จางเฟยอีใช้เวลาเกือบทั้งคืนเพื่อลำดับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เรื่องที่ตัวเองเสียชีวิตไปแล้วนั่นยังไม่ต้องไปพูดถึง นางรู้ดีว่านี่คือเรื่องจริง รสสัมผัส กลิ่น และความหิวโหยที่นางกำลังเผชิญอยู่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าทุกสิ่งเป็นความจริง สถานการณ์ตรงหน้านี้ต่างหากที่นางควรจะต้องกังวล
จางเฟยอีเจ้าของร่างคนเก่าผู้มีชื่อเดียวกันผู้นี้ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านน่าหลาง สกุลจางมีท่านปู่จางอู่เกินเป็นผู้เฒ่าอาวุโสคนเดียวในบ้าน ท่านย่าของนางเสียชีวิตไปแล้ว
จางอู่เกินมีบุตรชายสามคนคือท่านลุงใหญ่จางต้าฉวน ท่านลุงรองจางต้าหลาง และบิดาของนางจางต้าเฉิง บิดาของนางทำงานอยู่ในร้านค้าในเมืองเฉินหนง ต่อมาแต่งงานกับหลูเจินมารดาของนาง มีบุตรชายหญิงด้วยกันสามคนคือ จางเฟยอีเป็นบุตรสาวคนโตเวลานี้อายุ 15 ปี จางเฟยหรงบุตรชายคนรองอายุ 9 ปี และจางเฟยเทียนบุตรชายคนเล็กอายุ 5 ปี
ร้านค้าที่เมืองเฉินหนงนั้นมีกิจการอีกหลายแห่ง บิดาและมารดาของนางเป็นคนซื่อสัตย์ ขยันและรู้หนังสือ จึงถูกส่งไปกับเรือขนส่งสินค้าเพื่อทำการค้าต่างเมืองอยู่บ่อยๆ
นั่นเป็นเหตุให้พวกเขานานๆ ถึงจะกลับบ้านสักครั้ง รายได้ของพวกเขาถูกส่งมาให้ท่านปู่แทบทั้งหมด เพื่อไว้ใช้ทดแทนคุณและเป็นค่าเลี้ยงดูบุตรทั้งสามคนของเขา
หลังจากที่คลอดจางเฟยเทียนบุตรชายคนที่สามแล้ว พวกเขาก็เดินทางไกลอีกครั้งและไม่ได้กลับมาอีกเลย
เถ้าแก่ร้านค้าส่งคนมาแจ้งข่าวว่าเรือขนส่งสินค้าล่มและคาดว่าทั้งสองจะเสียชีวิตไปแล้ว เขานำเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายและเงินปลอบขวัญอีกเล็กน้อยของทั้งสองคนมามอบให้กับท่านปู่ท่ามกลางความเศร้าโศกของคนทั้งบ้าน
รายได้หลักที่มากที่สุดที่คนในสกุลจางได้รับล้วนมาจากบิดาและมารดาของจางเฟยอี เมื่อสูญเสียรายได้พวกเขาเริ่มจะขาดเงินหมุนเวียนภายในครอบครัว จนต้องแบ่งที่นาออกไปขายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของทุกคน
แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเกิดภัยแล้งไปทั่วทั้งแผ่นดิน ข้าวยากหมากแพง สัตว์เลี้ยงพากันล้มตาย ผลผลิตเสียหายนับไม่ถ้วน สกุลจางจึงยิ่งยากลำบากไปเรื่อย ๆ จนมาถึงจุดที่สามารถกินอาหารให้อิ่มได้เพียงครึ่งท้องวันละสองมื้อเท่านั้น
เจ้าของร่างเดิมเป็นสตรีที่ไม่สุงสิงกับผู้ใดมากนัก มีเพียงน้องชายทั้งสองคนเท่านั้นที่นางใส่ใจดูแลเป็นพิเศษจากคำฝากฝังของมารดา แม้จนกระทั่งนางขาดใจตายไปในหัวของนางคิดเพียงแค่ว่าพรุ่งนี้นางจะหาอะไรให้น้องชายของนางได้กินเท่านั้น
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงมาอยู่ในร่างของเธอได้ แต่ในเมื่อเธอได้ให้ร่างกายกับชีวิตใหม่ให้กับฉันแล้ว ฉันสัญญาว่าฉันจะดูแลน้องชายทั้งสองคนของเธอเท่ากับรักชีวิตของฉันเอง ไปสู่สุคติเถอะนะจางเฟยอี”
……….
เสียงโต้เถียงกันระหว่างท่านลุงใหญ่และป้าสะใภ้ปลุกจางเฟยอีให้ตื่นขึ้นมา หลังจากที่นอนวิตกกังวลถึงชีวิตตัวเองจนเกือบจะถึงเช้า นางลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และรีบตัดสินใจในที่สุด
“แยกบ้าน แยกบ้านถึงจะทำให้ฉันทำอะไรได้สะดวกขึ้นก่อนที่จะวางแผนถึงอนาคตของตัวเองได้ต่อไป” นางคิดและทำอย่างรวดเร็ว เรียกน้องชายทั้งสองมาบอกกล่าว หลังจากที่พวกเขาเต็มใจจะเชื่อฟัง นางก็พร้อมแล้วที่จะจัดการเรื่องต่อไป
“น้องรองเจ้าพาน้องเล็กไปล้างหน้าล้างตาก่อน ดูจุดไฟต้มน้ำแทนข้า แล้วค่อยพาน้องเล็กไปพบท่านปู่พร้อมกัน พี่ใหญ่จะไปก่อน” นางกล่าวพลางเอาผ้าชุบน้ำในอ่างไม้ที่อยู่ในห้องมาเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วก้าวออกจากห้องไป
……….
กลับมาทางผู้อาวุโสบ้านสกุลจาง ที่ยังคงรวมตัวกันอยู่หน้าห้องของจางต้าฉวน
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากท่านขายตัวเองไปเป็นบ่าวแล้วข้ากับลูกๆ จะทำเช่นไร” นางไป๋หยูหรือไป๋ซื่อ (สตรีที่แต่งงานแล้วมักจะใส่คำว่า ซื่อ ต่อท้ายแซ่เดิมของตน) สะใภ้รองภรรยาของจางต้าหลางร่ำร้องน้ำตาตกตามสะใภ้ใหญ่ไปอีกคน
จางเฟยอีเดินมาทางหน้าห้องของท่านลุงใหญ่ ผ่านบุตรหลานในสกุลจางที่ค่อยๆ ทยอยกันเดินตัวลีบออกจากห้องของตัวเองไปทางครัวหลังบ้าน ผู้อาวุโสกำลังคุยกันอยู่พวกเขาไม่กล้าฟัง
พี่ชายจางจื่อฉี บุตรชายคนโตของท่านลุงใหญ่ ตบบ่านางเบาๆ สองครั้งเป็นการให้กำลังใจ เด็กคนอื่นๆ ก็ชำเลืองมองนางด้วยสายตาละห้อยระคนสงสาร แต่ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมา
"ท่านปู่ ท่านลุง ป้าสะใภ้ ข้าขอพูดถึงเรื่องนี้ได้ด้วยหรือไม่เจ้าคะ อย่างไรเรื่องนี้มันก็เกี่ยวพันกับตัวของข้าเอง"
ทุกคนต่างก็หันมองมายังเด็กสาววัยสิบห้าปี รูปร่างผอมบาง หน้าตางดงามแม่ไม่ได้งามจนคนเห็นต้องตกตะลึง แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นสตรีที่มีใบหน้างดงามนางหนึ่ง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจไม่น้อย
ปกติหลานสาวของพวกเขาคนนี้ไม่มีทางที่จะริเริ่มพูดคุยกับผู้ใดมาก่อนเลย ดูท่าพวกเขาคงจะทำให้นางเสียขวัญอยู่ไม่น้อย จนทำให้นางถึงกับต้องออกมาขอร่วมวงสนทนา
ป้าสะใภ้ใหญ่หลี่ซื่อเงียบเสียงลง หลับตาทรุดร่างลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่กล้ามองไปยังจางเฟยอี นางเองก็ละอายใจไม่น้อยเลย
หลานสาวคนนี้นางเลี้ยงดูมาพร้อมกับจางจื่อเหมยบุตรสาวของตนเองซึ่งอายุมากกว่าจางเฟยอี 1 ปี มารดาของจางเฟยอีต้องออกไปทำงานต่างเมือง ไม่สะดวกที่จะพาบุตรเดินทางไปทั่วได้ จึงได้ฝากบุตรสาวไว้กับนาง
จางจื่อเหมยมีปานดำขนาดใหญ่บนใบหน้า แต่เป็นเด็กที่มีจิตใจดี นางไม่เคยอับอายปานดำบนใบหน้าของตนเองเลย และยังชื่นชอบจางเฟยอีที่มีใบหน้างดงามอีกด้วย จึงรักจางเฟยอีเหมือนดังน้องสาวแท้ ๆ คนหนึ่ง
แม้แต่การออกไปทำไร่ทำนา นางก็ออกโรงปกป้องจางเฟยอีไม่ให้ออกไปทำงานหนัก นางจะออกไปทำงานแทนโดยให้จางเฟยอีเลี้ยงดูน้อง ๆ และทำงานเบาๆในบ้านเท่านั้น
นางหลี่ซื่อเลี้ยงหลานสาวคนนี้มา 15 ปี ไม่มีวันไหนที่จะไม่เห็นหน้ากันย่อมมีความผูกพันกันอยู่บ้าง บัดนี้บุตรสาวของนางป่วยหนักนางต้องเลือกที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัว
ได้แต่พยายามปลอบใจตนเองว่าสตรีอย่างไรก็ต้องออกเรือน หลานสาวเพียงแค่ไม่มีโอกาสเลือกคู่ครองด้วยตนเองเท่านั้น แต่สตรีทุกคนก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ผู้อาวุโสเห็นควรอย่างไรก็ต้องทำตาม
หากครั้งนี้การออกเรือนของหลานสาวจะช่วยชีวิตจื่อเหมยได้ นางสาบานกับตัวเองเอาไว้ว่านางจะไม่มีวันทอดทิ้งน้องชายทั้งสองคนของจางเฟยอีเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ
"ป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ"
จางเฟยอีลงไปคุกเข่าข้างๆ นางหลี่ซื่อ เอื้อมมือไปจับมือของนางไว้แล้วบีบเบาๆ ปลอบโยน นางรู้จากความทรงจำของร่างนี้ว่าก่อนหน้านี้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ปฏิบัติกับนางเหมือนเป็นบุตรสาวคนหนึ่ง
แต่เนื่องจากจางเฟยอีคนเก่า เป็นคนที่เฉยชาไม่เคยคิดจะพูดคุยสนิทสนมกับผู้ใดเลย นางเองยังคิดว่าเจ้าของร่างเดิมเองก็ใจดำกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่อยู่ไม่น้อย การตัดสินใจส่งนางออกเรือนไปในครั้งนี้คงเป็นทางเลือกสุดท้ายของท่านป้าสะใภ้ใหญ่แล้วจริงๆ นางไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองใดๆ ทั้งยังรู้สึกสงสารท่านป้าสะใภ้ผู้นี้เป็นอย่างมากด้วย
“นี่เป็นปิ่นปักผมที่ท่านแม่มอบไว้ให้กับข้าสำหรับเป็นสินเดิมติดตัวเวลาออกเรือน ท่านป้าให้ท่านลุงใหญ่นำปิ่นนี่ไปขายนำเงินมารักษาพี่จื่อเหมยก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
จางเฟยอีล้วงหยิบปิ่นเงินอันหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ มารดาของนางมอบปิ่นอันนี้ไว้ให้นางนานแล้ว นอกจากนี้ยังมีเงินอีกจำนวนหนึ่งด้วย มารดาสั่งนางไว้ว่าให้นำออกมาเมื่อต้องแต่งงาน นางจึงไม่เคยบอกใครถึงเรื่องปิ่นและเงินที่มีอยู่
แต่หากปิ่นอันนี้จะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และทำให้การแยกบ้านสำเร็จ นางเต็มใจที่จะเสียมันไป
เงินนางก็มี แต่ในเวลาที่ยังคาดเดาเหตุการณ์ภายหน้าไม่ได้ นางเลือกที่จะเก็บเงินเอาไว้ก่อน และใช้ปิ่นเงินมาแก้ปัญหาการแยกบ้านออกไปเสีย
แม้ว่าปิ่นเงินชิ้นนี้จะเป็นเสมือนสมบัติต่างหน้าของมารดา แต่ด้วยความที่นางเป็นคนยุคใหม่ ที่เผอิญเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้นี้ ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ของมารดาและบุตรอย่างแท้จริง นางจึงไม่เสียดาย และได้แต่ลอบขอโทษ จางเฟยอีคนเก่ากับมารดาเอาไว้ในใจ
“นี่..นี่..ฮือ..ฮือ..เฟยอีป้าขอบใจเจ้ามาก ป้าจะหาทางเอามันมาคืนเจ้าให้ได้ ”
“ป้าสะใภ้ พี่จื่อเหมยดีกับข้าเพียงใดข้ารู้ดี ปิ่นนี่หากช่วยพี่จื่อเหมยได้ข้าจะยินดีมาก และข้าไม่ได้ให้ไปเปล่าๆ หรอกเจ้าค่ะ ข้ายังมีเรื่องอยากจะกล่าวกับท่านปู่และทุกคนอีกด้วย