จางเฟยหรง

1624 คำ
ภายในห้องนอนเล็กๆ ห้องหนึ่งในบ้านสกุลจาง “พี่ใหญ่ท่านยังไม่ต้องออกไปต้มน้ำ เดี๋ยวข้าจะออกไปทำเอง ท่านหลบอยู่ในนี้ก่อน” จางเฟยหรงเด็กชายวัย 9 ปี กล่าวกับผู้เป็นพี่สาวคนโตของเขาด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาได้ยินท่านลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ใหญ่ทะเลาะกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่อยากให้พี่สาวของเขาออกเรือนไป ยังดีที่ท่านลุงใหญ่ไม่เห็นด้วย เขาจึงค่อยสบายใจและนอนหลับตาลงในที่สุด เช้านี้พวกเขาสามคนพี่น้องยังไม่ทันออกจากห้องด้วยซ้ำ ก็ได้ยินท่านป้าสะใภ้พูดเรื่องจะให้พี่สาวออกเรือนไปอีกแล้ว เขาได้ยินทุกอย่างไม่ชัดเจนนัก แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ทั้งท่านลุงรอง ป้าสะใภ้รอง ท่านปู่ต่างออกมาคุยถึงเรื่องนี้กันทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่ยอมให้พี่สาวออกเรือนไปกับคนที่เขาไม่รู้จักเป็นอันขาด พี่สาวของเขาเป็นคนขี้กลัว นางไม่กล้าพูดหรือมองหน้าใครเลยด้วยซ้ำนอกจากเขากับน้องสามจางเฟยเทียน หากพี่สาวเขาแต่งออกไปกับคนไม่ดีย่อมถูกรังแกได้ง่ายเขาจำเป็นต้องปกป้องพี่สาวคนนี้ “เฟยหรง ไม่ต้องกังวลนะ พี่ใหญ่ของเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะดูแลพวกเจ้าสองคนเอง…เฟยเทียนมานี่ด้วย” จางเฟยอี เด็กสาววัย 15 ปี กล่าวกับน้องชายคนรองอย่างอ่อนโยนพลางเรียกน้องชายคนเล็กวัยห้าขวบที่เพิ่งตื่นนอนยังไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ มานั่งใกล้ๆ อีกคน “อีกเดี๋ยวข้าจะไปคุยกับท่านปู่ ข้าจะขอร้องท่านปู่ พวกเราจะแยกบ้านไปอยู่กันตามลำพังสามคนพี่น้อง หากท่านปู่ถามพวกเจ้า พวกเจ้าต้องยืนยันที่จะแยกบ้านและเชื่อฟังข้าทำได้หรือไม่” “เราจะแยกบ้านออกไปกันได้อย่างไรพี่ใหญ่ พวกเราไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร เราจะอยู่กันได้อย่างไรกัน” จางเฟยหรงถามออกมาอย่างร้อนรน “แล้วตอนนี้เรามีเงิน มีอาหารอยู่หรือน้องรอง ท้ายหมู่บ้านมีกระท่อมบ้านเดิมของท่านย่าอยู่มิใช่หรือ พวกเราจะไปอยู่ที่นั่น เรื่องอื่นๆ ข้าจะจัดการเองตกลงไหม” “ข้าตกลง” จางเฟยเทียนยิ้มตาหยีเข้ามากอดพี่สาวอย่างออดอ้อน แยกบ้านเป็นอย่างไรเขาไม่รู้ รู้เพียงเขาอยากอยู่กับพี่สาวและพี่รองเท่านั้น ทั้งสองคนเป็นคนที่เขารักมากที่สุด จางเฟยหรงนิ่งเงียบอยู่สักครู่ ตั้งแต่เขาจำความได้ เขาและน้องชายคนเล็กก็มีเพียงพี่สาวคนโตที่ดูแลพวกเขาทั้งสองมาตลอด บิดามารดาของพวกเขานานๆ ถึงจะกลับบ้านสักครั้ง เวลานี้บิดามารดาหายหน้าไปสี่ปี จนเขาจำใบหน้าและเรื่องราวของคนทั้งสองแทบไม่ได้แล้ว พี่ใหญ่เป็นคนที่เชื่อฟังบิดามารดาเป็นที่สุด นางไม่ได้โง่อย่างที่คนอื่นๆ คิดกัน ยามที่บิดาสอนหนังสือให้เขากับพี่สาว นางจดจำและเรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็วกว่าเขามากนัก เพียงแต่นางเป็นคนที่ซื่อสัตย์มากเกินไปจนเรียกว่าทึ่มเลยก็ว่าได้ ท่านแม่ฝากฝังให้นางดูแลน้อง นางก็ไม่เต็มใจจะทำอย่างอื่นนอกจากเรื่องของน้อง ท่านปู่บอกให้นางซักเสื้อผ้าของน้องนางก็ไม่คิดจะซักผ้าห่มหรืออย่างอื่นนอกจากเสื้อผ้า ไม่เคยขัดคำสั่งใคร แต่ก็ไม่เคยทำนอกเหนือจากคำสั่งใครเช่นกัน เขาไม่เคยเห็นพี่สาวเอ่ยปากบอกความคิดเห็นของตัวเองในเรื่องใดมาก่อนเลย ในใจจึงยังสับสนอยู่บ้าง แต่เขามีเพียงนางที่เป็นเหมือนดังมารดาคนที่สอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็เลือกที่จะเชื่อฟังและปกป้องพี่ใหญ่ของเขา “ข้าก็ตกลง ข้าเชื่อฟังท่าน” จางเฟยหรงรับคำหนักแน่น จางเฟยอี มองน้องชายทั้งสองอย่างอ่อนโยน ไม่เสียแรงที่เจ้าของร่างเดิมนี้รักน้องชายทั้งสองเป็นอย่างมากและดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีเสมอมา ครอบครัวสกุลจางและครอบครัวอื่นๆ ในหมู่บ้านเวลานี้ต่างก็ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งได้รับความอดอยากหิวโหยกันทุกหลังคาเรือน จากการที่มีน้ำในแม่น้ำน้อยลง ทางการจึงกำหนดให้ทุกบ้านจำกัดการเพาะปลูกเพื่อลดการใช้น้ำ ทำให้มีผลผลิตน้อย และขาดเงินทองมาใช้จ่าย นางและน้องชายทั้งสองเวลานี้ขาดบิดามารดาคอยดูแล ถึงแม้ท่านปู่และท่านลุงจะไม่เคยลำเอียงหรือปล่อยให้พวกเขาได้รับความลำบาก แต่ก็ไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่มีพ่อแม่คอยห่วงใยอยู่ เมื่อเห็นน้องชายทั้งสองต้องดื่มน้ำต่างข้าวบ่อยๆ เข้า จางเฟยอีคนเดิมได้แต่ยอมอด เอาอาหารส่วนของตนแอบมอบให้น้องชายทั้งสองโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ตัวนางเองไม่ได้ออกไปทำไร่นาเหมือนเด็กคนอื่นๆ มีหน้าที่ต้มน้ำเตรียมไว้ให้ทุกคนในบ้านใช้ ซักผ้า กวาดลานบ้าน เลี้ยงน้องทำงานเล็กน้อยในบ้านเท่านั้น จึงยังพอมีเรี่ยวแรงอยู่บ้างหลังจากต้องอดอาหาร แต่ในที่สุดร่างกายของสตรีที่ขาดสารอาหารมานานก็ทนต่อไปไม่ไหว นางเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อคืนขณะที่นอนหลับไปโดยไม่มีใครรู้ และจางเฟยอีผู้ที่กำลังนั่งคุยกับน้องชายทั้งสองอยู่นี้ก็คือ จางเฟยอีสตรีที่มีชื่อเหมือนกัน ผู้ที่มาจากอนาคตอันห่างไกลจากหมู่บ้านน่าหลางอันแร้นแค้นนี้เป็นอย่างมาก จางเฟยอีเป็นคนยุคใหม่อายุ 19 ปี มากกว่าเจ้าของร่างเดิม 4 ปี ครอบครัวของจางเฟยอี มีบิดามารดา และพี่ชายที่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางเครื่องบินไปหมดทั้งสามคน นางได้รับมรดกและเงินประกันชีวิตทั้งหมดของคนทั้งสาม สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างสุขสบายโดยที่ไม่ต้องหางานทำไปตลอดชีวิตเลยด้วยซ้ำ ในช่วงเช้าก่อนที่จะทะลุมิติไปยังยุคโบราณ นางไปเลือกซื้อต้นกล้าผักและต้นไม้หลายชนิด เพื่อจะมาทำสวนครัวในบ้านตามกระแสนิยมของวัยรุ่นยุคใหม่ ไปสั่งซื้อสินค้าจากร้านขายกระถางต้นไม้และของตกแต่งโบราณสำหรับจัดสวน แล้วก็กลับมาทำงานอยู่ในบ้านเพลิดเพลินทั้งวันจนไม่ทันสังเกตว่า มือของตนเองเกิดตุ่มน้ำใสพุพองจากการที่ใช้จอบขุดดินเพื่อปลูกต้นไม้โดยไม่สวมถุงมือ จนเมื่อยกหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่ขวางทางพื้นที่เพาะปลูกอยู่นั่นแหล่ะ ตุ่มน้ำใสจึงได้แตกออกจนเลือดไหลออกมานางถึงได้รู้ตัวว่ามีบาดแผล จากนั้นจางเฟยอีก็ไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้ออุปกรณ์สำหรับทำแผล ขากลับแวะซื้อข้าวสารอาหารแห้ง เนื้อสัตว์ และของใช้ส่วนตัวอีกหลายอย่างที่ซูเปอร์มาร์เก็ต สุดท้ายก็ไปหาคุณลุงข้างบ้านที่ทำงานอยู่ที่ร้านขายเครื่องแบบและอุปกรณ์ทางทหารเพื่อขอให้เขาเอารถกระบะไปรับกระถางต้นไม้และของตกแต่งที่ร้านขายเครื่องดินเผาที่นางไปสั่งจองสินค้าไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าให้ หลายครั้งที่จางเฟยอีพึ่งพาคุณลุงข้างบ้านผู้ใจดีคนนี้สำหรับเรื่องงานหนักที่นางไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยเสนอจ่ายค่าตอบแทนให้เขา คุณลุงก็เต็มใจช่วยเหลือและไม่เคยรับเงินจากจางเฟยอีเลยสักครั้ง เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว นางเตรียมเอาอุปกรณ์ทำแผลออกมาเพื่อจะจัดการกับบาดแผลของตนเอง ไม่คิดว่าเวลานั้นนางเกิดหน้ามืดและเป็นลมล้มลงไป…… เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ได้เห็นสถานที่แปลกประหลาด ไม่คุ้นเคยและเหม็นอับมากจนต้องย่นจมูกทันที ยังไม่ทันจะสำรวจสถานที่แห่งนี้ความทรงจำของคนอีกคนหนึ่งก็เข้ามาผสมปนเปกับความรู้สึกนึกคิดของนางจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความเจ็บปวด ผ่านไปครู่ใหญ่ ความสับสนมึนงงทุกอย่างก็ค่อยๆ คลายหายไป จางเฟยอีรู้แล้วว่าตนเองได้เสียชีวิตไปแล้วจากการที่เป็นลมแล้วศีรษะกระแทกเข้ากับพื้นอย่างรุนแรง และทะลุมิติมายังยุคโบราณในครอบครัวที่ยากจนเป็นอย่างมาก นางได้ยินเสียงของบุรุษและสตรีคู่หนึ่ง ถกเถียงกันเสียงดังอยู่ใกล้ๆ เมื่อตั้งใจฟังก็พบว่าทั้งสองคนก็คือท่านลุงใหญ่กับท่านป้าสะใภ้ของเจ้าของร่างเดิมที่กำลังทุ่มเถียงกันในเรื่องการแต่งงานของเจ้าของร่างเดิมอยู่นั่นเอง หันไปมองอีกทางที่รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในที่มืด เมื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้ก็เห็นเด็กชายตัวผอมคนหนึ่งกำลังเอาหูแนบกับกำแพง เพื่อแอบฟังท่านลุงกับป้าสะใภ้ทะเลาะกัน ไม่นานเด็กชายก็กลับมานั่งลง กอดเข่าสะอึกสะอื้นเบาๆอยู่คนเดียวสักพัก ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม