ตอนที่ 2 : นางเอก

2826 คำ
คนขายไอศกรีมยิ้ม มองดูสองสาวที่พูดออกมาเหมือนกันทุกคำพูด ทำเอาไม่รู้ควรจะให้ใครก่อน แพรพรรณยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับคนขายที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ “ดีแล้วแม่นางเอก ลุงว่าจะขอถ่ายรูปหน่อย ลูกสาวอยากได้เห็นว่าจะเอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียน” คนขายไอศกรีมบอกกับแพรพรรณ ซึ่งไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่ข้างๆ มองดูไอศกรีมที่ถูกตักขึ้นมาใส่ในขนมปัง ซึ่งถูกผ่าตรงกลางก่อนจะเติมข้าวเหนียวมูลและตักไอศกรีมทับลงไปอีกรอบ พร้อมด้วยถั่วลิสงคั่วหอมๆ ชนามองดูแพรพรรณที่ยังคงจ้องมองอยู่ที่ไอศกรีมซึ่งยังอยู่ในมือของพ่อค้า “ละครยังไม่ฉายเลยนะคะ ลุง ถ้าเกิดไม่มีคนดูล่ะก็ อายเขาตายพอดี” แพรพรรณหัวเราะ “ก็เลิกเล่นมันซะ อยู่บ้านทำไร่ ทำนาไป” คนขายไอศกรีมบอก “มาขายไอติมแข่งดีกว่างั้น” แพรพรรณแสดงความสนิทสนม มัวแต่พูดคุยจนลืมคนที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ “รับอะไรเพิ่มไหมครับ” คนขายไอศกรีมถามชนาซึ่งทำให้แพรพรรณหันมามองสบตาด้วย “ไม่ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ชนาพูดขึ้น แล้วยิ้มให้แพรพรรณที่ไม่ได้สนใจเอาเสียเลย เพราะจิตใจท่าทางจะไปจดจ่ออยู่ที่ไอศกรีมซึ่งกำลังกัดเสียคำใหญ่จนริมฝีปากเปื้อน “ครับ” คนขายไอศกรีมยิ้มให้ชนาที ยิ้มให้แพรพรรณที แต่รายหลังได้รอยยิ้มกว้างกว่า แพรพรรณทำท่าจะเดินจากไป แต่เมื่อผ้า เช็ดหน้าที่ถูกยื่นมาและค่อยๆ สัมผัสไปที่ริมฝีปากทำให้เจ้าตัวหยุดนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่งมองสบตากับคนที่ยิ้มน้อยๆ ให้ “กินเลอะเทอะตั้งแต่เล็ก จนโตเป็นนางเอกละครเลยนะ เราน่ะ” “อายมาก มัวแต่ยืนงงๆ เลยไม่ได้ขอบคุณเลย” แพรพรรณรำพึงออกมาเบาๆ มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร เหลือบมองไปทางรถยนต์ที่จอดอยู่เห็นป้าพริ้งพูดคุยโทรศัพท์ จึงทำท่าป้องปากตะโกนบอกขอบคุณคนที่ช่วยเช็ดคราบไอศกรีมที่ริมฝีปากให้ “ดีนะที่มีคนเช็ดให้ ไม่งั้นโดนป้าดุอีกแน่ แม่นางเอก” คนขายไอศกรีมหัวเราะ “ขอบคุณน๊า” แพรพรรณอมยิ้ม เพราะคนที่เดินจากไปไม่ได้หันกลับ มาคงไม่ได้ยินคำขอบคุณที่ตะโกนบอกไป “ใจดีเหมือนกันนะ” คนขายไอศกรีมยังคงมองไปทางที่ชนาเดินไป “ไม่น่าใช่คนแถวนี้หรือเปล่าคะ ไม่เคยเห็นเลย” แพรพรรณถาม “น่าจะนะ ไปได้แล้ว คุยกับลุงนาน เดี๋ยวป้าพริ้งจะตามไปด่าลุงถึงบ้านเอานะ” “ยังไม่ได้ถ่ายรูปเลย เอาโทรศัพท์มาเลยลุง” คนขายไอศกรีมหยิบโทรศัพท์ยื่นให้แพรพรรณที่หันไปหันมากดถ่ายรูปตัวเองไปสองสามครั้งแล้วรีบส่งโทรศัพท์คืน รีบวิ่งกลับไปที่รถทันที เพราะป้าพริ้งนั่งจ้องอยู่ ด้วยความอยากแกล้งป้าของตัวเอง จึงหันไปโบกไม้โบกมือให้กับคนขายไอศกรีมก่อนจะกลับไปขึ้นรถ “น่ารักซะขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจหรอกที่หวงนักหวงหนา” คนขายไอศกรีมหัวเราะ เมื่อมองเห็นป้าพริ้งจ้องมองด้วยสายตาดุๆ เพราะความหวงหลานสาว ชนายิ้ม เมื่อได้นึกถึงแววตาคู่สวยของสาวเจ้าที่มีน้ำใจให้ไอศกรีมมาก่อน มองดูผ้าเช็ดหน้าที่ถืออยู่ในมือยิ่งทำให้รอยยิ้มที่มีอยู่เด่น ชัดขึ้น จนพ่อค้าแม่ค้ายิ้มให้ บางทีอาจจะคิดว่าชนาเป็นบ้าไปแล้ว เพราะยืนมองผ้าเช็ดหน้าแล้วยิ้มอยู่คนเดียว “ท่าจะบ้านะ เรา” ชนาหัวเราะเล็กๆ และรีบเคลื่อนจักรยานยนต์ออกไป เพราะสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาทำให้รู้สึกแปลกๆ เสียงแตรรถยนต์ที่ดังอยู่ได้สร้างรอยยิ้มให้กับคำรณที่สาระวนอยู่กับการเก็บมะม่วงอกร่อง ซึ่งเริ่มมีสีเหลืองอร่ามอยู่บ้าง เมื่อช่วง เช้าก่อนเพ็ญจะไปขายของบอกเอาไว้ว่าจะทำข้าวเหนียวมูล คำรณเลยคัดเลือกมะม่วงอกร่องที่สุกคาต้นเพราะจะมีกลิ่นหอมรสชาติหวานกำลังพอดี แต่ที่สำคัญที่ สุดเป็นของโปรดของพริ้งแม่พี่สาวคนโตของบ้านใกล้เรือนเคียง คำรณยิ้มให้ กับสาวน้อยที่เป็นเหมือนลูกหลาน ซึ่งลดกระจกลงหลังจากปีบแตรยื่นมือออกมาทางหน้าต่างและรีบโบกไม้โบกมือให้ แพรพรรณถูกป้าพริ้งหยิกเข้าให้ตั้งแต่กดแตรตอนรถยนต์เคลื่อนผ่านบ้านของคำรณ ซึ่งก่อนจะเลี้ยวเข้าบ้านของตัวเอง คำรณชูผลมะม่วงที่ถืออยู่ให้ดู แพรพรรณรีบพนมมือไหว้เป็นการขอบคุณก่อนจะเข้าบ้านไป ส่วนพริ้งยิ้มน้อยๆ ทำเป็นนิ่งเฉยไม่ได้หันไปมองตรงๆ แต่อาศัยชำเลืองมองเสียมากกว่า คำรณยิ้มกับท่าทางนิ่ง เฉยของผู้หญิงที่เขาหลงรักมาตั้งแต่ยังหนุ่มจนถึงทุกวันนี้ “ไม่รู้จะปลูกอะไรเยอะแยะ ไม่เหนื่อยดูแลหรืออย่างไรกัน อายุก็เยอะแล้วนะ ตาคำ” แพรพรรณอมยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงบ่นของป้าพริ้งที่แฝงความห่วงใยในตัวลุงคำอยู่สม่ำเสมอ ส่วนลุงคำก็จะดูแลเอาใจใส่ช่วยเหลือเกื้อกูล โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน มารดาของแพรพรรณเคยเล่าว่า อะไรที่ป้าพริ้งชอบลุงคำจะจัดหามาให้สม่ำเสมอ อย่างเช่นไอ้เจ้ามะม่วงผลงามที่แพรพรรณเพิ่งได้เห็นเจ้าของชูขึ้นมาอวดโฉม มะม่วงอกร่องที่หารับประทานยากแล้ว เพราะคนไปหลงใหลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ผิวพรรณค่อนข้างดี แต่มะม่วงอกร่องที่แสนอร่อยคงต้องรอให้ผิวเหี่ยวย่นเป็นคนแก่เสียก่อน ถึงจะหวานหอมแต่ป้าพริ้งจะชอบแบบไม่หวานมาก เพราะฉะนั้นลุงคำถึงได้เพิ่งเก็บลงมาจากต้น “ลุงคำลำเอียง” แพรพรรณแกล้งพูดต่อว่า “ยังไง” ป้าพริ้งถาม “เก็บตอนนี้ ก็เป็นของโปรดป้าพริ้งคนเดียวสิ ของแพรน่ะต้องเอามาบ่มไว้สักวันสองวันให้ผิวเหี่ยวๆ ก่อน ถึงจะหวานหอมอร่อยทาน กับข้าวเหนียวมูลฝีมือแม่ราดกะทิฉ่ำๆ โอ๊ย เสียดายลุงคำลำเอียง” แพรพรรณพูดบ่นกระปอดกระแปด แต่แอบหันไปยิ้ม “ตาคำคงเก็บบ่มไว้ให้แล้วล่ะ เป็นหลานรักนี่เราน่ะ มีหรือจะลืม” “ฮั่นแน่ มีเข้าข้างกันด้วยน๊า” แพรพรรณหัวเราะคิกคัก “แม่คนนี้ พูดไปใครได้ยินเข้าจะไม่ดีนะ” ป้าพริ้งพูดดุหลานสาว “อย่าไปสนใจเลยค่ะ ใครจะพูดอะไร ป้าพริ้งสอนหนูเอง ลุงคำเป็นคนดีเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตแพร บางทีแอบคิดว่าเป็นพ่อด้วยซ้ำไป ถ้า ชอบแม่นะ แพรคงได้เรียก พ่อคำ ไปแล้วล่ะคะ” แพรพรรณบอก “ช่างคิดนักนะจ้ะ แม่นางเอก” พริ้งยิ้มน้อยๆ มองไปทางบ้านของคำรณยังเห็นเอาไม้สอยมะม่วงอยู่เหมือนเดิม คำรณมองมาพอดีจึงส่งยิ้มให้ก่อนที่พริ้งจะเข้าบ้านไปพร้อมกับหลานสาว ชนามองดูลุงคำที่ยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นมะม่วง มีตะกร้าสานวางอยู่ที่พื้นข้างๆ ตัว ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรนักกับวิถีชีวิตที่ชนาเห็นมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ลุงคำปลูกพืชออกดอกออกผลดีเสมอ และจะพูดให้ฟังเรื่องการเอาใจใส่ดูแลพืชผัก ข้าว รวมถึงผลไม้ ทุกสิ่งที่มีชีวิตที่ควรได้รับการเอาใจใส่ดูแล สังเกตได้จากมะม่วงอกร่องลูกโตที่มารดาของชนาเคยบอกว่าหาทานได้ยากแล้ว แต่ลุงคำปลูกเอาไว้หลายต้น รวมถึงต้นอ่อนที่งอกจากเม็ดมะม่วงซึ่งคงเพาะเอาไว้ปลูกเพิ่ม “กินแต่มะม่วงน้ำดอกไม้ จนเกือบจะลืมรสชาติมะม่วงอกร่องไปแล้วนะ หนูน่ะ” ชนายิ้ม ยื่นกระติกโอเลี้ยงให้ลุงคำซึ่งรับมาดื่มในทันที “แม่เพ็ญจะทำข้าวเหนียวมูลให้หนูแพร” คำรณบอกกับหลานสาว “ยายหนูแพร อ๋อยายตัวเล็กที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนน่ะ หรือคะ หนูเคยไปชะเง้อชะแง้อยากไปเล่นด้วยตอนเด็ก แต่ป้าๆ ไม่ค่อยให้ ออกมาวิ่งเล่นเท่าไรนัก” ชนายิ้มและช่วยยกตะกร้าเข้าไปในบ้าน หลังจากลุงคำวางไม้สอยมะม่วงพาดไว้ที่ต้น ชนาอมยิ้มมองดูมะม่วงอกร่องที่เหลืองอร่ามอยู่ในตะกร้า “ก็น่าหวงอยู่นะ ยายหนูแพรน่ะ” คำรณบอก แต่ความสนใจของชนาไปอยู่ที่มะม่วงอกร่องสุกเสียแล้ว มีดเมิดไม่สนใจ หยิบขึ้นมากัดและค่อยๆ ลอกเปลือกออก คำรณหัวเราะไม่คิดว่าสาวนักเรียนนอกจะยังคงมีความเป็นเด็กไทยอยู่ในตัวมาจนถึงทุกวันนี้ “ด็อกเตอร์ประสาอะไรของมันว๊ะ ไอ้ชา มารยาทไม่มีเลย ดูสิกินเป็นเด็กน้อยเลยเอ็ง” คำรณหัวเราะมองดูหลานที่ยังคงเอร็ดอร่อยกับผลไม้ที่รสชาติแสนอร่อย รสไม่หวานมากนัก ถ้ามีข้าวเหนียวมูลคงต้องเป็นพวกที่อยู่ในกระจาดสานและมีผ้าคลุมอยู่นั่นมากกว่า ชนายิ้มๆ มองดูไปรอบๆ “แบบนี้ความรู้สึกเหมือนได้สัมผัสธรรมชาติจริงๆ เลยค่ะ ลุงคำ” “เออตามสบายเอ็งเลย แต่อยากกินอีกต้องไปสอยเอาเอง ไอ้ตะกร้านั้นของบ้านโน้นเขา” ลุงคำพูดยิ้มๆ มองดูหลานสาวทำหน้างอ “โหยกับหลานให้กินลูกเดียว ไล่ไปสอยเอาเองอีกต่างหาก ดูดิของบ้านสามใบเถา เอ๊ะสี่สิเนอะ หรือห้าแล้วน๊า คนเยอะอยู่ไม่ว่ากัน แต่ได้เป็นตะกร้าดูลำเอียงมากอยู่นะ ลุงคำ” ชนาพูดแหย่ “มีตั้งหลายต้น ปีนขึ้นไปกินบนต้นโน่นเลยสิเอ็งน่ะ ซนนัก” ชนาหัวเราะเมื่อได้ยินลุงคำไล่ให้ไปปีนป่ายต้นไม้ ซึ่งในวัยเด็กออกจะซนเหมือน ที่คนเป็นลุงกล่าว ชนาไม่รู้ไม่เหมือนกันว่าตัวเองหลงใหลอะไร เพราะระหว่างไปเรียนที่ต่างประเทศ เมื่อเห็นต้นไม้เขียวๆ ทีไร ได้นึกถึงบ้านของลุงคำไปเสียทุกที กล้วยเครือใหญ่ถูกตัดแบ่งออกเป็นหวีวางไว้ด้านหน้าบ้าน พร้อมกล่องใส่สตางค์ที่ใครอยากได้กล้วยก็หยิบไป วางสตางค์ใส่กล่องเอาไว้ จะจ่ายหรือไม่จ่ายคำรณไม่ได้สนใจอะไร เพราะจริงๆ แล้ว เงินดูไม่ค่อยจะมีค่าสักเท่าไหร่ ตั้งแต่เริ่มมาใช้ชีวิตเป็นเกษตรกร มารดาเคยเล่าเรื่องราวของพี่ชายและออกจะบ่นๆ อยู่เสมอว่า อุตส่าห์ร่ำเรียนมาตั้งมาก แต่สุดท้ายมา เลือกอาชีพชาวนาและเกษตรกร “ทำไม ไม่เอากล้วยให้น้าเพ็ญทำขนมล่ะคะ” ชนาถามลุงคำที่หันมายิ้มให้และมองออกไปด้านหน้า ซึ่งมีเด็กมายืนเมียงมองกล้วยหวีที่สุกพร้อมกินได้ คำรณมองสบตากับหลานสาว ซึ่งพยักหน้าให้เด็กน้อยที่พนมมือไหว้ทันที ก่อนจะหยิบกล้วยหนึ่งหวีรีบวิ่งแจ้นไป คำตอบอยู่กับสิ่งที่ได้เห็น คือ รอยยิ้มของเด็กคนนั้นนั่นเอง “ของแม่เพ็ญ ข้าเอาแบกไปส่งให้ที่บ้านตามสั่งอยู่แล้วล่ะ ส่วนที่เอามาวางก็แบ่งปันกันไป เพราะมีเยอะจนกินไม่หวาดไม่ไหว ไอ้หนูคนนั้น แม่มันไม่สบาย บ้านโน้นให้ข้าวให้กับ ส่วนข้าแบ่งผลไม้ให้มันไปบ้างอย่างที่เห็น แต่ดีนะ ไม่เคยมาขออะไร จะวิ่งมาเวลาหิวนั่นแหละ” “ชักอยากอยู่ที่นี่เสียแล้วสิ” ชนารำพึงออกมาเบาๆ ลุงคำรีบหันมาทันที “แม่เอ็งคงยอมหรอกนะ ไอ้ชา” ลุงคำหัวเราะ “อยู่กรุงเทพฯ วุ่นวายจะตายไป อยู่กับลุงคำสตางค์ก็ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องทำงานก็ได้นะ อันที่จริง” ชนาหัวเราะ เมื่อเห็นชายสูงวัยส่ายหน้า “ไปเรียนเสียตั้งหลายปี จะมาปลูกข้าว ปลูกผลไม้ แม่เอ็งจะมาเผาบ้านข้าไหมล่ะ” ลุงคำบอก “หนูจะสอนหนังสือ อยู่ที่ไหนก็ได้มั้งคะ” “บอกแม่เขาหรือยัง” ลุงคำเดินมานั่งข้างๆ ชนา “หางานได้ก่อนค่อยบอก” ชนาพูดเสียงอ่อยๆ “มีหวัง บ้านข้าได้เป็นไฟแน่ ถ้าจะอยู่ที่นี่ ก็ปลูกบ้านสักหลังไหมล่ะ เอาแบบที่คิดว่าเอ็งจะอยู่สบายๆ น่ะ บ้านข้าของเยอะแยะไปหมด เผื่อเอ็งต้องรับแขก รับรองเพื่อนฝูง หรือมีครอบครัว” ลุงคำบอกกับหลานสาวที่เข้าสวมกอดในทันที “เหมือนรู้ใจเลย กำลังจะขอซื้อที่ต่ออยู่พอดี” ชนาพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ “ไม่ขายเว๊ย แต่ให้ฟรี” ลุงคำหัวเราะ เดินไปเปิดตู้เก็บของและหยิบเอกสารมายื่นให้ “ชื่อหนู” ชนารำพึงออกมาเบาๆ “เออสิ ที่อยู่ติดกับบ้านโน้นเลย” คำรณบอกกับหลานสาวก่อนจะลูบเบาๆ ไปที่ศีรษะ “ถ้าปลูกบ้านคงต้องไปบอกสาวๆ บ้านโน้นก่อนสิแบบนี้” “ก็ควรนะ ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ” “เกรงใจลุงอะสิ หนูโอนเงินเข้าธนาคารไว้ให้ด้วยดีกว่านะคะ” “ได้มาก็ไม่ได้ใช้ เอ็งซื้อโอเลี้ยงมาฝากข้าบ่อยๆ ก็พอแล้ว” ลุงคำหัวเราะมองดูหลานสาวที่ลงไปนั่งคุกเข่าและก้มกราบ “มักน้อยนะเนี่ย ขอแค่โอเลี้ยงเอง” “ไม่ใช่แค่โอเลี้ยง ฝากดูแลบ้านโน้นด้วย หากวันหนึ่งข้าไม่อยู่แล้ว” ลุงคำยิ้มมองสบตากับชนาที่กำลังมองไปยังบ้านเรือนไทยหลังงาม แต่เสียงที่ดังขึ้นเบนความสนใจสองลุงหลานให้มองออกไปทางหน้าบ้าน “พี่คำ ซื้อโอเลี้ยงมาฝากจ้ะ” เพ็ญมายืนยิ้มอยู่หน้าบ้านพร้อมกับกระติกน้ำแข็งซึ่งมีโอเลี้ยงหวานเย็นชื่นใจ “มีแล้ว แม่เพ็ญ ไอ้ชาเขาซื้อมาฝากแล้ว โน่นแน่ะ ไปฝากพี่สาวเสียดีกว่าเพิ่งมาถึงเมื่อตะกี้นี้เอง ขอบใจนะจ้ะ” การพูดคุยของผู้ใหญ่ที่มีคำลงท้ายจ้ะจ๋า ฟังแล้วช่างน่าเอ็นดูในความรู้สึกของคนที่เป็นหลาน “อ้าว ชนา ตัดหน้าน้าไปเสียก่อน” เพ็ญหัวเราะ “เข้ามาก่อนไหมคะ น้าเพ็ญ” ชนาพูดเอ่ยชวน “อย่าเลย เดี๋ยวแม่พริ้งเขาจะว่าเอา ชาวบ้านจะเอาไปนินทานะ ถึงจะแก่แล้วก็เถอะ อย่าให้เกิดเรื่องด่างพร้อยเอาอีตอนนี้เลยนะ” คำรณบอกกับเพ็ญที่พนมมือไหว้นึกขอบคุณในความห่วงใยที่มีให้เสมอมา โดยเฉพาะตอนที่ตั้งท้องแพรพรรณ “ไปล่ะ เดี๋ยวเอาข้าวเหนียวมูลมาให้นะ พี่คำ” “ขอบใจจ้ะ แม่เพ็ญ” คำรณยิ้มให้เพ็ญ “พรุ่งนี้ หนูขับรถให้ไหมคะ น้าเพ็ญ จะไปช่วยขายของแลกขนมทานด้วย นึกถึงข้าวเหนียวมูลฝีมือน้าเพ็ญแล้วหิว สงสัยไม่ต้องกิน ข้าวเย็น” ชนาหัวเราะ “ลำบากเปล่าๆ น้าขับได้ ขับรถใกล้นิดเดียวเอง ขอบใจนะ ชนา” “ไม่ลำบากเลยค่ะ น้าเพ็ญ พรุ่งนี้เช้าหนูไปรอที่หน้าบ้านนะคะ เข้าไปในบ้านเดี๋ยวป้าพริ้งไล่เอา” ชนาหัวเราะ เมื่อเห็นรอยยิ้มของ เพ็ญถึงแม้จะส่ายหน้าในสิ่งที่ได้ยินก็ตาม “งั้นเดี๋ยวสักพัก เข้าไปเอาข้าวเหนียวมูลก็แล้วกัน จะได้เจอคู่ปรับของลุงคำเขาด้วย” คำรณหัวเราะกับสิ่งที่เพ็ญกล่าว “ดีเหมือนกัน จะได้ไปกราบแม่พริ้งเขาด้วย หิ้วมะม่วงตะกร้านั้นไปด้วยล่ะ” คำรณบอกขณะยืนมองดูเพ็ญกลับไปขึ้นรถยนต์และ ค่อยๆ เคลื่อนขับเข้าบ้านไป โดยมีพี่สาวคนโตออกมายืนคอยเปิดประตูรั้วหน้าบ้านให้ “จะว่าไป น่ารักทั้งบ้านเลยนะ หนูว่า ถึงแม้จะดุไปบ้างก็ตาม” “เพราะเอ็งน่ะซนเอาเรื่องล่ะสิ ไอ้ชา” ลุงคำหัวเราะ “แหมเข้าข้างสาวออกนอกหน้าเลยนะคะ ลุงคำ” ชนายิ้มมองดูลุงที่ยังคงยืนมองดูสาวบ้านเรือนไทย ซึ่งกำลังปิดประตูรั้วรอจนสาวเจ้ากลับเข้าบ้านไป หนุ่มใหญ่ถึงได้ไปทำงานของตัวเองต่อ “ไม่อยากนึกถึงเรื่องหลานเขยเล๊ย ใครจะเป็นผู้โชคดีกันนะ” ชนานึกขำกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่า ใครกันนะจะฝ่าด่านผู้ใหญ่บ้านนี้จนได้ หลานสาวไปเป็นศรีภรรยา คิดแล้วก็อดขนลุกระคนเสียวไส้แทนไม่ได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม