จางเฟยอีลองเดินดูไปทั่วบ้าน พบว่าบ้านหลังนี้มีหลายห้องจริงๆ อย่างที่ท่านปู่ของนางพูด มีห้องนอนที่มีเตียงอยู่แล้วสามห้อง ห้องว่างอีกสองห้อง ตรงกลางเป็นลานบ้านโล่งที่เวลานี้เต็มไปด้วยวัชพืช
นางเดินไปดูห้องครัวก็พบว่าครัวที่นี่กว้างใหญ่มาก มีแคร่ไม้ตัวใหญ่วางไว้ตรงกลาง หม้อ ถ้วย ตะเกียบ ของใช้หลายอย่างถูกคว่ำวางเรียงไว้เป็นระเบียบบนแคร่ไม้ ทุกที่มีฝุ่นจับตัวหนาเตอะอยู่เต็มไปหมด ใกล้กับแคร่ไม้มีเตาดินขนาดใหญ่ ที่ยังมีขี้เถ้าหลงเหลืออยู่ในนั้น ตัวเตามีร่องรอยแตกร้าวหลายแห่ง สภาพทรุดโทรม
“ท่านลุงใหญ่เจ้าคะ ครอบครัวของท่านย่ามีอาชีพอะไรกันหรือเจ้าคะ ที่นี่แตกต่างจากบ้านเรือนของคนในหมู่บ้านที่เป็นบ้านดินเสียส่วนใหญ่มากเลยเจ้าค่ะ”
นางไม่รู้ว่านางอยู่ในยุคใดของจีน นางไม่เคยสนใจเรื่องประวัติศาสตร์เลยแม้แต่น้อย เท่าที่มองเห็นพบว่า บ้านในหมู่บ้านน่าหลางแห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านที่สร้างจากดิน หรือดินผสมไม้ อย่างบ้านสกุลจางจะทำโครงสร้างด้วยไม้และนำเอาดินเหนียวมาโบกทับไว้อีกที มีบ้างที่เห็นบางส่วนที่ก่อด้วยอิฐ แต่บ้านเดิมของท่านย่าหลังนี้ผนังส่วนใหญ่ก่อด้วยอิฐ และมีโครงสร้างที่เป็นไม้และหินผสมอยู่ด้วย
"มารดาของท่านย่าของเจ้า หรือก็คือย่าทวดของเจ้ามีพี่น้องสตรีหลายคน พวกเขาช่วยกันทำขนมส่งไปขายในเมืองเฉินหนง
ท่านย่าทวดเป็นคนเดียวในหมู่พี่น้องที่แต่งงานออกเรือนมาอยู่ที่นี่ หลังจากคลอดท่านย่าของเจ้าออกมาได้ไม่นาน ท่านปู่ทวดก็เสียชีวิตด้วยอาการเจ็บป่วย ท่านย่าทวดจึงรับพี่น้องที่เป็นสตรีมาอยู่ด้วยกันที่บ้านนี้ทั้งหมด ช่วยกันเลี้ยงดูท่านย่าของเจ้าที่เป็นบุตรเพียงคนเดียว จนเติบโต
จากนั้นคนในรุ่นท่านย่าทวดก็ค่อยๆ จากไปทีละคน พอท่านย่าของเจ้าแต่งเข้าสกุลจาง บ้านนี้ก็ถูกปิดเอาไว้ตลอดมา เมื่อครั้งที่บรรดาพี่น้องสตรีของท่านย่าทวดอยู่ด้วยกันนั้น พวกเขาต่างก็ตั้งใจทำงาน ค่อยๆ ต่อเติมสร้างบ้านชั้นดีหลังนี้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของพวกเขาน่ะ"
“แล้วเหตุใดท่านปู่ไม่ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เล่าเจ้าคะ ที่บ้านใหญ่นั่นคับแคบจนไม่มีห้องพอสำหรับทุกคนอยู่แล้ว” จางเฟยอียังสงสัย ขนาดบ้านที่นี่ดูแล้วจะพอๆ กันกับบ้านสกุลจาง แต่ทางนั้นมีคนจำนวนมากที่ต้องอาศัยอยู่รวมกันอย่างแออัด
“ท่านพ่อน่ะคิดมากเกินไป คิดว่านี่อย่างไรก็เป็นสินเดิมของท่านแม่ไม่อยากเอาเปรียบนาง พวกเขาก็ไม่มีบุตรสาวไม่อย่างนั้นท่านพ่อก็คงจะยกให้เป็นสินเดิมของบุตรสาวนั่นล่ะ ข้าเองก็แปลกใจไม่น้อยเลยที่ท่านพ่อตกลงจะยกบ้านหลังนี้ให้บ้านสามอยู่ แต่ก็ดีแล้วล่ะปล่อยทิ้งไว้ก็มีแต่จะเสียหายไปเปล่าๆ”
“อ้อ..เช่นนี้เองข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านลุงใหญ่ มิน่าครัวที่บ้านนี้ถึงได้กว้างขวางนัก เพราะพวกเขาเคยค้าขายมาก่อน บ้านก็มีหลายห้อง”
“เฟยอีไปดูทางด้านหลังสิ บ้านนี้มีบ่อน้ำเก่าอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าน้ำแห้งไปหมดแล้วหรือยัง” จางต้าฉวนเอ่ยเตือนหลานสาว เขาก็เพิ่งนึกได้ว่าบิดาเคยพาเขามาตัดหญ้าทำความสะอาดลานบ้านอยู่หลายครั้ง เขาเคยเห็นว่าด้านหลังมีบ่อน้ำ
“ดีจริง เดี๋ยวข้าไปดูก่อนนะเจ้าคะ”
หญิงสาวดีใจมาก หากว่ามีบ่อน้ำนั่นจะทำให้ทุกอย่างสะดวกสบายมากขึ้น นางกับน้องชายจะได้ไม่ต้องเดินไปตักน้ำจากแม่น้ำที่อยู่ไกลจากบ้านหลังนี้มากมาใช้ น้ำในแม่น้ำนั้นก็แห้งลงไปเยอะแล้ว ชาวบ้านต้องช่วยกันสร้างคันดินและทำราวไม้ เพื่อทำเป็นทางเดินลงไปด้านล่างเพื่อตักน้ำมาใช้ในบ้าน และใช้รดพืชพรรณในไร่นา ลำธารแห้งขอดหลังบ้านก็เป็นธารน้ำที่แยกออกมาจากแม่น้ำสายนั้นเช่นกัน
บ่อน้ำหลังบ้านตั้งอยู่ถัดจากครัวออกไป บริเวณนี้มีการนำหินสีเทามาปูไว้เป็นทางเดินกว้าง เมื่อจางเฟยอียกแผ่นไม้เก่าๆ สองสามแผ่นที่ปิดปากบ่อเอาไว้ ก็พบว่าในบ่อน้ำมีน้ำอยู่ นางไม่รู้ว่าบ่อนี้ลึกขนาดไหน แต่คะเนว่าปริมาณน้ำน่าจะมีราว ๆครึ่งบ่อ
นางคิดในใจว่าบ่อนี้น่าจะเป็นบ่อน้ำบาดาลที่ใช้คนขุดสร้างมันขึ้นมา นางทดลองนำสายยางจากสวนที่บ้านในมิติ ออกมาเปิดน้ำเติมลงในบ่อ ก็พบว่าสามารถทำได้ ในใจนางก็ยิ่งเบิกบานใจ รีบเดินกลับไปหาจางจื่อฉี
“พี่จื่อฉี ท่านช่วยข้าตักน้ำในบ่อขึ้นมาหน่อยเจ้าค่ะ ข้าจะใช้น้ำชุบผ้าเช็ดถูเรือน”
“หา..มีบ่อน้ำด้วยหรือเฟยอี พาข้าไปดูหน่อย” จางจื่อฉีแปลกใจเล็กน้อย เขาเคยตามบิดาเข้ามาตัดหญ้าอยู่บ้าง แต่ไม่เคยเดินไปทางด้านหลังเลย
“มีเจ้าค่ะ ยังมีโอ่งใหญ่อยู่ใกล้ๆอีกสามใบ แต่ข้าไม่รู้ว่าโอ่งรั่วหรือเปล่าในโอ่งไม่มีน้ำอยู่เจ้าค่ะ”
จางจื่อฉีรีบเดินเข้าไปชะโงกดูน้ำในบ่อ เมื่อเห็นว่ามีน้ำอยู่จริงๆ ก็ดีใจมาก การที่น้องสาวผู้นี้แยกบ้านออกมากับเด็กสองคน เขาคิดเอาไว้ว่าอย่างไรคงต้องช่วยน้องทั้งสามแบกน้ำจากแม่น้ำมาให้น้อง ๆ บ้าง ลำพังน้องทั้งสามคงจะเดินไปแบกน้ำระยะทางไกลขนาดนั้นไม่ไหวแน่ อีกอย่างเวลานี้น้ำเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็นอย่างมาก ที่พวกเขาต้องอดอยากก็เพราะไม่มีน้ำใช้รดผลผลิต ลำพังแค่ใช้ปลูกข้าวในนาก็ต้องแก่งแย่งกันอยู่แล้ว
“เดี๋ยวข้าจะใช้ถังตักน้ำมาเติมใส่โอ่งดู ถ้าโอ่งไม่รั่วข้าจะเติมไว้ให้ครบทั้งสามใบ เจ้าจะได้ไม่เหนื่อยกันมากนัก”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่จื่อฉี” จางเฟยอีขอบคุณพี่ชายคนโตจากบ้านใหญ่อย่างจริงใจ นางเห็นแล้วว่าเขาเป็นคนดีจริงๆ เป็นห่วงเป็นใยน้อง ๆ ทุกคนสมกับเป็นพี่ใหญ่ของบรรดาพี่น้องรุ่นนาง
จางเฟยอีใช้น้ำถังแรกที่จางจื่อฉีตักขึ้นจากบ่อมาให้ หาผ้าขี้ริ้วเก่าๆ ที่วางอยู่ในครัวมาชุบน้ำบิดแล้วเริ่มทำความสะอาดบริเวณครัวก่อน นางคิดจะทำอาหารให้ทุกคนได้กินก่อนที่จะเลิกงานกลับบ้านไปในวันนี้ อย่างไรพวกเขาก็มาช่วยงาน นางควรดูแลเรื่องอาหารการกินให้พวกเขา
เมื่อครู่ที่ไปดูบ่อน้ำกับจางจื่อฉี นางใช้มีดแหวกดูบริเวณพื้นดินใกล้ๆ กับบ่อน้ำ คาดว่าพวกท่านย่าทวดคงใช้พื้นที่นี้ในการปลูกผักไว้กินเองภายในบ้าน นางพบว่ามีต้นฟักทอง เลื้อยพันไปตามพื้นดินและมีลูกฟักทองลูกโตอยู่สี่ลูกถูกหญ้าปกคลุมเอาไว้ นางคิดจะต้มโจ๊กฟักทองให้พวกเขาเป็นอาหารมื้อต่อไป
ฟักทองลูกใหญ่มีเนื้อเยอะ นางเลือกฟักทองลูกใหญ่ที่สุดมาหนึ่งลูกแบ่งครึ่งหนึ่งหั่นเป็นชิ้นๆ แบบเดียวกับตัดเค้ก ไว้ 10 ชิ้น ต้มกับน้ำเปล่าแล้วเติมเกลือลงไปนิดหน่อย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนำมาหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าเล็กๆ เพื่อให้สุกง่าย ท่านปู่ยุติธรรมกับทุกบ้าน ข้าวสารขาวที่เหลืออยู่แต่เดิมก็แบ่งออกเป็นสามส่วนยกให้แต่ละบ้านเท่าๆ กัน
หญิงสาวต้มโจ๊ก ใส่เนื้อฟักทองที่หั่นแล้วลงไปทีเดียว พอข้าวเริ่มเละนางก็เติมผงปรุงรสสำเร็จรูปและยังแอบใส่ต้นหอมซอยลงไปเล็กน้อยเพิ่มความหอม ครั้งนี้นางเลือกทำในหม้อดินใบใหญ่ที่มีอยู่แล้วในบ้านของท่านย่า ตั้งใจจะให้พวกเขาได้กินสองมื้อคือมื้อกลางวัน และมื้อเย็น
ทำอาหารเสร็จนางก็ปล่อยให้โจ๊กถูกเคี่ยวอยู่บนเตาไปก่อน เดินออกไปเรียกเด็กน้อยทั้งสามให้เข้ามาในบ้าน เมื่อเห็นว่าตอนนี้พวกบุรุษสกุลจางได้ตัดหญ้าออกไปจำนวนมากแล้ว
“เฟยเทียน ลี่เจี๋ย ลี่หลิน ทั้งสามคนช่วยงานพี่สาวหน่อยได้หรือไม่” นางแสร้งถามเด็กทั้งสามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กสามคนตัวผอมกะหร่องหัวโตมองไปแล้วดูเหมือนกับหัวเห็ดเดินได้ไม่มีผิด
เด็กสามคนทำตาโตตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก คราวก่อนพวกเขาไปช่วยขุดหัวไชเท้ามาก็มีแต่คนชมเชยว่าพวกเขาเก่งช่วยงานบ้านได้ ครั้งนี้พี่สาวจะให้โอกาสพวกเขาแสดงฝีมืออีกแล้วแน่ ๆ จึงรีบแย่งกันตอบ
“ข้าทำได้ / ช้าช่วยได้ / ช่วยเจ้าค่ะ/ขอรับ” หัวเห็ดน้อยสามหัวกระโดดดึ๋งดั๋ง ชูมือวิ่งมาหาจางเฟยอีอย่างร่าเริง
“ข้าจะให้พวกเจ้าขนหญ้าที่ตัดแล้วพวกนั้น ออกมากองตากแดดไว้ริมรั้วเป็นกองๆ ไม่ต้องกองใหญ่มากนะเดี๋ยวหญ้าจะไม่แห้ง”
นางคิดจะทำสวนครัว หญ้าพวกนี้เก็บไว้คลุมดินได้เป็นอย่างดี
“ไม่ต้องขุดต้นอะไรอีกหรือเจ้าคะ” จางลี่เจี๋ยถามอย่างไร้เดียงสา นางคิดว่าถ้าขุดต้นไม้ก็จะได้กินของอร่อย
“ไม่ต้องหรอก ข้าเตรียมอาหารอร่อยไว้ให้พวกเจ้าแล้ว ช่วยทำงานให้เสร็จเดี๋ยวตอนบ่ายเราต้องช่วยกันถูเรือนอีกนะ”
หัวเห็ดทั้งสามเมื่อได้ยินว่ามีของอร่อยเตรียมรอไว้อยู่แล้ว ก็ไม่สงสัยอะไรอีก วิ่งไปช่วยกันหอบหญ้าที่พวกผู้ใหญ่ตัดทิ้งไว้ออกมาตากแดดทีละกองอย่างขะมักเขม้น