพี่ออกปากรับคำกับพ่อเขาแล้ว ว่าจะรับผิดชอบ ขอดูแลเขาขนาดนั้น มันก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่กับเขาจะทำเรื่องอย่างว่า อีกอย่างเขาเองนะที่เป็นคนเริ่มก่อน นั่นก็แสดงว่าเขาก็คงรู้สึกดีกับพี่แหละ เอาอย่างงี้ เย็นนี้พี่กลับไปถามน้องเขาใหม่ ว่าเขายังยืนยันคำพูดวันนั้นอยู่ไหม ถ้าน้องเขาบอกว่ายืนยัน พี่ก็ลุยได้เลย แต่ก็อย่าลืมป้องกันล่ะ สงสารเด็กตาดำๆ ที่จะเกิดมา... และถ้าพี่รู้สึกกับน้องมันมากกว่าแค่คู่นอน ปลาเชื่อ ว่าพี่เป็นคนมีความรับผิดชอบ สามารถดูแลน้องเขาได้”
“แต่พี่กลัวพี่ดูแลเขาไม่ดีพอว่ะ พี่ไม่ได้มีอาชีพที่มั่นคง พี่ไม่ได้มีบ้านหลังใหญ่โตที่จะทำให้เขาสุขสบายนะปลา ซ่อมรถมันจะสักกี่บาทกันเชียว”
“ดราม่าเพื่อ? ถ้าคิดไกลไปถึงอนาคตขนาดนี้ ปลาว่าพี่ก็รู้สึกดีกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย แต่พี่แค่กลัวว่าจะเลี้ยงเขาไม่ได้ ถ้าเกิดว่าต้องมาใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันจริงๆ ใช่ปะ”
“ไม่รู้ดิ”
“พี่ชาติ อย่าหาว่าน้องสอนเลยนะ ผู้หญิงบางคนเขาก็พร้อมลำบากไปกับเรา เขาก็พร้อมสู้และสร้างความมั่นคงไปกับเรา ไม่แน่นะ อีหนูของพี่ เขาอาจจะเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะสร้างครอบครัวไปกับพี่ก็ได้”
“มันจะมีเหรอวะไอ้ปลา เอ็งก็เห็นว่าที่ผ่านมา...”
“พี่เคยได้ยินประโยคนี้ไหม อย่าเอาคนปัจจุบัน ไปเปรียบเทียบกับคนที่ผ่านมา อย่าเอาอดีตมาตัดสินปัจจุบัน... ถ้าใจเรามันอยากได้เขาก็จัด อย่าเพิ่งกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด ลุยดิวะพี่ชาติ อย่าด๋อยนักเลย ทีกับผู้หญิงคนอื่นฟาดเรียบไม่สนลูกใครเมียใคร แต่ทำไมพอเป็นคนนี้ขี้ขลาดจังวะ”
นั่นน่ะสิ! ชาติก็ยังงงกับตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมกับมะปราง ถึงได้ขี้ขลาดขนาดนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นนะ ชาติกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลย ว่าเสร็จไปตั้งแต่คืนแรกที่อยู่ด้วยกันแล้ว ตัวเล็ก หุ่นดี ผิวขาว หน้าตาน่ารักขนาดนั้น ไม่ปล่อยมาจนป่านนี้หรอก
“มานั่งทำไมตรงนี้” เมื่อกลับมาถึงร้านซ่อมรถ ชาติก็เอ่ยถามคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่หน้าร้าน มะปรางเงยหน้าขึ้นมองคนถาม และลุกขึ้นยืน
“ก็หนูตากผ้าเสร็จ เรียกพี่ตั้งนานไม่เห็นพี่ก็เลยมานั่งรอ ไปไหนก็ไม่ยอมบอก” ประโยคสุดท้ายคล้ายกลับตัดพ้อต่อว่าคนตรงหน้า
มะปรางไม่รู้ว่าเกือบอาทิตย์ที่ผ่านมาชาติเป็นอะไร ถึงได้ทำตัวห่างเหินกับเธอนัก เธอรู้สึกเหมือนชาติพยายามหลบหน้าเธอตลอดเวลา ชวนกินข้าวพร้อมกันก็ไม่กิน บอกว่าไม่หิว ทั้งที่อาทิตย์แรกยังกินด้วยกันได้อยู่เลย
พอเธอเดินออกมานั่งดูโทรทัศน์ด้วย ก็ขยับตัวลุกออกมานอกร้าน ทำเหมือนเขากำลังเบื่อเธออย่างนั้น หรือว่าสิ่งที่เขาทำเป็นการบอกนัยๆ ให้เธอออกไปจากที่นี่อย่างนั้นใช่ไหม
“ไปซื้อน้ำปั่นมาให้ อะนี่” ยื่นแก้วน้ำที่ถือติดมาให้คนตรงหน้า มะปรางยื่นมือไปรับมาถือไว้
“ขอบใจจ้ะ”
“พี่ทำงานก่อน” ว่าจบชาติก็เดินผ่านมะปรางเข้าไปด้านใน เพื่อไปเอาสมุดบันทึกรายการอะไหล่ของร้านมาเช็กสต๊อกว่าต้องซื้ออะไรเพิ่มบ้าง
“ให้หนูช่วยอะไรไหมพี่” เพราะนอกจากงานบ้าน มะปรางก็แทบไม่ได้ทำอะไรเลย
“ไม่ต้อง เอ็งเข้าไปพักเถอะ ซักผ้า ตากผ้าก็เหนื่อยแล้ว” เอ่ยตอบกลับมา โดยที่ไม่คิดจะหันมามองคนที่ยืนถือแก้วน้ำปั่นแต่อย่างใด
“จ้ะ”
มะปรางเดินเข้ามานั่งในห้องนอนที่ชาติยกให้ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาน้าผ่อน เพื่อสอบถามถึงผู้เป็นพ่อ แม้จะถูกไล่ออกจากบ้าน และตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันก็มีปากเสียงกันเสมอมา ทว่ามะปรางก็ยังเป็นห่วงท่านอยู่ดี
“พ่อเป็นยังไงบ้างน้าผ่อน... เหรอคะ... หนูฝากน้าดูพ่อหน่อยนะ ค่ะ” เมื่อรู้ว่าผู้เป็นพ่ออยู่ดีมีสุข มะปรางคุยต่ออีกไม่นานก็วางสาย
จากนั้นก็ต่อสายหาเจ้าของร้านที่หญิงสาวเคยทำงาน นั่นก็คือร้านที่เธอได้เจอกับชาติ
“คุณนัทคะ หนูขอกลับไปทำงานด้วยได้ไหมคะ” เพราะหยุดงานไปเกือบสองอาทิตย์ แม้จะโทรแจ้งกับเจ้าของร้าน ถึงสาเหตุการไม่ไปทำงานแล้วก็ตามว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ามะปรางก็ไม่สบายใจ หากจะเดินดุ่มๆ กลับเข้าไปทำงานโดยไม่โทรขอเจ้าของร้านเสียก่อน
“ขอบคุณคุณนัทมากเลยนะคะ ถ้าอย่างนั้นหนูเข้าไปคืนนี้เลยนะคะ... ค่ะ... สวัสดีค่ะ”
หลังจากวางสายจากเจ้าของร้าน มะปรางก็ออกจากห้องนอนมายังหลังร้าน เพื่อเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ชาติ เนื่องจากวันนี้เธอต้องเข้าร้านเร็วหน่อย เพราะเจ้าของร้านบอกว่ามีตำแหน่งงานใหม่ให้เธอทำ ไม่ต้องไปเสิร์ฟเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จึงอยากให้เธอเข้าไปเรียนรู้งาน
ต่างคนต่างใช้เวลาอยู่กับหน้าที่ของตัวเอง ชาติทำหน้าที่ซ่อมรถลูกค้าอยู่หน้าร้าน ส่วนมะปรางก็ทำงานบ้านอยู่ด้านหลัง จวบจนกระทั่งเวลาเย็นย่ำ เจ้าของร้านซ่อมรถเริ่มเก็บร้าน ส่วนผู้อาศัยก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน
“พี่ชาติ หนูไปทำงานนะพี่” เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย มะปรางก็เดินออกมาบอกชาติที่นั่งสูบบุหรี่อยู่หน้าร้าน คนที่กำลังสูดสารนิโคตินเข้าปอด รีบจี้บุหรี่ลงกับดินจนดับสนิทและทิ้งลงถังขยะ ขยับตัวลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาหา
“ทำงานที่ไหน”
“ก็ที่ร้านนั่นแหละ ไม่อยากนั่งกินนอนกินให้พี่เลี้ยง แค่มาอาศัยอยู่ก็เกรงใจจะแย่ นี่หนูก็คิดว่าจะลองคุยกับเจ้าของร้านดู ว่าห้องที่เขาทำไว้ให้พนักงานมีเหลือไหม หนูจะได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น หรือไม่ก็ลองถามคนที่ร้าน ว่าแถวละแวกร้านมีห้องเช่าหรือเปล่า หนูอยู่กับพี่นานก็เกรงใจ มาอยู่กินสบายใจเลย”
“เอ็งลำบากใจ” หยั่งเชิงถาม ด้วยความไม่เข้าใจ วันนั้นยังบอกอยู่เลยว่าลองรักสนุกดูไหม ทำไมวันนี้ถึงคิดจะหาที่อยู่ใหม่
“มันก็ลำบากใจอยู่แหละพี่ ก็เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน จะมากินนอนด้วยกันมันก็แปลกๆ”
“ถ้าเป็นอะไรกันก็จะอยู่ต่อว่างั้น”
มะปรางอึกอักตอบไม่ถูก ไม่รู้จะตอบยังไง อีกอย่างเธอก็ไม่เข้าใจชาติด้วย เขาน่าจะดีใจไม่ใช่เหรอที่เธอจะย้ายออก เพราะเขาจะได้อยู่อย่างสบายใจ ไม่ต้องคอยหลบหน้าเธอเหมือนหลายวันที่ผ่านมา
เธอไม่รู้ว่าชาติรังเกียจเธอหรืออย่างไร ก่อนหน้าที่เธอจะพูดเรื่องอย่างว่า ชายหนุ่มก็ดูปกติ แต่หลังจากที่เธอเอ่ยแบบนั้นออกมาเขาก็เปลี่ยนไป หรือแท้จริงเขาจะไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่อาจจะชอบผู้ชาย
“ว่าไง” เมื่อเห็นมะปรางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดชาติเอ่ยถามอีกครั้ง
“ก็ ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หนูกลัวพี่ลำบากใจ เผื่อพี่อยากจะพาใครมาค้างที่นี่ แต่ติดที่มันมีหนูอยู่”
“คิดมาก”
“หนูไม่ได้คิดมากนะพี่ แต่หนูพูดจริงๆ”
“ถ้าอยากจะไปทำงานก็ไปทำ แต่เรื่องย้ายไปอยู่ที่อื่นพี่ไม่อนุญาต เพราะพี่รับปากกับพ่อเอ็งแล้ว ว่าจะดูแลรับผิดชอบเอ็ง พี่ก็ต้องทำ”
“แต่ว่า...”
“เดี๋ยวพี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จะไปส่งที่ร้าน” พูดจบชาติก็เดินผ่านมะปรางเข้าไปหลังร้าน หญิงสาวก็ได้แต่มองตามหลังไป
ทีแรกชาติว่าจะปล่อยผ่าน แต่เมื่อได้ยินมะปรางพูดว่าจะออกไปหาที่อยู่ใหม่ ชาติคิดว่าเขาคงปล่อยผ่านไปไม่ได้ ชายหนุ่มต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เริ่มแรกคือการทำหน้าที่มารับมาส่งหญิงสาว เพราะมะปรางไม่มีรถในการเดินทาง
รถจักรยานยนต์คันใหญ่สีดำจึงเป็นยานพาหนะที่พาคนทั้งสองมาถึงร้าน มือบางที่วางอยู่บนเอวสอบเลื่อนออกทันทีเมื่อรถจอดหน้าร้าน ชาติทำหน้าที่ถอดหมวกกันน็อคให้คนที่ซ้อนมาด้านหลัง ทำเอามะปรางใจเต้นแรงขึ้นมา เกิดมายังไม่เคยมีใครถอดหมวกกันน็อคให้เลยด้วยซ้ำ
“ขอบคุณนะพี่ ที่มาส่ง”
“ใกล้เลิกงานแล้วโทรบอก เดี๋ยวมารับ” ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เพิ่งจะมีเบอร์โทรศัพท์และช่องทางการติดต่ออื่นๆ ก็วันนี้นี่แหละ
“ไม่ต้อง มันดึกหนูเกรง....”
“ถ้าเอ็งกลับเอง พี่ยิ่งเป็นห่วง เอาเป็นว่าใกล้เลิกงานโทรไปบอก เดี๋ยวจะมารอตรงนี้ ไปเข้าร้านได้แล้ว ตั้งใจทำงานล่ะ อย่าให้ผู้ชายมาถึงเนื้อถึงตัว ระวังด้วย”
“จ้ะ พี่ก็ขับรถดีๆ นะ ถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกหนูหน่อย หนูจะได้สบายใจว่าพี่ถึงบ้านแล้ว” แม้ไม่มีคำว่า ห่วง แต่ชาติกลับรู้สึกว่ามะปรางกำลังบอกว่าเธอเป็นห่วงเขา คนดิบเถื่อนที่ไม่ค่อยได้รับความห่วงใยก็แสร้งตีหน้าขรึมใส่ ทั้งที่ในใจมันเต้นแรงไปแล้ว
“อืม”
“หนูไปทำงานก่อนนะ ขับรถดีๆ นะพี่” มะปรางยิ้มให้คนที่เพียงแค่พยักหน้ารับ จากนั้นหญิงสาวก็เดินเข้าไปภายในร้าน เมื่อเห็นว่ามะปรางเข้าร้านไปเรียบร้อย ชาติจึงขับรถจักรยานยนต์คู่ใจออกจากร้าน
“อะไร ยังไง ทำไมวันนี้มีผู้ชายมาส่งคะน้องมะปราง” ทันทีที่มะปรางก้าวขาเข้ามาในร้าน เสียงแซวก็ดังขึ้นจากพี่เล้งผู้จัดการร้าน
“สวัสดีค่ะพี่เล้ง” คนถูกเรียกชื่อเก่าแก่ที่บิดามารดาตั้งให้ ยกมือขึ้นเท้าเอวจิกตาใส่มะปรางอย่างเอาเรื่อง
“ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ค่ะ ตบตามอายุเลยค่ะ เรียกใหม่ค่ะ ลิ้นจี่ เรียกพี่ว่าลิ้นจี่ไม่ใช่เล้งค่ะ” มะปรางหัวเราะร่า ที่ได้แกล้งพี่ลิ้นจี่สาวสวย
“พี่ลิ้นจี่คนสวย”
“ดีมาก ตอบมาว่าทำไมวันนี้มีผู้ชายมาส่ง ปกติเห็นโหนสองแถวมาตลอด”
“เรื่องมันยาว อีกอย่างหนูต้องรีบขึ้นไปหาคุณนัทด้วย เห็นบอกว่าจะให้มาเรียนงานแทนพี่ฟ้า”
“งั้นเดี๋ยวค่อยเล่า ไปเถอะ” ยกมือขึ้นโบกไล่มะปรางให้ไปหาเจ้าของร้าน หญิงสาวจึงผละตัวเดินเข้าไปยังด้านใน ตรงขึ้นไปยังชั้นสองของร้านที่เป็นห้องทำงานของเจ้าของร้านแห่งนี้