“ป้าสะใภ้ข้าไม่ได้ให้ไปเปล่าๆ หรอกเจ้าค่ะ ข้ายังมีเรื่องอยากจะกล่าวกับท่านปู่และทุกคนอีกด้วย ข้าต้องการจะแยกบ้านเจ้าค่ะ"
อันที่จริงคนสกุลจางไม่ได้เลวร้ายเลย แต่ที่นี่มีจำนวนสมาชิกในบ้านหลายคน ต้องอยู่รวมกันอย่างแออัด นางเคยอยู่บ้านหลังใหญ่เพียงคนเดียวแต่เวลานี้ต้องมานอนรวมกับน้องชายสองคนภายในห้องเล็กๆ ที่แทบไม่เหลือพื้นที่ให้เดิน นางอึดอัด
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกันไปไม่น้อย เมื่อได้ฟังคำพูดของจางเฟยอี หลานสาวคนนี้แต่ก่อนไม่เคยออกความคิดเห็นในเรื่องใด นี่อันใดกัน บทจะพูดก็พูดเป็นเรื่องเป็นราว ซ้ำยังเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดขอแยกบ้านเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ได้!!”
“เป็นไปไม่ได้!!” จางต้าฉวนและจางต้าหลางพูดโพล่งออกมาทันทีพร้อมกัน
“เจ้าเป็นสตรี ยังมีน้องชายเล็กๆ อีกสองคนจะไปอยู่กันเองได้อย่างไรจะทำอะไรกินกัน ปิ่นเงินนั่นก็เป็นของที่มารดาของเจ้ามีเจตนามอบให้เจ้าก็ควรเก็บไว้” จางต้าฉวนเอ่ยขึ้นก่อน
“ท่านลุงใหญ่ ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้า เวลานี้ข้าอายุสิบห้าปีแล้ว น้องรองถึงแม้จะยังเด็กแต่ก็ทำงานได้มากมาย เขาขึ้นเขาหาฟืนหาของป่าได้เองมาตั้งนานแล้ว บ้านสามก็ถือว่ามีบุรุษถึงสองคน แยกบ้านออกไปไม่ใช่ว่าจะออกจากสกุลเสียเมื่อไรล่ะเจ้าคะ
หากท่านเป็นห่วงพวกเราก็แวะไปเยี่ยมเยียนได้ อย่างไรก็อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ปิ่นอันนั้นหากเอาไปขายแล้วเป็นประโยชน์กับทุกคนข้าก็เต็มใจยกให้ท่านปู่ไปจัดการ"
จางอู่เกิน นิ่งครุ่นคิดอยู่เงียบๆ สักพักหนึ่งก็เอ่ยออกมา
“ข้าเองก็อายุมากแล้ว เรื่องแยกบ้านไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น เวลานี้ทุกคนก็ยังพอจะช่วยเหลือตัวเองได้อยู่บ้าง ถึงอยู่รวมกันก็ไม่มีอะไรจะดีขึ้นไปกว่านี้ เช่นนั้นก็แยกบ้านกันไปทั้งหมดนั่นแหล่ะ
ครอบครัวเรามีที่นาทั้งหมด 25 หมู่ ก็แบ่งให้ต้าฉวน 8 หมู่ที่เป็นผืนเดียวกับที่บ้านหลังนี้ อีก 10 หมู่พร้อมกับกระท่อมที่ทางตะวันออกนั่นก็มอบให้ต้าหลางไป เจ้าได้มากหน่อยเพราะที่นั่นเป็นเพียงกระท่อมหลังเล็กๆ แต่ก็อาศัยอยู่ได้ บ้านสามต้าเฉิงก็เอาบ้านเดิมของย่าเจ้ากับที่ดิน 7 หมู่ที่เหลือไปแล้วกัน ตัวข้านี่ก็จะอาศัยอยู่กับต้าฉวนที่นี่ต่อไปนั่นล่ะ”
จางอู่เกินกังวลเรื่องนี้มานานแล้ว หากเขาจากไป บุตรชายทั้งสองนั้นเขาไม่ห่วง ทั้งสองคนรู้ดีว่าเงินรายได้เมื่อครั้งจางต้าเฉิงและภรรยาที่ส่งมาให้สกุลจางใช้นั้นมันมากเกินกว่าค่าเลี้ยงดูเด็กทั้งสามคนมากนัก ย่อมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณน้องชาย
แต่ยามนี้เมื่อทุกคนต่างอดอยาก สะใภ้ทั้งสองของเขาคนหนึ่งเชื่อฟังสามีเป็นอย่างดีอีกคนตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัวและไม่ยอมเสียเปรียบใคร
ภายหน้าเมื่อถึงยามคับขันใจคนย่อมเปลี่ยน อาจสร้างความลำบากให้กับเด็กๆ บ้านสามได้
การตัดสินใจให้ทุกคนแยกบ้านเสียตั้งแต่เขายังมีชีวิตอยู่ ย่อมดีกว่าปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันภายหลัง เวลานั้นบ้านสามที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่เลยอาจถูกเอาเปรียบได้
จางต้าฉวนได้บ้านที่อยู่ปัจจุบันนี้ไปกับที่ดินแปดหมู่ และรับบิดาไว้ดูแลนั้นย่อมสมควรแล้ว
จางต้าหลางได้ที่นามากกว่าคนอื่นแต่เขาก็ต้องหาเงินปรับปรุงกระท่อมไม้ปนดินเหนียวที่ได้ไปอีกเล็กน้อยเขาจึงตั้งใจยกที่ดินสิบหมู่ผืนนั้นให้
ส่วนบ้านสามจางต้าเฉิงได้ที่ดินเจ็ดหมู่ซึ่งเป็นบ้านเดิมของภรรยาของเขา บิดามารดาของนางเสียชีวิตไปนานแล้วนางเป็นบุตรสาวคนเดียวแต่งเข้าสกุลจางตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อนางจากไปบ้านเดิมก็กลายเป็นของคนสกุลจางไปด้วย พวกเขาไม่ได้เข้าไปอยู่ที่นั่น ใช้เพียงพื้นที่เพาะปลูกที่อยู่โดยรอบเพียงเท่านั้น
แม้ที่ดินเจ็ดหมู่จะได้ไปน้อยกว่าบุตรคนอื่นๆ แต่บ้านหลังนั้นก็มีหลายห้องและยังสร้างจากอิฐ ซ่อมแซมนิดหน่อยก็อาศัยอยู่ได้ถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้แล้ว หากแบ่งให้ลูกๆ ของจางต้าเฉิงมากกว่านี้ไม่แน่ว่าสะใภ้รองอาจไม่พอใจ และจะทำให้การแยกบ้านในครั้งนี้ไม่สำเร็จก็เป็นได้
“ปู่ขอรับปิ่นเงินของเจ้าอันนั้นไว้แล้วกันเฟยอี เมื่อถึงเวลาเจ้าออกเรือนไปข้าจะให้ลุงทั้งสองของเจ้าช่วยออกสินเดิมคืนให้เจ้าไปมากหน่อยแล้วกันนะ แต่เจ้าบอกข้ามาหน่อยเถิดอยู่ดีๆ เจ้าก็เปลี่ยนเป็นคนรู้ความเช่นนี้มันช่างน่าแปลกใจนัก"
“ท่านปู่ เดิมทีข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงคิดถึงบิดามารดามากจนไม่มีจิตใจไปคิดเรื่องอื่นและยังกังวลถึงอนาคตของน้อง ๆ อยู่ตลอดเวลา จึงได้แสดงกิริยาไม่ดีต่อผู้อื่นมาตลอด
เวลานี้เห็นพี่จื่อเหมยล้มป่วย ข้ารู้ว่าตนมีหนทางจะช่วยเหลือได้ ข้าเองก็ลังเลอยู่ว่าควรจะตัดสินใจเช่นไร แต่เวลานี้คิดได้แล้วว่าข้าต้องเป็นเสาหลักให้กับน้อง ๆ ข้าจะมาทำตัวไม่รู้ร้อน ไม่รู้หนาว ไม่ใส่ใจพี่น้องคนรอบข้างตัวดังเช่นแต่ก่อนไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองเจ้าค่ะ”
“ดี…ดี…รู้อย่างนี้แล้วข้าก็จะได้หมดห่วง กล้าปล่อยพวกเจ้าไปอยู่กันตามลำพัง แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลทั้งปู่และลุงของเจ้าก็ยังอยู่ที่นี่จะไม่มีใครมารังแกพวกเจ้าสามคนได้หรอก”
“ท่านพ่อเช่นนั้นท่านก็อนุญาตให้เราขอยืมเงินมาเป็นค่ารักษาจื่อเหมยได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ รีบให้ต้าฉวนกับต้าหลางออกไปในเมืองกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ” นางหลี่ซื่อรีบเอ่ยแทรกออกมาอาการของบุตรสาวนางไม่ควรรออะไรอีกต่อไปแล้ว
“ต้าหลางเจ้าก็ไปขอยืมเกวียนบ้านอ้ายกัวเลย ต้าฉวนก็ดูเตรียมข้าวของพาบุตรสาวเจ้าไปหาหมอก่อน สะใภ้ใหญ่เจ้าก็ไปด้วยเสีย ขายปิ่นได้เท่าไรก็แบ่งไปเป็นค่าหมอค่ายา ที่เหลือก็ซื้อข้าวซื้ออาหารกลับมาให้หมด ข้าจะได้เอามาแบ่งให้ทุกคนไปทีเดียว” จางอู่เกินสั่งความ
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว ก็เป็นจังหวะพอดีที่จางเฟยหรงจูงมือน้องชายจางเฟยเทียนเดินมาหาท่านปู่ตามคำสั่งของพี่สาวของพวกเขา
จางอู่เกินมองไปยังหลานทั้งสามคน แล้วกล่าวออกมาช้าๆ
“เฟยหรงเจ้าเองก็นับว่าเป็นบุตรชายคนโตของต้าเฉิง แยกบ้านออกไปแล้วทีนี้บ้านสามก็ต้องเป็นเจ้าแล้วที่ต้องปกป้องดูแลพี่สาวและน้องชาย ต่อไปข้าจะไม่ให้ผู้ใดมาบังคับวุ่นวายเรื่องการแต่งงานของพวกเจ้าทั้งสามคนอีก เรื่องภายในเรือนบ้านสามข้าจะยกให้เป็นการตัดสินใจของเจ้า แต่ตัวเจ้ายังอายุน้อยนักมีอะไรก็ต้องเชื่อฟังพี่สาวของเจ้ารู้หรือไม่”
“ข้าทราบแล้วท่านปู่ ท่านไม่ต้องกังวลข้าหาผักป่า เก็บฟืน ช่วยงานในไร่นาได้ทั้งหมดขอรับ ข้าจะดูแลพี่ใหญ่กับน้องเล็กเอง”
“พวกเจ้าอย่าได้คิดว่าปู่ขับไสไล่ส่งเจ้าเลยนะ ปู่คิดเพื่ออนาคตในภายภาคหน้าของพวกเจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากกัน อย่างน้อยจะได้มีบ้านมีที่นาไว้ทำกิน อดทนผ่านช่วงระยะเวลาแรกๆนี้ไปให้ได้ก่อน ปู่จะให้ลุงของเจ้าแวะไปดูแลพวกเจ้าบ่อยๆ มีอะไรขาดเหลือก็บอกปู่มาได้เลย”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ”
เด็กทั้งสามรับคำกันอย่างว่าง่าย จางเฟยอีรู้สึกดีใจและแปลกใจเป็นอย่างมาก เธอไม่คิดว่าท่านปู่จะเข้าใจอะไรง่ายๆ เช่นนี้
ตามความเข้าใจของเธอ คนยุคโบราณจะเห็นเรื่องการแยกบ้านเป็นเรื่องอกตัญญูลูกหลานไม่ควรเอ่ยขึ้นมา ยังคิดว่าตนเองจะต้องแสดงละครเรียกน้ำตา เรียกร้องหาความน่าสงสารอีกไม่น้อยถึงจะโน้มน้าวให้พวกเขายอมตอบตกลงที่จะแยกบ้าน
ไม่นึกว่าท่านปู่ไม่เพียงแยกบ้านสามออกไปบ้านเดียว กลับทำเรื่องใหญ่ถึงกับแยกบ้านให้บุตรชายทั้งสามไปเลยทีเดียว
“เดี๋ยวปู่จะไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องแยกบ้านเสียหน่อย พวกเจ้าก็ไปช่วยป้าสะใภ้รองจัดการเรื่องข้าวปลาอาหาร ทำงานบ้านกันให้เสร็จเสีย พอพวกลุงใหญ่กับป้าสะใภ้เจ้ากลับมาจะได้ให้เขาพาไปช่วยกันทำความสะอาดบ้านเก่าทางนั้น”
เรื่องการแยกบ้านของคนบ้านจางไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก หัวหน้าหมู่บ้านเพียงแค่รับฟังเหตุผลและทำบันทึกจำนวนที่นาและชื่อของบุตรแต่ละคนที่เป็นเจ้าของที่คนใหม่เอาไว้ แล้วค่อยไปแจ้งทำหนังสือใหม่กับทางการ
ที่ดินเจ็ดหมู่นี้ยังไม่เคยทำบันทึกเปลี่ยนเจ้าของมาก่อนเลยตั้งแต่ท่านย่าของจางเฟยอีเสียชีวิตไป ครั้งนี้จางอู่เกินให้หัวหน้าหมู่บ้านทำบันทึกให้เป็นชื่อของจางเฟยหรงไปเสีย อย่างไรบุตรชายคนที่สามของเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว