พอพี่เขาไม่ปัดป้องหรือมีท่าทีรังเกียจ ฉันมันก็ยิ่งได้ใจจึงทวีแรงกอดแน่นขึ้น เอาแก้มซบที่หน้าอกหนาจนได้กลิ่นบุรุษเพศชวนหลงใหล เสียงสะอื้นของฉันยังคงไม่หายไปแม้ว่าน้ำตามันจะค่อยๆ เหือดหายไปแล้วก็ตาม พี่อาร์ทำให้ฉันควบคุมสติตัวเองไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าควรแสดงอาการแบบไหนออกมาระหว่างร้องไห้เสียใจหรือดีใจที่ได้ใกล้ชิดพี่เขาแบบนี้
“...”
“ตัวพี่อาร์อุ่นมากเลย...หอมมากด้วย ฮืออ ทำไงดี...”
บทบรรยาย อาร์
ยัยเด็กแก่แดดซุกหน้าอยู่แบบนั้น หยดน้ำอุ่นๆ จึงเลอะเสื้อที่ผมสวมและซึมเข้าไปด้านใน
โคตรน่ารำคาญ...
ผมไม่ชอบผู้หญิงที่เอาแต่ร้องไห้และทำตัวอ่อนแอแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ปัดป้องหรือผลักไสอย่างที่ควรจะเป็น น่าแปลกที่ยังยืนนิ่งและปล่อยให้พายกอดอยู่นานสองนาน
“มากไป” แต่เพราะยัยนั่นไม่เลิกกอดและคลอเคลียเป็นลูกแมวซะที ดังนั้นผมจึงกดเสียงบอกเพราะรู้สึกอึดอัดและรำคาญจริงๆ เป็นแค่เด็กอมมือไม่รู้จักโตแท้ๆ ทำตัวน่าเกลียดชะมัด
ได้แต่คิดแล้วใช้หางตาเหลือบมองคนตัวเตี้ยที่ส่ายหน้าไปมาอย่างดื้อดึง ผมเห็นชัดเจนว่ายัยนั่นเลิกร้องไห้แล้ว แต่ที่ยังกอดและทำตัวติดหนึบอยู่แบบนี้เพราะได้ทีต่างหาก หนักกว่านั้นพอผมทำท่าจะดันออกไป ยัยบ้านั่นก็ยิ่งรัดรอบเอวผมแน่นขึ้น มันเลยกลายเป็นว่าตอนนี้ร่างกายของเราแนบชิดกันมากกว่าความจำเป็น
“หนูเพิ่งรู้ว่าตัวพี่อาร์อุ่นขนาดนี้...ถ้ามีผู้หญิงคนไหนมาทำแบบนี้บ้างคงหลงเหมือนที่หนูหลงแน่ๆ” คำพูดของเด็กแก่แดดทำให้ผมถอนหายใจออกมาพร้อมสีหน้าเหนื่อยหน่าย รู้แบบนี้ผมไม่น่ายุ่งด้วยตั้งแต่แรกและปล่อยให้ยัยเด็กไม่เจียมสังขารเป็นลมตายไปซะตรงนั้น
“กำลังอ่อยฉันหรือไง...” ผมตัดสินใจถาม ผู้หญิงที่เข้าหาผู้ชายแบบนี้ ใกล้ชิดขนาดนี้ ถ้าไม่เรียกว่าอ่อยแล้วเรียกว่าอะไร
“หนูไม่ได้อ่อยนะคะ! ก็พี่อาร์ให้หนูกอดเอง ได้ทีมันก็ต้องเอาให้หนำใจสิ” ยัยนั่นเงยหน้าขึ้นมอง ท่าทางดื้อด้านจนน่าโมโหทำให้ผมต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจ มือข้างหนึ่งที่คีบบุหรี่ไว้รับรู้ได้ถึงไอร้อนซึ่งไล้ปลายนิ้วอยู่ใกล้ๆ บ่งบอกว่าความร้อนแผ่ลามมาจนถึงก้นบุหรี่แล้ว
เพราะเอาแต่ยืนให้พายทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ไง มันเลยมอดไหม้ไปอย่างเปล่าประโยชน์
“คิดว่าฉันรู้ไม่ทันเธอหรือไง” ผมก้มหน้าลงต่ำจนหน้าผากของเราชนกัน ความร้อนเพราะฤทธิ์ไข้ที่ยังไม่หายดีของยัยเด็กนั่นทำให้ผมรับรู้มันได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยัยนั่นสะดุ้งตัวโยน แววตาใสที่เคยเป็นประกายและดื้อดึงหายไปและถูกแทนที่ด้วยความประหม่า และไม่นาน...ยัยนั่นก็หลบสายตาเพราะผมกำลังจ้องลึกลงไป ไม่เลื่อนไปไหนเพราะอยากดูให้แน่ใจว่าคำพูดของยัยนั่นมันเชื่อได้จริงหรือเปล่า
ถ้าไม่ได้อ่อยจริงแล้วหลบตาทำไม
“ไม่ได้การแล้ว นะ นี่หนูทำอะไรอยู่นะ!” น้ำเสียงของยัยนั่นเปลี่ยนไป มันดังและลนลานแปลกๆ ในตอนที่ผมเปลี่ยนมาใช้ท่อนแขนโอบเอวบางไว้แทน ออกแรงรั้งให้คนตัวเล็กขยับเข้ามาอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่เชื่อเถอะ...ในหัวสมองของผมไม่มีอะไรเจือปน ก็แค่อยากสั่งสอนใครบางคนสักนิด
“อ่อยฉันไง” ผมตอบหน้าตาย แต่พายส่ายหน้าเป็นพัลวันจนเม็ดเหงื่อตรงขมับกระเด็นโดนลำคอของผมอย่างช่วยไม่ได้ ผมหรี่ตามองและรู้สึกเวทนาเล็กๆ กับท่าทีเหมือนเด็กกะโปโล่นี่
“หนูบอกว่าไม่ได้อ่อยไงคะ พี่อาร์มั่วแล้ว!” พูดไป ปากก็สั่นจนพูดแทบไม่ได้ศัพท์
ความจริงผมควรพอแล้วกลับบ้านไปซะตอนนี้ แต่ไม่รู้ทำไม พอเห็นคนในพันธนาการมีท่าทางเหมือนกระต่ายกำลังโดนเชือดแบบนั้นผมถึงอยากแกล้ง
“งั้นหรอกเหรอ” ผมถามเสียงเรียบ สีหน้ายังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ไม่มีใครรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“พี่อาร์ต่างหากที่อ่อยหนูอ่ะ พี่อาร์ทั้งหล่อ เซ็กซี่และน่าหลงใหลเป็นบ้า ก็พี่อาร์เป็นแบบนั้นไงหนูถึง...” ยัยคนเตี้ยเหมือนหลักกิโลหยุดพูดไปพักหนึ่งแล้วต่อท้ายอีกครั้ง “ชอบ”
“ทะเลาะกับเพื่อนเพราะฉันไม่ใช่?” ผมแค่สงสัยนิดหน่อยกับสิ่งที่เพื่อนพายพูด ผมคิดว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ แต่ยัยเด็กนี่ดูไม่ใส่ใจมันและนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเธอกำลังคิดผิดมหันต์ “เลิกชอบก็จบ” ผมพูดเหมือนเรื่องง่าย และมันง่าย...สำหรับผมคนเดียวล่ะมั้ง
“ไม่เอา...หนูไม่เลิกจนกว่าพี่อาร์จะเป็นแฟนหนู!” คำประกาศกร้าวเสียงดังฟังชัดทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ยัยนี่ฝันกลางวันอยู่หรือไง น่าเขกกะโหลกให้แตก
“งั้นก็คงจนเธอแก่ตาย” ไม่ว่ายังไง สิ่งที่ยัยนั่นต้องการมันจะไม่มีทางเป็นจริง
“โหย พี่อาร์คงไม่ใจแข็งนานขนาดนั้นหรอกม้าง”
“เลิกพล่ามแล้วไปนอน” เบื่อจะเสวนาด้วยแล้ว ยังไงซะสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้ก็มีแค่การนอน ฟังเพลงและเล่นกีฬาเท่านั้น เพราะแบบนั้นจึงผละกอดและดันร่างบางออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เด็กที่ยืนทำหน้าโง่ๆ จึงเกาหัวแกรกๆ มองผมด้วยความสงสัย
“มันสายเกินกว่าหนูจะไปโรงเรียนแล้วแหละ ยังไงก็ขอบคุณที่พี่อาร์พาหนูมาส่งที่บ้านนะคะ” ยัยนั่นยิ้มกว้างโชว์ฟัน “แล้วก็ขอโทษแทนยัยเปรี้ยวมันด้วยนะ มันเป็นแบบนี้แหละ”
“ช่าง” ผมยักไหล่
“จริงๆ นะ...เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูจะคุยกับมันเอง ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ หนูมั่นใจ” ใครจะไปรู้ บางทีเรื่องที่เพื่อนพายพูด...อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้
“แล้วแต่” ผมจบการสนทนาเพียงเท่านั้นแล้วเดินจากมา แม้ไม่ได้หันกลับไปแต่ก็รู้สึกได้ว่ามีคนจ้องตามแผ่นหลังจนลับสายตา ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน แม่ของยัยนั่นเองก็คงทำงานหรือมีธุระตามประสาผู้ใหญ่ ไม่แปลกที่บ้านจะเงียบสงัดเหมือนป่าช้าแบบนี้
ผมเหลือบมองอะไรต่างๆ นานาระหว่างเดินลงบันไดไปชั้นล่าง แต่ก่อนจะออกจากบ้านไป ไม่รู้อะไรดลใจให้เหลียวกลับไปมอง รู้ไหมว่าผมตัดสินใจทำอะไรหลังจากนั้น?
จบบทบรรยาย อาร์
พี่อาร์น่าจะกลับไปแล้วแหละ
ฉันนั่งอุดอู้อยู่ในห้องนานสองสามชั่วโมงได้แล้ว ระหว่างนั้นก็คิดไปต่างๆ นานาสารพัดสิ่ง ถึงจะรู้สึกใจชื้นที่ได้ใกล้ชิดพี่อาร์มากขึ้น แต่จริงๆ ฉันก็ยังเครียดเรื่องยัยส้มเปรี้ยวอยู่ดี วันนี้ยัยนั่นแปลกมาก ฉันใช้เวลานั่งคิดและหาเหตุผลต่างๆ นานามาประกอบกับสิ่งที่มันพูด แต่ก็นั่นแหละ หัวตื้อไปหมด หงุดหงิดจนอยากบ้าแล้วเนี่ย!
อาการปวดหัวยังไม่หาย พอคิดอะไรหนักๆ เลยยิ่งทำให้อาการทวีคูณขึ้น เพราะงั้นฉันจึงตัดสินใจงีบหลับและปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปกระทั่งตกเย็นของวัน
ฉันรู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงอันแสนคุ้นเคย ก่อนเดินลงไปหาเจ้าของเสียงที่ชั้นล่าง แม่น่ะ...กลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมืออีกแล้ว พะรุงพะรังแบบนี้ตลอดเลย ไม่รู้ซื้ออะไรมานักหนา
“อ้าว แกไม่ได้ไปโรงเรียนหรอกเหรอ” คงเพราะปกติฉันเลิกเรียนค่ำล่ะมั้ง วันนี้เห็นกันตั้งแต่หัวเย็นจึงแปลกใจ
“ไปอะไรเล่า หนูกลับมานอนเพราะปวดหัวนิดหน่อยอ่า” ฉันงอแงแล้วยกมือขยี้ตาตัวเองแรงๆ ระหว่างนั้นปลายจมูกก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างลอยฟุ้งมาจากทางห้องครัว กลิ่นหอมหวนชวนฟาดแบบนี้มัน...ข้าวต้มกุ้งของโปรดฉันแน่ๆ!
ฉันกลับหลังหัน เดินตรงดิ่งยังห้องครัวทันที เห็นหม้อใบหนึ่งตั้งอยู่บนนั้น พอเปิดฝาดูเท่านั้นแหละ ข้าวต้มหอมๆ กับกุ้งตัวโตๆ ทำเอาน้ำลายอี่นี่แทบย้อยลงหม้อ
“แม่ทำไว้เหรอ” ฉันถาม แม่ทำหน้าไม่เข้าใจแล้วเดินมาดู
“เปล่านี่” เเล้วก็แม่ปฏิเสธกลับมา
อะ อ้าว...
“แล้วใครทำ...” ฉันถามเสียงเบาลง ก่อนที่ใบหน้าของใครคนหนึ่งจะแล่นวาบเข้ามาในหัว ณ ตอนนั้นอย่างฉับพลันราวกับต้องการบอกกันกรายๆ ว่าไอ้ข้าวต้มกุ้งหน้าตาน่าทานนี่เป็นฝีมือของใคร