ตอนที่ 1 : พบ
“สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น” นักแสดงรับบทบาทไปตามที่ตัวเองได้รับมา แพรพรรณนางเอกสาวหน้าใหม่ซึ่งมีฝีมือจัดจ้านอยู่พอสมควรคงด้วยเพราะฝีไม้ลายมือที่ถูกฝึกปรือมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ถึงแม้ก่อนหน้าจะมีอาชีพนางแบบมาก่อน แต่เมื่อโอกาสมาถึงจึงได้คว้าเอาไว้ เพื่อจะได้ทดลองสิ่งใหม่ๆ หรือโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต โดยมีป้าพริ้งที่เป็นทั้งผู้จัดการและผู้ดูแลทุกเรื่องสำหรับการทำงาน
“น้องเก่งนะครับ เพิ่งมาถ่ายทำได้ไม่กี่ตอน ผู้กำกับเอ่ยชมเสียแล้ว” ชายหนุ่มซึ่งรับบทนำเป็นพระเอกคู่กับแพรพรรณบอกกับป้าพริ้ง
“เป็นเด็กดีเสียด้วยนะ ไม่ค่อยชอบผู้ชายที่ชอบมาก้อร่อก้อติก โดย เฉพาะพวกไม่จริงใจ รายนั้นจะรู้ตัวเร็วมาก” ป้าพริ้งพูดขึ้นโดยไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งมีรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้สูงวัยพูดออกมา
“ถ้าจริงใจ ก็น่าจะดูออกสิครับ” ชายหนุ่มอมยิ้ม แต่ด้วยถึงเวลาที่จะต้องไปเข้าฉาก จึงพูดขอตัวเพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเอง ปล่อยให้หญิงสูงวัยนั่งทำปากขมุบขมิบ เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินไปพูดคุยกับหลานสาวก่อนจะไปเข้าฉากเพื่อถ่ายทำต่อ
“คิดว่าหล่อล่ะสิท่า ก็งั้นๆ แหละ” ป้าพริ้งพึมพำ ขณะแพรพรรณมานั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
“นินทาพระเอก เดี๋ยวแฟนละครตามเล่นงานเอานะคะ” แพรพรรณพูดแหย่ป้าพริ้งที่หันมายิ้มและส่งแก้วน้ำดื่มให้หลานสาว
“เราก็เหมือนกันนะ ยายแพร ห้ามไม่ค่อยจะฟัง อยากมาเป็นนักนางเอกนางละครเนี่ย” ป้าพริ้งบ่นพึมพำ
“ลองดูค่ะ เรื่องเดียวแหละ เนอะ ป้าเนอะ” แพรพรรณพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ทำเอาพี่สาวของมารดา ซึ่งเสมือนเป็นมารดาอีกคน
ยิ้มกว้างมากขึ้น เพราะไม่เคยเลยที่จะทนลูกอ้อนของหลานสาวไหว บทอยากได้อะไร ก็ออดอ้อนโดยมีเหตุผลมากมายประกอบ หากมติของบ้านมีเสียงข้างมากและเห็นควรกับเรื่องเหล่านั้น ก็ต้องว่ากันไปตามเสียงของประชาธิปไตย
“ไม่ต้องมาทำเสียงออดอ้อน ตอนขอมาเป็นนางแบบก็หนหนึ่งแล้ว ดูสิสองสามปีมีงานไม่ได้หยุดได้หย่อน แม่เราน่ะ บ่นป้าจนฉันคิดว่าเป็นน้องสาวแม่เรามากกว่าเป็นพี่เสียอีกนะ หาว่าฉันน่ะรับงานจนหลานเหนื่อย” ป้าพริ้งทำหน้างอเล็กน้อย เมื่อได้พูดถึงน้องสาวซึ่งเป็นมารดาของแพรพรรณ
“แม่คงเป็นห่วงป้ามากกว่านะคะ กลัวจะเจ็บป่วยไป วันไหนถ่ายไม่ไกลมาก แพรขับรถมาเองก็ได้ค่ะ ป้านอนพักอยู่ที่คอนโดดีกว่า มานั่งเฝ้าอยู่ร้อนก็ร้อน แพรโตแล้ว มาคนเดียวได้สบายมาก” แพรพรรณยิ้มทะเล้นและพยักหน้าคล้ายอยากให้ป้าของเธอคล้อยตาม แต่ไม่เคยได้ผลสักครั้ง เพราะบอกกล่าวลักษณะนี้มาหลายต่อหลายครั้ง ป้าของเธอยังคงตามไปในทุกที่ หากแต่ว่า ความห่วงใยที่มีไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใดกลับรู้สึกปลอดภัยเสียมากกว่า โดยเฉพาะหลังจากเสร็จงานพอขึ้นรถเท่านั้น มัก
จะผล็อยหลับไปทันที
“แม่เราก็นะ ฉันเคยเจ็บป่วยเสียที่ไหนกัน หากไม่มาด้วยเป็นห่วงเป็นกังวลนั่นล่ะจะทำให้ฉันเจ็บป่วยมากกว่า” ป้าพริ้งยิ้ม เมื่อเห็นรอยยิ้มที่แสนสดใสของหลานสาว ซึ่งเติบโตมาในบ้านที่มีเพียงผู้หญิงดูแล แต่ไม่ใช่สิ มีตาแก่ข้างบ้านอีกคนที่คอยดูแลสาวๆ ที่บ้าน ถึงแม้จะเป็นเพียงในฐานะเพื่อนบ้าน แต่แพรพรรณนับถือเป็นเสมือนญาติคนหนึ่ง เพราะเป็นผู้ชายคนเดียวที่เข้านอกออกในบ้านของแพรพรรณได้อย่างสะดวก
“ป่วยใจหรือเปล่าน๊า อาจจะคิดถึงคนข้างบ้าน” แพรพรรณหัวเราะเมื่อถูกหยิกเข้าให้ที่แขน แต่ไม่กล้าร้องเอะอะ เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนที่ขมักเขม้นทำงานกันอยู่
“น่าตีนักนะ ล้อฉันไม่รู้จักเบื่อหรืออย่างไรกัน” ป้าพริ้งพูดดุหลานที่แกล้งทำหน้าเศร้า
“ลุงคำ บอกแพรตลอดเลยนะคะ ว่าคิดถึงป้าพริ้งของหนู”
“รายนั้นก็นะ ไม่รู้จักแก่จักเฒ่าหรืออย่างไร พูดอะไรเป็นหนุ่มๆ ไปได้ ลูกเมียก็ไม่รู้จักมีกับเขาสักที จะได้ไม่มีใครมาครหา ว่ามา
เฝ้าวนเวียนรอฉันอยู่น่ะ”
“ลุงคำ เป็นคนที่สอนให้แพรรู้จักความรักที่มั่นคงค่ะ” แพรพรรณพูดยิ้มๆ ป้าพริ้งของเธอยิ้มอายๆ เสมอ เมื่อพูดถึงความรักของลุงคำ ซึ่งดูแลเอาใจใส่ครอบครัวของป้าพริ้งมาอย่างดี เพราะครอบครัวของเธอนั้นมีแต่ผู้หญิงอยู่กันตามลำพัง
“ไปทำงานได้แล้ว เสร็จงานจะได้รีบกลับบ้าน ป่านนี้ที่บ้านเตรียมสำรับรอล้นเป็นงานบุญแล้วกระมัง” ป้าพริ้งบอกกับแพรพรรณที่เข้าสวมกอดท่านก่อนจะกลับไปทำงานของตัวเอง เพราะถึงเวลาต้องไปถ่ายฉากเข้า
พระเข้านางกับพระเอกที่ป้าพริ้งจะคอยจ้องแบบไม่ยอมละสายตา
คำรณจามฟิดฟัดก่อนจะยิ้ม เมื่อได้นึกถึงเพื่อนบ้าน ซึ่งช่วงหลังนานๆ จะได้พบเพราะต้องติดตามไปดูแลหลานสาวคนเดียวของบ้านและหวงแหนดุจไข่ในหิน เรียกได้ว่า ไอ้หนุ่มหน้าไหนมาวอแวมีหวังได้โดนขับไล่โดยละม่อมจะว่าโดยละม่อมคงไม่ได้ คำรณหัวเราะเมื่อได้นึกถึงในหลายครั้งที่มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มายืนชะเง้อชะแง้ หรือมีบางรายถึงกับขับรถตามมาส่งถึงหน้าบ้าน สาวๆ เจ้าจะบ้านที่มีวัยต่างกันจะมายืนท้าวสะเอวมองจนต้องขับรถหนีไป อาจจะมีบางรายที่กล้าหาญสักหน่อย แต่ได้เจอเข้าสักสาวเดียวเท่านั้น ถึงกับถอยหนีกันไปโดยไม่กลับมาอีกเลย
“ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่อะไรคนเดียวคะ ลุง” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นทำให้คำรณเจ้าของบ้านหันไปมอง หลังจากจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งด้วยความที่สายตาไม่ค่อยจะดีแล้ว ถึงกับหัวเราะ เมื่อเห็นหญิงสาวที่เดินเข้ามาก้มลงกราบที่เท้า
“ไอ้ชา” คำรณเอามือลูบเบาๆ ไปที่ศีรษะของคนที่เงยหน้ามายิ้ม
“ชนา เมื่อไหร่จะเรียกถูกเสียทีคะ ลุงคำ เรียกจนกลายเป็นชื่อเล่นหนูไปเลย ใครๆ ก็เลยจะเรียกตามลุงคำ ไม่เว้นแม้กระทั่งแม่” ชนายิ้มมองสบตากับชายสูงวัย ซึ่งเป็นพี่ชายคนเดียวของมารดา
“ชนา หรือ ชา มันก็คล้ายๆ กันนะ เอ็ง” คำรณหัวเราะ เมื่อเห็นหลานสาวทำหน้ายุ่ง
“ชาดำเย็นของลุง ตอนเด็กๆ ตัวดำไปนิด” ชนาหัวเราะ นึกถึงเมื่อครั้งยังเยาว์มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนคำรณอยู่บ้าง แต่เมื่อมารดา
ส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ จึงห่างหายไป อีกทั้งคำรณไม่ค่อยยอมไปไหนไกลบ้านมากนัก ชนายิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องที่มารดาเคยเล่าเรื่อง
ที่คำรณเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วง ซึ่งก็คือสาวข้างบ้านที่หลายสิบปีไม่เคยยอมใจอ่อน แต่มารดาของชนาค่อนข้างชื่นชมความรักที่
มั่นคงของพี่ชายอยู่มาก
“เออ ไม่ได้พาหลานเขยตาน้ำข้าวมาด้วยหรือ” คำรณถาม
“ถ้าพามา แม่แหกอกตายแน่ค่ะ” ชนาหัวเราะ
“แม่เอ็งน่ะ รักลูกจะตายไป ลูกรักใครแม่เอ็งก็รักด้วยอยู่แล้ว”
“สาธุ ขอให้เป็นอย่างที่ลุงคำว่าเถอะค่ะ” ชนายกมือท่วมหัว
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นแม่เอ็งว่าอีกสองสามเดือน ได้ข่าวว่าขอเที่ยวก่อน ทำไมจู่ๆ ก็กลับมาเสียล่ะ” คำรณถามหลานสาว
“อย่าเอ็ดไปค่ะ เดี๋ยวแม่ได้ยิน แอบกลับมาไม่ได้บอก” ชนาพูดกระซิบกระซาบทำเอาคนเป็นลุงถึงกับหัวเราะ
“มันจะตามมาด่า ข้าด้วยไหมล่ะนั่น” คำรณหัวเราะ มองดูหลาน สาวที่รอยยิ้มจางลงเล็กน้อย
“แม่รักลุงคำจะตายไป ยังบอกเลยนะว่า ถ้าวันไหนลุงคำจะไปขอสาวบ้านโน้น แม่จะขายสมบัติมาเป็นสินสอดให้เลยทีเดียว” ชนายิ้มแล้วมองเลยไปยังบ้านเรือนไทยหลังงามที่อยู่ถัดไป บริเวณโดยรอบเป็นผืนนาเสียเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงบ้านสองหลังของคำรณกับบ้านเรือนไทยหลังนั้นที่อยู่คู่กันมานานหลายสิบปี
“พาหนีดีกว่ามั้ง ไม่ต้องเสียสินสอด” คำรณหัวเราะ มองตามสายตาของหลานสาวที่นั่งยิ้มมองไปยังบ้านเรือนไทยที่อยู่ข้างๆ
“เป็นไอ้เสือ บุกปล้นฉุดสาวอย่างนั้นหรือคะ” ชนาหัวเราะ
“ขืนบุกเข้าไป โดนยิงตายคาบ้านพอดี สาวบ้านนั้นน่ะ มีครบทุกอย่างเลยนะ ไอ้ชา ยิงปืนแม่นกว่าข้าอีก” คำรณบอกกับหลาน
สาวที่ทำหน้าจ๋อยไปเล็กน้อย เพราะเคยได้ยินมาเหมือนกันว่า หนึ่งในสาวบ้านข้างๆ เป็นกำนัน ซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาของคนแถวนี้อยู่
ค่อนข้างมากเคยได้ยินจากคำบอกเล่าของมารดา ซึ่งแวะมาเยี่ยมคนที่เป็นพี่ชายอยู่บ้าง สองสามเดือนครั้ง แต่ด้วยความที่คำรณเป็นคนขยันขันแข็ง ทำสวน ทำนา ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ แถมมีวิถีชีวิตเรียบง่ายที่น่าอิจฉา โดยเฉพาะเรื่องของความรักที่หมายปองพี่สาวคนโตของบ้านเรือนไทยหลังงามมาตั้งแต่หนุ่มๆ ถึงแม้สาวเจ้าจะไม่ตกลงปลงใจ แต่คำรณยังคงคอยดูแลเป็นเพื่อนบ้านที่ดีมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งไม่ได้ดูแลเพียงเฉพาะคนที่รักเท่านั้น ยังห่วงใยไปถึงคนในครอบครัวด้วย ชนานึกถึงสิ่งที่ได้เคยพูดคุยกับมารดาเรื่องของสาวบ้านข้างๆ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของคำรณลุงของเธอ
“ป้าพริ้งสบายดีนะคะ ลุงคำ” ชนาถาม เมื่อได้ยินชื่อของพริ้งทำให้คำรณยิ้มอย่างมีความสุข
“เออ เห็นว่าจะกลับวันนี้นะ” คำรณบอกกับหลานสาว
“ฮั่นแน่ รู้ได้อย่างไรคะ” ชนาถามยิ้มๆ
“โทรศัพท์” คำรณหัวเราะ เมื่อยื่นโทรศัพท์ให้หลานสาว
“ตกลงขอเป็นแฟนหรือยังเนี่ย” ความทันสมัยของผู้ใหญ่ที่ติดต่อกันผ่านการส่งข้อความ ซึ่งชนาอ่านบ้างเล็กน้อยทำให้เห็นถึงความห่วงใยที่มีให้กัน แต่ชีวิตของคนสองคนอาจจะไม่ได้มีเพียงเรื่องรักใคร่เท่านั้น เพราะไม่ อย่างนั้น ป้าพริ้งคงตกลงปลงใจแต่งงานกับลุงคำไปนานแล้ว
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่า เป็นแฟน เขาเป็นกันยังไง แต่ข้าก็มีความสุขดีกับชีวิตที่เป็นอยู่” แววตาที่มีความสุขของลุงคำ คือ เครื่องยืนยันสิ่งที่ได้พูดออกมา ซึ่งชนาสัมผัสได้ เพราะทุกครั้งที่ได้พบกันมักจะได้เห็นแววตาเปี่ยมสุขเสมอ ยิ่งเมื่อได้พูดถึงหญิงอันเป็นที่รัก
“เรียก หนู ไอ้ชา เหมือนหลานชายมากกว่าหลานสาวนะคะ ลุงคำ หนูจะขายไม่ออกเอานา” ชนาหัวเราะ ลุงคำเองก็เช่นกัน
“หัวกระไดจะไม่แห้งมากกว่า เอ็งน่ะ แม่คงเตรียมคัดสรรมาให้เลือกแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเอ็งจะหนีมาหาข้าก่อนหรือ” ลุงคำ
หัวเราะอย่างรู้ทัน
“รู้ทันตลอดเลย” ชนาพูดเสียงอ่อยๆ
ชนาขอยืมรถจักรยานยนต์ของลุงคำ ซึ่งถือได้ว่า เป็นรถเก่าที่ค่อน ข้างเท่ห์อยู่มาก คนเป็นหลานเห็นเข้าถึงกับยิ้มออกมาทันที
เพราะดูจากสภาพที่เห็นรู้เลยว่า ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ถ้าเป็นหนุ่มน้อยบ้านนาคงคิดว่ามีเอาไว้อวดสาวๆ
“แอบเอาไว้มิดชิดเลยนะคะ ลุงคำ” ชนาพูดแหย่ลุงคำซึ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อได้อวดของรักของหวง
“ของรักของข้านะเว๊ย ไอ้ชา” ลุงคำบอกกับชนา
“ขอยืมไปตลาดแป๊บสิ” ชนาพูดเสียงอ่อยๆ
“ไปช้าๆ ก่อนนะเอ็ง เดี๋ยวจะลงไปวิ่งในนาข้าวคนอื่นเขาเข้า” ลุงคำหัวเราะและพยักหน้าเป็นการบอกอนุญาตกับคนที่เอ่ยปาก
ขอ
“ขอบคุณค่ะ จะค่อยๆ ไป ลุงจะเอาอะไรที่ตลอดไหม” ชนาถาม
“ไม่ล่ะ ผักปลาข้ามีเต็มบ้านแล้ว”
“นั่นสิ งั้นเดี๋ยวซื้อโอเลี้ยงมาฝากนะคะ” ชนาบอก
“เออ ขอบใจ” คำรณมองดูหลานสาวที่กำลังเคลื่อนรถจักรยานยนต์ออกไปช้าๆ
ชนายิ้มมองดูต้นไม้ใบหญ้า รวมถึงผืนนาที่ต้นข้าวกำลังออกรวงเป็นสีทองเหลืองอร่าม เรื่องความร้อนไม่ต้องพูดถึง แต่ลมเย็นๆ ที่เข้าปะทะทำให้ความร้อนคลายลงไปได้บ้าง แต่หากแดดร่มลมตกล่ะก็ความสดชื่นคงทำให้รู้สึกสุขใจขึ้นมาก ชนาจากเมืองไทยไปนานหลายปีและเลือกที่จะไม่กลับมาเมืองไทยบ่อยหนัก เพราะรู้ตัวดีว่า หากกลับมาคงงอแงที่จะไม่กลับ ไปเรียนต่ออีก ซึ่งนั่นทำให้ห่างหายจากทุ่งนาสีสวยสบายตาที่ช่างแตกต่างกับสถานที่ๆ ไปเรียนต่อค่อนข้างมาก เพราะส่วนใหญ่จะเห็นสีขาวของหิมะกับอากาศหนาวเย็นจับขั้วหัวใจเสียเป็นส่วนใหญ่ ชนายิ้มระหว่างที่เคลื่อนเจ้าจักรยานยนต์คันเก่าที่เครื่องยนต์ยังคงดีเยี่ยม เพราะเสียงไม่ดังเสียจนทำให้บรรยากาศดีๆ โดยรอบหายไป
“สวัสดีค่ะ น้าเพ็ญ” ชนาพนมมือไหว้ ผู้หญิงที่มีอายุอานามใกล้ เคียงกับมารดา ซึ่งท่านขมวดคิ้วและจ้องมองก่อนจะยิ้มออกมา
“ยายชนา หลานพี่คำ หรือนั่น”
“น้าเพ็ญจำแม่นมากค่ะ” ชนายิ้มสวยๆ ให้
“กินขนมสิ ยังชอบขนมไทยอยู่ไหมเราน่ะ” เพ็ญถามชนา
“ตั้งใจมาทานขนมเลยค่ะ นึกว่าน้าเพ็ญเลิกทำขนมขายแล้วนะคะ”
“เอาเลยลูก อยากทานอะไรหยิบเอาเลย แม่สบายดีนะ” เพ็ญยิ้มและพยักพเยิดให้สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ถือได้ว่า เป็นสาวสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว แม้ผิวพรรณจะดูขาวอยู่บ้างแต่ไม่ได้มากมายอะไรนัก อาจจะเป็นเพราะตัวเองคงชินกับคนที่มีผิวค่อนข้างคล้ำ ตามสภาพภูมิอากาศที่อยู่เสียมากกว่า
“แม่สบายดีค่ะ มาขายทุกวันไหมคะ หนูยังไม่มีงานทำ จะไปเป็นลูกมือแลกขนมอร่อยๆ ของน้าเพ็ญทาน” ชนาถามและหยิบขนมกล้วยที่ห่อด้วยใบตองพับแบนๆ ไม่ได้ทานขนมอร่อยมานานเหมือนกัน เพราะเจ้าของขนมจ้องมองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อเห็นชนาทานขนมกล้วยไปสองชิ้น
“อยากกินอะไร น้าจะเอาไปให้ที่บ้าน” เพ็ญบอกกับชนา
“หนูไปทานที่บ้านก็ได้ค่ะ จะได้ไปกราบคุณป้าสามใบเถาด้วย”
“เราก็นะ ชอบไปเรียกท่านแบบนั้น ถึงจะโตเป็นสาวก็ใช่ว่าจะไม่โดนดุ โดนว่านะ ลูก” เพ็ญหัวเราะ
“นั่นสิ จะโดนเอาปืนไล่ยิงวิ่งหนีไม่ทันหรือเปล่า ไม่รู้นะคะ”
“เราก็นะ ยายชนาเอ๊ย” เพ็ญหัวเราะ ชนายิ้มมองดูน้าเพ็ญซึ่งเป็นน้องสาวคนสุดท้องของบ้านเรือนไทยหลังงาม เพื่อนบ้านของคำรณที่เป็นลุงของเธอ นานเหมือนกันที่ไม่ได้พบ แต่รสชาติของขนมไทยแสนอร่อยทำให้ความรู้สึกคุ้นเคยที่มีอยู่กลับมาชัดเจนได้อย่างรวดเร็ว ชนายิ้มเพราะนั่นทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนตะกละ
“หนูซื้อขนมทุกอย่างเลยนะคะ ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมต้มด้วย” ชนาบอกและรีบหยิบสตางค์ยื่นให้ นึกถึงตอนเด็กๆ ที่ไม่เคยได้จ่ายสตางค์เลยสักครั้ง น้าเพ็ญผู้ใจดีไม่ยอมรับสตางค์ เพราะคิดว่า ชนาเป็นลูกหลาน
“เอาไปทานเถอะ ลูก” เพ็ญผลักมือที่ชนาส่งเงินมาให้
“หนูโตแล้วนะคะ มีสตางค์ซื้อขนมน้าเพ็ญทานแล้ว จ่ายย้อนไปตอนเด็กๆ ด้วยค่ะ นะคะ น้าเพ็ญรับสตางค์หนูเถอะนะคะ” ชนาพูดอ้อนทำเอาคนที่อายุอานามมากกว่าถึงกันถอนใจ
“งั้นเอาไว้เป็นทุนทำขนมแจกเด็กๆ ก็แล้วกันนะ”
“นั่นแน่ ยังแจกขนมเด็กๆ ฟรีอยู่ล่ะสิเนี่ย” ชนามองดูผู้หญิงสูงวัยซึ่งยังคงมีความสวยไม่สร่าง และเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ความสวยของท่านจางหายไปเลยสักนิด เพราะท่านดูสวยขึ้นตามวัย แถมยังดูอ่อนกว่าวัยค่อนข้างมาก แอบนึกถึงมารดาที่เคยคิดว่า ลุงคำ อยากผูกสมัครรักใครกับน้องคนสุดท้องของบ้าน แต่กลับกลายเป็นว่ายังคงเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วง หากแต่ว่าปักใจอยู่กับพี่สาวคนโต ซึ่งอายุมากกว่าตัวของลุงคำเสียอีก
“เหมือนเดิมนั่นแหละ ลูก” เพ็ญยิ้มสวยๆ ให้ชนา ไม่เท่าไรก็มีเด็กตัวน้อยอายุสักสามสี่ขวบวิ่งเข้ามาหา ยิ้มอายๆ มองสบตากับ
ชนาเล็กน้อยก่อนจะรับขนมกล้วยมาถือเอาไว้และพนมมือไหว้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“เห็นสาวน้อยแล้วนึกถึงตัวเองขึ้นมาเลยค่ะ” ชนายิ้มมองตามเด็ก ผู้หญิงที่วิ่งหายไปแล้ว
“หนูขอตัวก่อนนะคะ น้าเพ็ญ พรุ่งนี้จะเข้าไปกราบที่บ้านอีกครั้งค่ะ” ชนาพนมมือไหว้
“ขับรถดีๆ นะ ชนา”
“ค่ะ น้าเพ็ญ”
ชนาเดินดูโน่นนี่บริเวณตลาด ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ยังคงมีส่วนคล้ายกับตลาดในวัยเด็ก เพราะพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้คนที่อยู่ในละแวกไม่ไกลและคงเป็นชาวบ้านแถวนี้ สังเกตได้จากสิ่งที่นำมาขาย
“ไอติมขนมปัง ใส่ข้าวเหนียว โรยถั่วเยอะๆ ค่ะ” เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกันของผู้หญิงสองคนทำให้คนขายไอศกรีมยิ้มมองสบตากับสองสาวที่เข้ามายืนอยู่ข้างๆ