“งั้น...ถ้าหนูยอมกินยา พี่อาร์จะให้อะไรหนูอ่ะ” เพราะอยู่ๆ พี่เขาก็เงียบและจ้องฉันด้วยสายตาแสนหน่ายแบบนั้น ฉันจึงกลบทับบรรยากาศแปลกๆ รวมถึงความเงียบงันด้วยคำพูดของตัวเอง ฉันแอบอมยิ้มและคิดอกุศลนิดหน่อย... ถึงจะไม่เข้าใจการกระทำของพี่อาร์เลยก็เถอะนะ แต่แบบนี้ฉันก็ขอคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนแหละ
“เลิกปัญญาอ่อนสักที” เสียงติดรำคาญเจือความหงุดหงิดทำให้ฉันเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงมากขึ้น รอยยิ้มกรุ้มกริ่มยังประดับอยู่บนหน้าเหมือนเดิม ปัญญาอ่อนอะไรกัน ไม่ใช่ว่าที่พูดจาร้ายๆ ใส่กันแบบนี้เพราะอยากกลบเกลื่อนหรือเปลี่ยนเรื่องหรอกเหรอ
“ก็หนูไม่อยากกินจริงๆ นี่นา แต่จะยอมก็ได้ถ้ามีข้อแลกเปลี่ยน”
“ข้อแลกเปลี่ยน?” พี่อาร์ถามหน้านิ่ง เดาอารมณ์ไม่ออกเลยว่าจริงๆ แล้วพี่เขากำลังรู้สึกอย่างไหนตอนที่พูดมันออกมา แต่ฉันก็พยักหน้าหงึกหงักพลางแหงนหน้าขึ้นมองเขาพร้อมรอยยิ้ม เห็นใบหน้าหล่อเหลาใกล้ๆ แบบนี้...ในห้องนอนของฉันแบบนี้... ฉันคิดแล้วหน้าแดงอยู่คนเดียว พลันที่สมองนึกถึงตอนพี่เขาอุ้มเข้ามาในห้อง แม้ว่าฉันออกตัวต่อต้านเพราะตกใจ แต่ลึกๆ มันก็ดีใจอยู่เหมือนกันนะกับกิริยาที่ดูเหมือนใส่ใจฉันแบบนั้น
“อื้อ ถ้าพี่อาร์แลกเปลี่ยนอะไรกับหนูได้ล่ะก็จะยอมกินยาก็ได้!” ท่าทางหนักแน่นของฉันทำให้พี่อาร์ถอนหายใจออกมาเหมือนกำลังคุยกับเด็กเจ็ดขวบไม่รู้จักโต แล้วตอนนั้น...ไม่รู้ว่าฉันตาฝาดไปหรือเปล่า แต่มือหนาข้างขวาของเขายกขึ้นแล้วเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าฉันเรื่อยๆ นัยน์ตาคมกริบที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ลึกลับทำให้ฉันกลืนน้ำลายลงคอ ยืนตัวแข็งและจิกนิ้วเท้าลงกับพื้นเพื่อข่มกลั้นอาการตื่นเต้นที่แผ่กระจายไปทั่วร่าง
กรี๊ด ฉันกรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง หัวใจเต้นแรงเป็นจังหวะสามช่าแล้วตอนนี้
ป๊อก!!!!
ทว่า!!
ภาพอันสวยงามที่ฉันวาดไว้ได้พังทลายลงมาอย่างฉับพลัน! เมื่อหน้าผากถูกกำปั้นของเขากระแทกลงมาจนหน้าหงายไปด้านหลัง
“พี่อาร์หนูเจ็บนะคะ!” ฉันยกมือคลำบริเวณที่ถูกแจกมะเหงกพร้อมใบหน้าหงิกหงอ ตอนนี้ริมฝีปากของฉันเบ้เป็นจานคว่ำแล้วแน่ๆ ทำมาได้! เจ็บเป็นเหมือนกันนะ
“ฉันทำให้เธอเลิกเพ้อเจ้อสักที” ราวกับอ่านความคิดฉันออกเลยไง พี่เขาส่งสายตาสมเพชนิดหน่อย แววหยิ่งผยองแบบนั้นทำให้ฉันย่นหน้าหนักกว่าเดิม
“คิดว่าเป็นคนที่หนูชอบแล้วจะพูดยังไงก็ได้เหรอคะ” ฉันถาม ซึ่งในตอนนั้นพี่อาร์ก็ล้วงเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เวลาต่อมาฉันจึงเห็นว่ามันคือซองบุหรี่ยี่ห้อดังนั่นเอง
“งั้นก็เลิกชอบซะสิ” พี่อาร์พูดอย่างไร้เยื่อใย เขาดูไม่ยี่หระหรือสนใจกับสิ่งที่ฉันพูดสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจุดบุหรี่แล้วทำท่าจะเดินจากไปโดยที่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไร
“ไม่มีวันซะหรอก!” ฉันตะโกนไล่หลังเขาไป เสียงดังฟังชัดไม่ได้ทำร่างสูงที่กำลังจะเดินออกไปชะงักหรืออะไรเลย กลับกันเขาดันมายักไหล่ใส่เฉย รู้งี้น่าจะจับปล้ำให้จบไปเลย มาถึงห้องขนาดนี้แล้วแท้ๆ!
“ยัยพาย!” ในขณะที่ฉันคิดอย่างเสียดาย เสียงคุ้นเคยที่ดังสนั่นขึ้นมาทำให้ฉันสะดุ้ง ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมองต้นตอของเสียงก็ปรากฏร่างบางของยัยส้มเปรี้ยวซึ่งกำลังทำหน้ายักษ์อย่างไม่สบอารมณ์อยู่ตรงบานประตู ใกล้จุดที่พี่อาร์ยืนอยู่ คือเขายังไม่ได้ไปไหนไกลไง
“แก...” ฉันกำลังจะเอ่ยอะไร แต่คำพูดของยัยเพื่อนตัวดีทำให้ฉันเป็นใบ้ไปชั่วขณะหนึ่ง
“ได้ข่าวว่าป่วย แล้วไหงอยู่กับพี่อาร์สองคนแบบนี้วะ...หมายความว่าไง” น้ำเสียงของยัยนั่นดูโกรธแปลกๆ ยิ่งตอนที่มันตวัดตามองพี่อาร์เหมือนเป็นศัตรูแบบนั้น...
“ฉันหายแล้วเว้ย พี่อาร์เขาแค่...” แค่อะไรดีอ่า ฮือออ
“ขาดเรียนไปหนึ่งวันฉันก็เป็นห่วงแกแทบตาย ไอ้เราก็คิดว่าแกจะเป็นหนักจนลากสังขารมาได้ไม่ได้ ที่ไหนได้...” น้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดและน่ากลัวของยัยเพื่อนสนิททำให้ฉันเริ่มรู้สึกได้ถึงลางที่ไม่ดี งานเข้าแน่เลยแบบนี้...
“...”
“ก็แค่มีความสุขอยู่กับ ‘คนที่ชอบ’ นี่เอง”
น้ำเสียงของยัยส้มเปรี้ยว นอกจากจะดูน่ากลัวแล้วยังให้ความรู้สึกเลือดเย็นแปลกๆ อีกด้วย แต่ก็ไม่ผิดที่ยัยนั่นจะโกรธ ก็ฉันน่ะทำผิดจริงๆ นี่นา... ผิดที่ไม่ได้โทรไปบอกมัน ผิดที่ทำให้มันเป็นห่วง และมันก็คงโกรธที่ฉันไม่ได้อาการหนักอย่างที่คิด ยิ่งไปกว่านั้น ยังอยู่กับพี่อาร์ในบ้านอีกต่างหาก
“ใจเย็นดิ คือว่า...” ฉันกำลังจะอธิบาย แต่ในวินาทีที่มันใช้ดวงตาเอาเรื่องตวัดมองพี่อาร์ ชัดเจนมากว่าไม่พอใจและต้องการเป็นศัตรูกับเขา ฉันเลยกลืนน้ำลายลงคอหวังชโลมความแห้งผากที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ฉันรู้ว่าพี่ไม่เคยสนใจใคร เพราะงั้นอย่าทำให้มันหวั่นไหวมากไปกว่านี้นะคะ” ยัยนั่นพูดอะไร...
“ยัยเปรี้ยว แกพูดอะไรวะ” คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ามันจะพูดอะไรแบบนั้น ร้อยวันพันปีไม่เคยแสดงท่าทีต่อต้านพี่อาร์เลยสักครั้ง ถึงชอบบ่นที่ฉันเพ้อเจ้อและไปมีใจให้ผู้ชายเย็นชาโลกส่วนตัวสูงอย่างเขา...แต่มันก็ไม่เคยขัดขวางอะไรเลยนะ กลับกัน ทุกครั้งที่ฉันมีโอกาส มันก็คอยเป็นกำลังใจและเชียร์ให้พี่อาร์หันมาสนใจฉันเสมอ
“ฉันกำลังปกป้องแกอยู่ไง อาทิตย์ที่แล้วเขายังเมินแกเหมือนเป็นธาตุอากาศอยู่เลย แต่อยู่ๆ ก็...” ฉันเข้าใจที่มันสื่อนะ แต่มันไม่คิดบ้างเหรอว่าคนฟังอย่างฉันจะรู้สึกยังไง
“...” ฉันเห็นพี่อาร์ยืนนิ่งและจ้องหน้ายัยส้มเปรี้ยวไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไร ที่แน่ๆ มวนบุหรี่ที่พี่เขาคาบไว้ด้วยริมฝีปากเรียบบาง รวมถึงกลิ่นควันซึ่งลอยคลุ้งไปทั่วทำให้ยัยส้มเปรี้ยวยิ่งส่งสายตาขยะแขยงหนักกว่าเดิม น้อยคนนักจะรู้ว่าผู้ชายที่ชอบเล่นกีฬาอย่างพี่อาร์สูบบุหรี่ด้วย เท่าที่สังเกตดูน่ะนะ เหมือนว่าพี่เขาต้องแอบ หรือไม่ก็ต้องอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน
ส่วนเหตุผลที่เขายอมให้ฉันเห็นในตอนนี้ คงเพราะครั้งหนึ่งฉันเคยเห็นเขาสูบมันในห้องน้ำชายที่โรงเรียนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั่นแหละ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ฉันที่เห็นมัน ยัยส้มเปรี้ยวที่เกลียดคนดื่มเหล้า สูบบุหรี่เองก็กำลังมองและเห็นชัดเต็มสองตา มิหนำซ้ำมันไม่ปกปิดแววรังเกียจของตัวเองเลยสักนิด
“ดูเหมือนจะจริง” มันพูดเสียงเบา “ไม่รู้ว่าฉันควรบอกดีไหม แต่ฉันเพิ่งสืบมาว่าพี่อาร์ของแกน่ะไม่ใช่พ่อพระอย่างที่เข้าใจหรอก ทางที่ดีแกควรถอยห่าง...”
“แกพูดบ้าอะไร” ฉันแทรกถามทั้งที่มันยังพูดไม่ทันจบ
ก็จริงที่พี่อาร์ไม่ใช่พ่อพระ แล้วไอ้ที่ฉันชอบเขาอยู่เนี่ยเพราะเขาแสนดีอย่างนั้นเหรอ
แน่นอนว่าไม่ใช่! ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าพี่อาร์เย่อหยิ่ง เย็นชา เขาเข้าถึงยากและแบดบอยนิดๆ ด้วย และฉันรู้ดีว่าพี่อาร์ยังมีมุมที่ต้องทำความเข้าใจอีกเยอะ เขาอาจซ่อนอะไรบางอย่างที่ฉันไม่รู้ จะเลวร้ายหรือเปล่า มีประวัติด่างพร้อยมาก่อนหรือเปล่า...จริงๆ มันก็ไม่สำคัญเลย
ฉันชอบเขานี่นา ก็แค่ชอบอ่ะไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลมาอ้างหรอก ฉันมั่นใจอยู่แล้วว่าคนเราไม่ได้ดีพร้อมทุกอย่าง ไม่มีใครสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว
“ฉันกำลังทำให้แกตาสว่างไงล่ะ เลิกโง่ได้แล้ว!”
“นี่แกกำลังหาเรื่องเหรอวะ ที่มาหาฉันไม่ใช่เพราะเป็นห่วงฉันหรอกเหรอ...ทำไมต้องมาชวนทะเลาะด้วยอ่ะ” เสียงของฉันเริ่มสั่น สองมือที่แนบกับลำตัวเองก็พลอยสั่นพร่าไปด้วย ไม่ตลกแล้วนะแบบนี้ ผีเข้าหรือไงกัน
“ฉันไม่ได้ชวนทะเลาะ ถ้าแกเชื่อที่ฉันพูด...ฉันจะเล่าให้แกฟัง” มันกำลังเดินเข้ามาหา แต่...
ขวับ...
พี่อาร์ใช้มือข้างหนึ่งคว้าต้นแขนของมันไว้...ในขณะที่เขายังคงทำหน้าเหมือนเดิม หน้าที่ดูง่วงนอนแต่ก็หงุดหงิด
พี่เขาจับยัยส้มเปรี้ยวไว้ทำไม ภาพที่ฉันเห็นในตอนนี้คืออะไร ได้แต่ตั้งคำถามแล้วเม้มริมฝีปากไว้ท่ามกลางความฉงนใจที่ยังคงปรากฏอยู่ในหัว
“ปล่อยด้วยค่ะ” เพื่อนสนิทของฉันสะบัดออกราวกับรังเกียจเต็มทน ถึงพละกำลังของพี่อาร์จะเหนือกว่า แต่ดูเหมือนพี่เขาไม่ได้ใช้แรงมากเท่าไรจึงปล่อยแต่โดยดี ซึ่งนาทีต่อมายัยส้มเปรี้ยวมันก็เดินตรงมาที่ฉันและพูดบางอย่าง
คำพูดของมันแผ่วเบา หากแต่ชัดเจน แน่นอนว่าฉันได้ยินชัดเต็มสองหูและพี่อาร์ซึ่งยืนห่างออกไปคงไม่ได้ยิน
เวลาผ่านไปน่าจะราวๆ หนึ่งนาทีได้มั้งที่ยัยส้มเปรี้ยวกระซิบบอก ‘เรื่องของเขา’ หวังให้ฉันยอมตัดใจจากเขา ทว่าสิ่งที่ฉันทำคือตอบกลับไปพร้อมยิ้มจริงใจ
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นา...”
“พูดขนาดนี้แล้วยังจะเข้าข้างเขาอีกเหรอ!” ยัยส้มเปรี้ยวขึ้นเสียง อารมณ์ของมันเหมือนพายุไม่มีผิด และนั่นทำให้ฉันเม้มริมฝีปากเอาไว้ สถานการณ์ตอนนี้มันแย่กว่าที่ผ่านมาเสียอีก อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับคนที่ฉันแคร์...ฉันซีเรียส ฉันไม่อยากให้มันแสดงท่าทีแบบนี้ต่อหน้าฉันเลย ไม่ชอบจริงๆ นะ
“ไม่ได้เข้าข้าง ฉันแค่พูดว่าไม่เป็นไร ทำไมแกต้องขึ้นเสียงด้วย” ฉันถามเสียงจริงจัง ยัยนั่นเลยถอนหายใจออกมาเหมือนเหนื่อยอ่อน ไม่นานก็หัวเราะทำท่าจะจากไป
“เออ ฉันขึ้นเสียง”
“...”
“ฉันแค่เป็นห่วงแกเฉยๆ ถ้ายังอยากโง่ต่อไปก็เชิญนะ...ฉันเตือนแกแล้ว” พูดจบ มันก็เดินออกไปทันที...ทิ้งฉันไว้กับความสับสนและความเงียบงันที่ครอบคลุมรอบกายอยู่ในขณะนี้
“เชื่อที่เพื่อนพูดก็ดี” แล้วเชื่อไหม...พอทุกอย่างกลับมาเงียบได้ไม่นานนัก พี่อาร์ที่ไม่ยอมพูดอะไรและยังยืนที่เดิมก็ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้น จนพบว่าเขาหันหน้ามาทางนี้แล้ว
พี่อาร์รู้เหรอว่ายัยส้มเปรี้ยวบอกอะไรฉัน ทำไมต้องพูดอย่างนั้นด้วย
“ฮึก...” ทว่าฉันกลับพูดอะไรอย่างที่ต้องการไม่ได้เลย อยู่ๆ ในคอมันก็เต็มไปด้วยก้อนสะอึก แก้มที่ร้อนเพราะพิษไข้มันร้อนหนักกว่าเดิม แถมยังมีอะไรเปียกชื้นไหลอาบอยู่ด้วย เบื่อที่สุดเลย นี่ฉันร้องไห้เหรอเนี่ย
“จำเป็นต้องร้องด้วยหรือไง”
อ๊ะ...
ฉันอุทานเมื่อพี่อาร์เดินมาหา เขาวางมือบนศีรษะฉันเบาๆ ราวกับต้องการปลอบใจ แม้ว่าฝ่ามือหนาๆ ข้างนั้นจะเพียงแค่วางไว้เฉยๆ น่าแปลกที่ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพี่เขาทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งงอแงมากขึ้นไปอีก
“หนูไม่ได้ร้องนะ...” ฉันโกหกแล้วก้มหน้าลง จนหยดน้ำใสๆ หล่นแหมะลงพื้นหลายหยด รวมถึงเงาสีจางๆ ของร่างสูงที่ทับเงาของฉันด้วย
“หยุดร้องซะ” พี่อาร์ออกคำสั่ง ฉันเลยต้องกัดริมฝีปากเพื่อข่มกลั้น แต่มันง่ายที่ไหนเล่า “ฉันไม่ชอบคนอ่อนแอ”
“...” ฉันยิ่งต้องกลั้นเสียงสะอึกมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินแบบนั้น เป็นเวลาเดียวกันที่เขาผละมือออกไปดื้อๆ ทว่าร่างสูงยังยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเดิม ลมหายใจร้อนๆ ที่เจือกลิ่นบุหรี่ทำให้ฉันใจเต้นอย่างควรจะเป็น ทว่าไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันเขยิบเข้าไปใกล้ จากนั้นก็สวมกอดร่างสูงอย่างหน้าด้านๆ ไม่เกรงใจหัวใจที่เต้นแรงจนแทบระเบิด ดูเหมือนเขาจะชะงักนิดหน่อยแต่ยังคงนิ่งตามฉบับเขานั่นแหละ