เกือบอาทิตย์แล้วที่อดิสรพยายามติดต่อรุ่นน้องสาว แต่เขาก็คว้าน้ำเหลวทุกครั้ง พลันสายตาที่จ้องมองร่างบางของคนใครบาง ทำเอาอดิสรถึงกับยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เมื่อคนที่เขาพยายามงอนง้อ กลับมานั่งอยู่ใกล้เขาแค่นี้เอง
“หวาน”
อดิสรพึมพำรุ่นน้องสาวด้วยความดีใจ ลุกขึ้นจากโต๊ะ สาวเท้าไปหา นึกโทษตัวเองไม่ได้ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามผลักไส รุ่นน้องสาวผู้นี้ไป มารู้ตัวอีกที เขาก็เสียเธอไปแล้ว
พัชรานั่งก้มลงมองแก้วกาแฟด้วยความกังวล นับตั้งแต่เธอกลับมาเมืองไทย ชายหนุ่มก็ติดตามเธอตลอด ไม่ใช่ว่าเธอจะเกลียดรุ่นพี่ผู้นี้ เธอยังทำใจไม่ได้ต่างหาก ไม่รู้จะเริ่มต้น พูดอะไรกับรุ่นพี่ผู้นี้ดี สายตาปะทะกับปลายเท้าของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย สบตากับดวงตาคมเข้มนั่นแล้วก็ต้องตกใจ
“พี่คิว”
เสียงหวานหลุดรอดผ่านริมฝีบางบางด้วยความตกใจ ยกมือปิดปากด้วยความตระหนก เมื่อเห็นว่าคนที่เธอพยายามจะหลบ ดันมายืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเธอ
“ครับ ไม่เจอกันนานเลยนะหวาน”
นี่คือเสียงแรกที่หญิงสาวได้ยิน นับตั้งแต่เธอบินไปเรียนต่ออิตาลีหลังจากเพื่อนสนิททั้งสองแต่งงาน
“สวัสดีค่ะพี่คิว ไม่เจอกันนานเลยนะคะพี่คิว อ้อ.. นั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณครับ” อดิสรนั่งลงตรงหน้าพัชราทันทีด้วยความดีใจ รู้สึกถึงหัวใจที่ตอนนี้มันเต้นระรัว ด้วยความดีใจ ที่เขาสามารถเจอรุ่นน้องสาว “พี่โทรฯไปหาหวานตั้งหลายครั้ง เห็นเลขาฯหน้าห้องบอกพี่ว่าเรางานยุ่ง กำลังติดประชุมอยู่ ช่วงนี้งานเยอะมากเลยเหรอ” น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้น บ่งบอกถึงความน้อยใจ เขารู้ดีว่า รุ่นน้องสาวพยายามที่จะหลบหน้าเขา
พัชราถึงกับนิ่งเงียบ ก้มลงมองมือตัวเองด้วยความกังวล และเสียใจ เมื่อเฮสัมผัสถึงความน้อยใจ ในน้ำเสียงของรุ่นพี่หนุ่มผู้นี้ ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า
“แล้วพี่คิวสบายดีหรือคะ ตั้งแต่หวานกลับมาจากนอก หวานยังไม่ได้เจอพี่คิวเลย”
“นั่นสินะ ก็หวานงานยุ่งนี่น่า จะมีเวลามาเจอพี่ได้ไง พี่พยายามโทรฯหาหวานตั้งหลายครั้งแล้ว แต่หวานก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์พี่เลย”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะพี่คิว คือหวานไม่หวานจริงๆนะ ช่วงนี้หวานต้องช่วยงานคุณพ่อนะคะ” น้ำเสียงหวานพูดขึ้นด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นอาการของรุ่นพี่หนุ่มแล้วก็ต้องอึ้ง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่รุ่นพี่หนุ่มจะพูดแบบนี้กับเธอ
“หวานไม่ได้คิดจะหลบหน้าพี่ใช่ไหม”
“เอ่อ…”
“ใช่ไหม?”
“เปล่าหรอกคะ หวานจะหลบหน้าพี่คิวทำไม ในเมื่อเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อยจริงไหมคะ”
พัชราพูดขึ้นด้วยความเจ็บใจ ทั้งที่พยายามไม่หวั่นไหวกับผู้ชายคนนี้อีก แต่ทำไม เธอถึงเจ็บเหลือเกิน ยิ่งเห็นแววตาคู่นั้น จ้องมองและตัดพ้อเธอ เพราะว่าจริงน่าจะเป็นเธอมากกว่า ที่จะเป็นคนทำแบบนั้น
“หวาน”
“ค่ะ”
“หวานยังโกรธพี่เหรอ”
“เปล่าหรอกค่ะ อดีตก็คืออดีต หวานไม่คิดจะจดจำหรอกคะ สิ่งไหนที่ผ่านมาแล้ว หวานไม่อยากรื้นฟื้นมันอีก ถ้าพี่คิวไม่มีธุระอะไรแล้ว หวานขอตัวนะคะ พอดีวันนี้หวานมีนัดนะคะ“
“หวานจะไม่ให้โอกาสพี่จริงๆ หรือครับ”
“หวานก็ไม่ได้โกรธพี่คิวนิคะ หวานจะโกรธพี่ทำไม อีกอย่าง ระหว่างเรามันคงเป็นได้แค่เพื่อนที่ดีต่อกันมั้งคะ”
“หวาน”อดิสรแทบจะไม่เชื่อคำพูดนั้น รุ่นน้องสาวผู้นี้ หมดรักเขาจริงๆหรือ นี่เขาช้าไปหรือไง กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไม่สามารถที่จะอธิบายได้หรอกว่ามันเจ็บขนาดไหน บางทีเมื่อหลายปีก่อน เธออาจจะเจ็บมากกว่าเขาก็ได้ ที่เขาปฏิเสธไปวันนั้น สูดอากาศเข้าเต็มปอด ก่อนจะตัดสินใจถาม
“ถ้าเกิดพี่ขอโอกาสจากหวานอีกสักครั้งจะได้ไหม”
“ขอโอกาสไปเพื่ออะไรคะพี่คิว ตอนนี้ระหว่างเรามันก็คงเป็นได้แค่นี้แหละคะ หวานยังทำใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่าหวานไม่รักพี่คิวนะ แต่หวานกลัวความเจ็บและก็ผิดหวังอีก หวังว่าพี่คิวคงเข้าใจนะคะ คนเราจะให้ลืมเรื่องเจ็บปวดแบบนั้น มันคงต้องใช้เวลา”
“หวานยังรักพี่ใช่ไหม” อดิสรเอ่ยถามขึ้นด้วยความดีใจ ถึงแม้ตอนนี้รุ่นน้องสาวจะยังไม่ให้อภัยเขา แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเธอรักยังเขา
“ถึงรักก็แค่นั้นแหละคะพี่คิว เพราะตอนนี้หวานกำลังจะแต่งงานกับคนที่เขารักหวานจริง” พูดจบพัชราก็แทบจะร้องไห้ เธอไม่อยากเป็นตัวสำรองของใครหรอก ตัดใจเสียตอนนี้ บางทีมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ “หวานขอตัวนะคะ พอดีหวานนัดว่าที่คู่หมั้นไว้นะคะ”
“หวาน” อดิสรถึงกับตกใจ หน้าชืด กับคำตอบที่เขาได้รับ
“ขอตัวนะคะ” พัชราตัดสินใจลุกออกมาจากโต๊ะทันทีที่พูดจบ เธอไม่ต้องการให้คนที่เธอรัก เห็นน้ำตาและความอ่อนแอ ไม่ว่ากี่ปี ทำไมเธอยังตัดใจจากผู้ชายคนนี้ไม่ได้สัก
อดิสรมองจนร่างบางเดินไปจนลับตา ยกมือลูบหน้าด้วยความอ่อนล้า นี่เขาจะทำอย่างไรดี คนที่เขารักกำลังจะหนีไปแต่งงานกับคนอื่น “พี่รักเธอนะหวาน” ความอ่อนแอ เริ่มจู่โถมอดิสรอย่างหนัก ทำไมมันถึงได้เจ็บและทรมานแบบนี้ นี่สิที่เขาเรียกว่ากรรมตามทัน จะโทษใครได้ ในเมื่อเขาเป็นคนผลักไส คนที่เขารักไปเองนี่น่า
/////////
...โปรดติดตามตอนต่อไป...