พระพายมองดูด็อกเตอร์สาวที่กำลังดูแลเอาอกเอาใจนางแบบสาว ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร คิดว่าอาจเพียงแค่รู้จักหรือเป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อได้ยินพิมพ์พลอยพูดเปรยๆ จึงเริ่มจับสังเกตอาการ ก็ดูแปลกๆ อยู่เหมือนกัน
“ไปหาอะไรทานกันก่อนไหมสองสาว กว่าจะซ้อมคงอีกสักพัก”
“ขอบคุณค่ะ พี่ไต้ฝุ่น เดี๋ยวแพรจัดการเองค่ะ” แพรพรรณบอกและดึงแขนเสื้อของชนาที่ทำหน้างงๆ ก่อนจะลุกขึ้น
“แพรไปทานก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราไปสั่งอาหารให้ป้ากับแม่ก่อน” ชนาบอกแล้วหันมายิ้มให้พระพายที่ถึงกับยืนกอดอก เมื่อได้ยินชนากำลังเอ่ยถึงครอบครัวของแพรพรรณ ซึ่งพระพายพอจะรู้จักกับป้าพริ้ง แต่กับมารดาทำไมชนาถึงได้ไปรู้จักมักจี่ แล้วสองคนนี้ไปสนิทกันตอนไหน ทำไมชนาไม่เคยเล่าให้ฟังมาก่อน
“ไปทานอะไรก่อน เดี๋ยวค่อยไปก็ได้” แพรพรรณพูด น้ำเสียงฟังดูเป็นห่วงปนดุ พระพายได้ยินเข้าถึงกับอมยิ้ม
“ร้านไหนล่ะ ที่จะไปสั่งอาหารกลับบ้านน่ะ” พระพายถาม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่ไต้ฝุ่น เดี๋ยวหนูจัดการเอง” ชนาแทนตัวเองกับคนที่อายุอานามมากกว่า จะแทนตัวว่า หนู ซึ่งได้ทำให้แพรพรรณยิ้ม เพราะพระพายอายุไม่ห่างจากแพรพรรณและชนามากนัก
“มาเป็นเพื่อนก็ดีแล้ว ยังจะไปทำโน่นทำนี่อีก ขากลับค่อยแวะที่ร้านก็ได้ ไปหาอะไรทานก่อน” แพรพรรณพูดคล้ายดุ
“พอมีเวลา ไปทานกับพี่ดีกว่านะ เจอกันที่ห้องอาหารนะจ้ะ สองสาว” พระพายพูดตัดบท แล้วรีบเดินหนีไป ไม่นานนักก็มีเจ้าหน้าที่
ของโรงแรมมาเชิญไปที่ห้องอาหารรวมถึงขอรายละเอียดรายการอาหาร เพื่อจะได้โทรฯ ไปแจ้งกับทางร้านเอาไว้ให้ก่อน แพรพรรณถอนใจไม่ค่อยอยากจะรบกวนคนอื่น
“ดูสิเลยไปรบกวนพี่ไต้ฝุ่นเลย” แพรพรรณบ่นพึมพำ หากป้าพริ้งมาด้วยมีหวังโดนบ่นแน่ ไม่ว่าจะเรื่องถูกเชิญไปรับประทานอาหารแยกจากนางแบบคนอื่นๆ แถมยังช่วยจัดการเรื่องอาหารที่จะซื้อกลับบ้านอีก
“ขอโทษ เราไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง เวลามากับแพร” ชนาพูดเสียงอ่อยๆ รู้สึกเกรงใจพระพายอยู่เหมือนกัน
“ขอโทษทำไม ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แพรรู้ว่าชาดำเย็นหวังดี” แพรพรรณแอบหัวเราะ เมื่อเรียกชนาว่า ชาดำเย็น
“ขำอะไร ชาดำเย็นรถเข็น อร่อยจะตายไป” ชนายิ้มให้และพยักหน้าให้แพรพรรณเดินตามพนักงานที่กำลังเดินนำไปยังห้องอาหาร
“ไม่เห็นบอกเลยว่า สนิทกับเจ้าของโรงแรม” แพรพรรณพูดขึ้น
“เราสนิทกับพี่พระพาย ไม่ได้สนิทกับเจ้าของโรงแรม ถึงแม้พี่เขาไม่ใช่เจ้าของโรงแรม เราก็จะสนิทนะ และไม่รู้จะบอกทำไมด้วย” ชนาพูดขึ้นทำให้แพรพรรณยิ้ม เพราะคิดว่า หากเป็นคนอื่นคงจะคุยโวตั้งแต่บอกว่างานจัดที่โรงแรมแห่งนี้ แต่ชนาไม่ได้พูดถึงพระพายเลยสักนิดทั้งๆ ที่ท่าทางดูสนิทสนมกันค่อนข้างมาก
“ตอนอยู่เมืองนอกล่ะสิ” แพรพรรณถาม
“ใช่จ้ะ เดาเก่งนะ” ชนายิ้มๆ แต่บทสนทนาต้องหยุดลงเพราะสองสาวเจ้าบ้านมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
ชนามองดูสาวๆ ที่กำลังแต่งหน้าทำผมเห็นเข้าถึงกับถอนใจเพราะพวกเธอดูมีน้ำอดน้ำทนค่อนข้างมาก แต่ก็อย่างว่าในแต่ละงานค่าจ้างคงจะมากโขอยู่ สมกับความอดทนในการที่จะต้องมานั่งทำผม และแต่งหน้า ชนายิ้มให้กับคนที่เพิ่งแต่งหน้าเสร็จและกำลังเดินตรงเข้ามาหา
“น้ำไหม” ชนาส่งขวดน้ำเปล่าให้กับแพรพรรณ
“ขอบคุณค่ะ” แพรพรรณยิ้ม เพราะก่อนหน้าแอบคิดว่า ชนาคงมาเป็นเพื่อนเฉยๆ แต่การดูแลเอาใจใส่ตั้งแต่ช่วยยกข้าวของรวมถึงเรื่องอาหารการกิน ยังเจ้าน้ำดื่มที่ไม่ได้แช่เย็นนี่อีกทำให้นึกขอบคุณอยู่ในใจตลอดแม้บางครั้งจะไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดก็ตาม
“ไม่เบื่อหรือ ไปเดินเล่น ไปนั่งพักจิบกาแฟก็ได้นะ อีกสักพักจะเริ่มงานแล้ว เหลือแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้นเอง” แพรพรรณบอกคนที่ยังคงยิ้มให้ด้วยแววตาที่สวยสดใส
“ไม่เบื่อหรอก หน้าตาเราดูเบื่อหรือ ตื่นเต้นดีนะ ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้มาก่อน อีกอย่างโอกาสที่จะได้เข้ามาหลังเวทีแบบนี้ ใช่ว่าเข้ามาได้ง่ายๆ เสียที่ไหน ขอบคุณที่ทำให้เราได้เรียนรู้วิถีคนทำงานนางแบบ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่ง” ชนายิ้มจ้องมองคนที่ยิ้มน้อยๆ ให้อยู่ก่อนจะรับขวดน้ำดื่มกลับคืนมา เพราะแพรพรรณกำลังถูกตามตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
“ไว้ตามไปดูกองถ่ายละครสิ วุ่นวายกว่าอีก แต่ต้องอยู่นานกว่านี้อีกมาก ถ้าหากชาดำเย็นอยากรู้” แพรพรรณหัวเราะที่เรียกชื่อแปลกๆ ของคนที่ยืนทำหน้างอ
“อายคนอื่นเขานะ รู้น่ะว่าผิวคล้ำกว่า ไม่เห็นต้องตอกย้ำเล๊ย”
“เซ็กซี่ดีออก แพรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ ชนาไปรอดูข้างนอกก็ได้ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ขอบคุณที่ดูแลแพรเป็นอย่างดี” แพรพรรณบอกก่อนจะเดินตามคนดูแลเรื่องเสื้อผ้าไป
“ตรงไหนว๊ะ เซ็กซี่” ชนาหัวเราะเล็กๆ ก้มมองดูรูปร่างตัวเองแล้วส่ายหน้า เพราะหาส่วนที่ว่า เซ็กซี่แทบจะไม่พบ
เสียงปรบมือดังกึกก้องขณะที่พิธีกรขึ้นไปกล่าวเปิดงาน ซึ่งเมื่อชนาเห็นแพรพรรณแต่งองค์ทรงเครื่องจนครบครัน ถึงกับตะลึงเลยทีเดียว ถึงแม้เสื้อผ้าอาภรณ์จะดูวาบหวามไปหน่อย เพราะคอเสื้ค่อนข้างลึกเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ไม่อยากนึกเลยถ้าหากเป็นป้าพริ้งของสาวเจ้า ท่านคงจะบ่นพึมพำกับชุดที่หลานสาวสวมใส่ เพราะขนาดตัวชนาเองยังอยากจะบ่นกับชุดที่ได้เห็น
“ถามจริง มีคนซื้อใส่เหรอไอ้ชุดที่ผ่าหน้าลึกจนจะถึงท้องอยู่แล้วชุด นี้น่ะ” ชนาถามทำเอาแพรพรรณหัวเราะ เพราะน้ำเสียงที่ฟังดูแปลกๆ ไม่รู้ว่าไม่ชอบหรือหวงเรือนร่างแทนตัวนางแบบกันแน่
“แหมอยู่เมืองนอกเมืองนามา แค่นี้ถือว่าน้อยหรือเปล่า” แพรพรรณบอกขณะมองดูไปที่ชุดของตัวเอง
“แต่แพรอยู่เมืองไทยนะ” ชนายิ้มจางๆ จ้องมองแพรพรรณที่เงยหน้ามายิ้มให้
“สัญญาว่า จะใส่เฉพาะเดินแบบ ไม่ไปใส่เดินที่ท้องนาหรอก หรือในชีวิตประจำวันก็เถอะ ชุดเขาไว้ใส่ออกงานกัน บ่นเป็นคนแก่เลยนะ เราน่ะ” แพรพรรณพูดแหย่
“ขออนุญาต” ชนาพูดจบก็ช่วยจัดการขยับชุดให้ดูเรียบร้อยมากขึ้น โดยเฉพาะดึงขึ้นมาเล็กน้อยจะได้ไม่โป้จนเกินไป แพรพรรณยืนนิ่งมองดูคนที่ดูจริงจังกับการช่วยดูความเรียบร้อย ก่อนจะจ้องมองดูใบหน้าและเส้นผม ซึ่งลงมาปรกที่แก้ม จึงช่วยจัดแต่งให้จนเรียบร้อยพร้อมด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นรอยยิ้มสวยๆ ของแพรพรรณ
“ดูแลดี จนนึกว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวไปแล้วนะเนี่ย” แพรพรรณยิ้มแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอย่างไรชอบกล เพราะแววตาที่จ้อง
มองอย่างไม่วางตาคู่นั้น
“รับปากผู้ใหญ่มา ก็ต้องดูแลอย่างดีสิเนอะ” ชนาบอก
“โห นึกว่าอยากดูแลเอง ไปทำงานดีกว่า” แพรพรรณบ่นพึมพำ
“เดี๋ยว ยังไม่ให้ไป” ชนาพูดเสียงเข้มทำให้แพรพรรณหยุดชะงัก
“อะไรอีกล่ะ พอแล้วทำหน้าที่ได้ดีแล้วล่ะ จะรายงานป้าพริ้งให้นะ” แพรพรรณถอนใจเล็กๆ เพราะความใกล้ชิดที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อชนาขยับเข้าใกล้ๆ จ้องมองดวงตาของเธอ และเอานิ้วไล้เบาๆ ไปที่แก้มทำเอาคนที่ยืนนิ่งงันอยู่หายใจหายคอไม่สะดวก แถมสายตาเจ้ากรรมก็ดันไปจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากของชนาเข้าให้ ริมฝีปากเรียวสวยกำลังตรึงแพรพรรณให้ขยับเข้าใกล้ๆ มากยิ่งขึ้น
“ไปแพรถึงคิวแล้วจ้ะ” เสียงเรียกทำให้แพรพรรณนิ่งงันไป
“เรียบร้อยแล้ว เมื่อกี้มีอะไรติดแก้มนิดหน่อย สู้ๆ นะคะ คุณแพร” ชนายิ้มและทำท่าโค้งคำนับเหมือนแพรพรรณเป็นเจ้านาย ซึ่งทำเอาคนที่ยังคงนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่งถอนใจเฮือกใหญ่ เพราะหากปล่อยให้ตัวเองได้เข้าใกล้อีกนิดมีหวังคงทำอะไรบ้าบออกไปแน่
“ขอบใจนะ ชาดำเย็น เสร็จงานแล้วเจอกัน” แพรพรรณบอกและรีบไปเตรียมตัว ชนามองดูแล้วยิ้มๆ เมื่อเห็นแพรพรรณพนมมือไหว้คล้ายเป็นการขอพรก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวที
“มีพลังอะไรนะ ยายตัวแสบ อยู่ใกล้ถึงได้หัวใจรวนๆ ขนาดนี้” ชนายิ้มสวยๆ เมื่อแพรพรรณหันมามองก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวที
“อะแฮ่ม” เสียงของพระพายทำเอาชนาตกใจ แต่แกล้งหัวเราะกลบเกลือนไม่รู้ว่า พระพายมายืนอยู่นานหรือยัง เพราะตัวเองมัวแต่สาระวนกับการดูแลแพรพรรณจนไม่ได้สนใจใคร
“ตกใจหมด พี่ไต้ฝุ่นก็ เอ๊ะว่าแต่มาหลังเวทีคนเดียว ขออนุญาต พี่พลอยหรือยังคะ” ชนาหัวเราะเล็กๆ เพราะมองไปรอบๆ ไม่เห็นพิมพ์พลอย
“ทำมากลบเกลือน เห็นนะ” พระพายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบมีเลศนัย
“เห็นอะไรคะ” ชนาถาม แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ถามตัวเองดู พี่ว่าพี่ก็เคยเป็นแบบชนามาก่อนนะ ตอนเจอพลอย” พระพายบอก
“เป็นอะไรคะ ที่ว่า เป็นแบบหนู” ชนาถาม
“เหมือนมีแม่เหล็กดึงดูดให้เข้าใกล้ หัวใจรวนๆ หรือบางทีถึงกับเต้นโครมคราม มันขึ้นอยู่กับว่า ได้ใกล้ชิดมากแค่ไหน” พระพายพูดโดยไม่ได้เจาะจงอะไรมากนัก เหมือนเป็นการแสดงความคิดเห็น แต่คนได้ยินพอ จะเดาได้ว่า พระพายคงมายืนอยู่นานพอสมควร
“องครักษ์ก็ต้องพิทักษ์ให้ดี ควรดูแลให้สมกับที่ผู้ใหญ่ไว้วางใจไม่ใช่หรือคะ” ชนาอธิบาย แต่ตัวเองรู้สึกคล้ายว่ากำลังแก้ตัว ซึ่งคิดว่าพระพายคงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน สังเกตได้จากรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัย
“จากพฤติกรรมไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ ถามจริงเคยดูแลใครแบบนี้มาก่อนหรือ แบบทำตามหน้าที่ ไม่ใช่เต็มใจหรืออยากที่จะทำน่ะ” พระพายพูดอ้อมไปอ้อมมา ชนาทำท่าคิดและกำลังหาคำตอบ
“เขาไม่ได้ทำกันแบบนี้หรือคะ พี่ไต้ฝุ่น หนูคิดเอาเองว่า คนดูแลหรือผู้จัดการดารานางแบบเขาปฏิบัติกันแบบนี้” ชนารู้สึกโล่งใจที่สามารถหาคำตอบเอาตัวรอดไปได้
“เรื่องดูแลก็ธรรมดาอยู่ แต่เรื่องสายตาที่จ้องมอง ตอนปัดแก้มน่ะ เหมือนคิดเป็นอื่นนะจ้ะ แม่คนปากแข็ง ไปๆ ไปดูข้างหน้าดีกว่า แม่พี่อยากเจอเราด้วย” พระพายหันไปแอบยิ้มก่อนจะกลับมาพูดเชื้อเชิญให้ออกไปดูการแสดงแบบด้านนอกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คำ
พูดของพระพายทำให้ชนากลับมาคิดทบทวน
“ใช่เหรอ” ชนาคิดอยู่ในใจทำหน้างงๆ จนพระพายหัวเราะและรีบดึงตัวออกไปทางด้านหน้าเวที
พริ้งยังคงมีอาการมึนหัวและอ่อนแรงจากอาการท้องเสีย ถึงแม้จะทุเลาลงไปบ้าง แต่ด้วยช่วงวัยจึงทำให้ฟื้นจากความอ่อนเพลียได้ช้ากว่าคนรุ่นหนุ่มสาวและไม่ค่อยชอบนักที่จะต้องมาเจ็บป่วยจนเป็นภาระของใคร โดยเฉพาะน้องสาวที่ถึงกับหยุดขายขนมเพื่ออยู่ดูแล
“พี่เลยเป็นภาระเธอเลย ยายเพ็ญ” พริ้งยิ้มมองดูน้องสาวที่เข้ามาช่วยประคองให้มานั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหาร
“ภาระอะไรกันล่ะ พี่พริ้งก็ พี่น้องดูแลกันเป็นเรื่องธรรมดานะ ดูสิโน่นน่ะ เป็นห่วงจนนั่งไม่ติด เดินมาถามอาการหลายรอบแล้ว ยังเดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่นเลย” เพ็ญยิ้ม สองพี่น้องมองไปทางบ้านของคำรณ ซึ่งยังคงเดินไปเดินมาเหมือนที่เพ็ญบอกจริงๆ พริ้งส่ายหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ มอง ดูคำรณที่หันมาพอดี
“ท่าจะบ้านะ ตาคำน่ะ” พริ้งหัวเราะ แต่เมื่อมองดูเหมือนจะเห็นรอยยิ้มของเพื่อนบ้านที่เดินมาให้เห็นใกล้มากขึ้น
“บ้าเสียจน เพ็ญคิดว่าพี่คำเป็นพี่ชายมานานแล้วล่ะ พี่พริ้งก็กินข้าวให้เห็นสักหน่อย คนเป็นห่วงจะได้สบายใจ” เพ็ญบอกขณะเข้าไปตักข้าวต้มและยกออกมาวางให้
“ใช่เรื่องไหมที่ต้องมาทำให้คนอื่นสบายใจ หากเราต้องฝืนใจ”
“พี่คำก็เหมือนญาติเรานะ ถ้าแกเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาบ้าง พี่พริ้งจะไม่เป็นห่วงเป็นใยแกหรือ” เพ็ญยิ้มน้อยๆ มองตามสายตาของพี่สาวที่เริ่มรับประทานอาหาร ซึ่งคงทำให้เพื่อนบ้านคลายความกังวลใจไปได้บ้างเพราะไม่ได้เดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่นเหมือนเมื่อสักครู่ แต่กลับไปทำงานโดยเดินลงไปยังนาข้าวทันที
“แก่เฒ่าลงไปทุกวัน ลูกเมียก็ไม่มีกับเขาสักที แล้วใครจะดูแล” พริ้งรำพึงออกมาเบาๆ มองดูคำรณที่เดินหายไปจนลับตา
“ยายชนาไง บ้านเราก็มีกันหลายคน ผลัดเปลี่ยนกันไปดูแลยามเจ็บไข้ พี่คำเขามีน้องสาว มีหลาน คงไม่ทิ้งแกหรอก” เพ็ญยิ้มเพราะสิ่งที่ได้ยินพี่สาวพูดออกมานั้น แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยที่มีอยู่ ถึงแม้จะชอบพูดจาคล้ายกับรำคาญ แต่เมื่อยามที่คำรณเจ็บไข้ได้ป่วย พริ้งก็แสดงความห่วงใยให้เห็นไม่น้อยไปกว่าที่คำรณมีให้
“ป่านนี้ได้ตีกับยายแพรตายไปแล้วมั้ง” พริ้งหัวเราะ เมื่อนึกถึงความแสบและออกจะกวนๆ ของหลานสาว
“เพราะเพ็ญแท้ๆ เลยทำให้พี่ๆ ลำบาก” เพ็ญพูดขึ้น
“หยุดคิดเดียวนี้นะ พูดไม่รู้จักฟัง พวกฉันลำบากอะไรเสียที่ไหน ดีใจและมีความสุขจะตายไปที่ได้ดูแลเธอ ดูแลหลานนะ แม่เพ็ญ ถ้าพี่ไม่มีเธอไม่มีหลานก็อาจจะไม่มีความสุข อดีตมันผ่านมานานมาแล้ว เธอก็ดูแลฉันสิจนแก่จนเฒ่ากันไป ดูแลตาคำด้วยอีกคน ยายแพรรับปากฉันเอาไว้เหมือนกัน” พริ้งยิ้ม เมื่อนึกถึงหลานสาวที่เคารพรักคำรณเหมือนเป็นญาติของตัวเองคนหนึ่งเลยทีเดียว
“เพ็ญจะดูแลอย่างดีค่ะ ยายแพรคงคิดเหมือนเพ็ญเหมือนกัน” พริ้งเอามือทาบทับไปที่ศีรษะของน้องสาว ซึ่งดูแลเป็นอย่างดีมาแต่อ้อนแต่ออกด้วยความเป็นคนที่จิตใจดี จึงทำให้เป็นคนเชื่อคนง่าย จนเกิดเรื่องเกิดราวทำให้เสียใจแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร แต่นั่นได้ทำให้ความคิดของคนเป็นพี่สาวเปลี่ยนไปในเรื่องการดูแลหลานรักคนเดียวของบ้าน ถึงแม้จะเป็นไข่ในหิน แต่ไม่ได้ห้ามปรามเสียจนไม่ยอมให้ทำอะไรตามที่ต้องการ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้ไปเล่นละคงละคร รวมถึงงานเดินแบบนั่นด้วย
“ไม่ต้องเป็นห่วงพี่นักหรอกนะ ดีขึ้นมากแล้ว มื้อเย็นก็สบายหน่อยไม่ต้องทำอะไร เดินไปบอกพี่ชายที่รักของเธอให้มากินข้าวด้วยกันสิ หลานจะซื้อของอร่อยมานี่” พริ้งพูดขึ้นทำให้เพ็ญมีรอยยิ้มชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
“งั้นต้องโทรศัพท์ไปบอกยายชนา ให้บอกยายแพรซื้อของชอบของลุงคำมาด้วย” เพ็ญหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นพี่สาวส่ายหน้ากับ
อาการดีใจของน้องสาวที่รีบกุลีกุจอโทรศัพท์หาชนาทันที