“งั้นก็หายเร็วๆ”
“...”
“เดี๋ยวให้ตี”
เอ๊ะ!
ความเจ็บปวดเหมือนจะหายไปทันตาเห็นเมื่อเสียงทุ้มๆ ของใครสักคนลอยเข้ามาในโสตประสาท ใบหน้าหล่อเหลาที่มีเพียงความเรียบนิ่งและสายตาเฉื่อยชาคู่นั้น....ไม่ผิดแน่ พี่อาร์มาหาฉัน...พี่อาร์มาหาฉัน!
ฉันสะดุ้งและกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงนอนแทบทันทีก่อนหันขวับไปยังจุดที่คิดว่าพี่อาร์ต้องนั่งอยู่ ทว่า...สิ่งที่ฉันเห็นมีเพียงเก้าอี้ตัวหนึ่ง มันว่างเปล่าเหมือนอย่างที่เคยเป็น
“หรือเราฝันไปหว่า...” ฉันรำพึงถามเสียงแหบ รู้สึกได้ถึงเรี่ยวแรงที่ยังอ่อนเหลวเป็นน้ำ แม้จะหลอกตัวเองซ้ำๆ ว่าสบายดี แต่ไอ้ร่างกายบ้าๆ นี่ก็สำออยกับฉันเหลือเกิน โดนฝนแค่นั้นทำไมต้องเป็นไข้ด้วย นั่งจมอยู่กับความเงียบและอาการงัวเงียพักหนึ่ง ฉันก็ตัดสินใจก้าวลงจากเตียงนอน ตั้งใจลงไปชั้นล่างของบ้านซึ่งคิดว่าแม่ต้องอยู่แน่ๆ ระหว่างนั้นหัวใจมันดันเต้นแรงอย่างไม่มีที่มาที่ไปเสียอย่างนั้น
ฉันยกมือลูบจมูกตัวเอง แต่...ก่อนที่เท้าจะเหยียบลงบันไดขั้นแรก ฉันจำเป็นต้องชะงักไว้ก่อน ไม่ใช่อะไรเลยนะ แต่บริเวณที่ฉันสัมผัสเมื่อตะกี้ ตรงจมูกฉันน่ะ มันอุ่นผิดปกติ อุ่นเหมือนเบาะที่ถูกใครสักคนนั่งลงไปแล้วทิ้งไออุ่นเอาไว้ หมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย หรือว่าฉันคิดไปเอง
“ฝันไปแน่ๆ อย่างพี่อาร์เหรอจะมาเยี่ยมเรา มโนชิบเป๋งเลยอีพาย!” ฉันยกมือเขกกะโหลกตัวเองหนึ่งทีเพื่อเรียกสติ จากนั้นก็ลงไปชั้นล่างและเห็นว่าแม่กำลังทำอาหารอยู่ตรงห้องครัว “แม่...”
เมื่อมาถึง ฉันก็เดินหน้าเคลียคลอแผ่นหลังคนเป็นแม่พลางทำเสียงงุ้งงิ้งเหมือนลูกหมา อาการครั่นเนื้อครั่นตัวยังแผ่กระจายไปทั่ว ไอร้อนจากร่างกายของฉันถึงแม้จะลดลงแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังอยู่ในจุดที่ฉันไม่มีแรงอยู่ดี
“ไอ้พาย! ใครใช้ให้แกลงมา” พอรู้ว่าเจ้าของอ้อมกอดคือฉัน แม่ก็หันมาทำตาเขียวใส่ทันที ฉันสะดุ้งแล้วเบ้หน้ากลับไป
“ก็หนูไม่อยากนอนแล้วอ่า หนูอยากไปโรงเรียน” ฉันไม่เคยขาดเรียนเลยนะถ้าไม่จำเป็น...แล้วไอ้ไข้แค่เนี่ย บั่นทอนแค่กำลังกายเท่านั้นแหละ กำลังใจของฉันเต็มเปี่ยมมากๆ ขอบอก!
“ไม่ได้! รอให้หายดีก่อน ได้ส่องกระจกดูบ้างไหมว่าสภาพแกตอนนี้เหมือนศพเดินเข้าทุกทีแล้ว จะพาไปหาหมอก็ดันดื้อไม่ไป” คนมันกลัวเข็มอ่ะจะให้ทำไง ยาก็ไม่ชอบกิน...เพราะมันขม
ฮือออ ฉันเกลียดการป่วยแบบนี้ที่สุด
“ยังไงพรุ่งนี้หนูต้องหายดีแน่ๆ” ฉันรับประกันแล้วยิ้มกว้าง ไข้หวัดอะไรแบบนี้ไม่นานเดี๋ยวมันก็หายแหละน่า
“ให้มันแน่!” แม่ทำสายตาเหมือนนางมารไม่มีผิด ฉันรู้ ที่กระชากเสียงใส่แบบนั้นเพราะเป็นห่วงกัน
“ว่าแต่...” ฉันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แม่ที่หันไปสนใจอาหารตรงหน้าหันกลับมามองนิดหน่อยเหมือนรอฟัง แต่ก็กลับไปจดจ่อกับมันต่อ “คือว่ามีคนมาเยี่ยมหนูหรือเปล่าอ่ะ ทำไมหนูรู้สึก...” ฉันกำลังจะพูดในสิ่งที่ต้องการคำตอบ หากทว่าแม่กลับหัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนขบขันเฉยเลย
“แกกำลังฝันอะไรอยู่พาย”
“แต่หนูรู้สึกเหมือนมีใครสักคนเข้ามาในห้องเลยอ่ะแม่ แถมตรงจมูกหนูยังอุ่นๆ ด้วยนะ!” ฉันเอ่ยเสียงหนักแน่นเพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ ถึงฉันจะขี้เพ้อ ขี้มโน แต่บางเรื่องฉันก็แยกได้เหมือนกันนะเว้ย
“แกคิดไปเองแล้ว” แม่ตอบกลับมาอย่างทันท่วงที ทำให้ความหวังในใจของฉันเริ่มลดลงเรื่อยๆ คิดไปเองจริงๆ สินะ ที่พี่อาร์พูดคุยกับฉัน มาหาฉัน นั่งอยู่ใกล้ๆ ฉัน ทั้งหมดทั้งมวล ฉันแค่ฝันถึงมันเฉยๆ อย่างนั้นเองสินะ...
ง่า แต่ไอร้อนตรงจมูกมันมาจากไหนล่ะ ใครรู้ช่วยบอกฉันที
วันถัดมา
ฉันกำลังจะไปโรงเรียนค่ะ!
ฉันโกหกแม่ว่าหายป่วยแล้ว ทำท่าลั้ลลาเหมือนที่เคยทำจนท่านยอมปล่อยออกมาในที่สุด ความจริงน่ะเหรอ? ยังไอค่อกแค่กอยู่เลย อาการปวดมึนที่ศีรษะก็ยังปรากฏอยู่เป็นระยะด้วย
ตึก...
เฮือก...
ฉันหันกลับไปด้านหลังเมื่อรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล คล้ายว่าได้ยินเสียงฝีเท้าของสิ่งมีชีวิตย่ำอยู่ไม่ไกล แต่พอกวาดสายตามองแล้วก็ไม่พบอะไรเลย สงสัยคิดไปเองอีกล่ะมั้งเนี่ย ตั้งแต่ป่วย รู้สึกเหมือนตัวเองจะหลอนขึ้นแปลกๆ
ตึก…
แต่จังหวะที่ฉันก้าวไปข้างหน้าได้เพียงสองก้าว เสียงฝีเท้าที่ดังซ้อนทับกันมันก็ดังขึ้นมาอีก ฉันจึงชะงักเท้าอยู่ตรงนั้น เม้มริมฝีปากแน่นพลางทั้งคิดว่าจะเอายังไงต่อไปดี
โรคจิตหรือเปล่า แบบนี้ต้องไปดูให้เต็มตา! ฉันคิดอย่างมุ่งมั่นแล้วหมุนตัวกลับไป ตั้งใจเดินไปดูให้เห็นจะๆ ว่าไอ้เสียงนั่นเป็นเสียงของอะไร แต่อยู่ดีๆ ภาพตรงหน้าก็พร่าเลือนขึ้นมาเสียดื้อๆ แดดในตอนเช้าที่ร้อนผิดปกติทำให้ฉันรู้สึกหน้ามืดจนสูญเสียการทรงตัว พิษไข้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันวิงเวียนศีรษะจนยืนแทบไม่อยู่
หมับ
ทว่าก่อนที่ฉันจะล้มลงไป ร่างกลับถูกใครสักคนใช้ท่อนแขนตระกองไว้เสียก่อน...สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความแข็งแรงของท่อนแขนและกลิ่นกายอ่อนๆ ของบุรุษเพศชวนน่าหลงใหล การรับกลิ่นยังทำงานได้ไม่ดีพอ แต่ฉันกลับคุ้นเคยกับมันจนน่ากลัว
“ทำไมไม่หัดเจียมสังขารตัวเองบ้างยัยโง่”
“พี่อาร์!” ฉันเบิกตาโพลง เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของท่อนแขนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซึ่งทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา...ก็ได้คำตอบแบบชัดแจ้งแดงแจ๋ พี่อาร์จริงๆ ด้วย!
“...” พี่อาร์เงียบแต่ทำสายตาดุดัน
“มาทันเวลาพอดีเลย...ถ้าไม่ได้พี่อาร์นะ หนูคิดว่าหัวคงฟาดพื้นไปแล้วแน่ๆ” ฉันพูด “ฮั่นแน่!” ฉันยิ้มกริ่ม
“...อะไร” พี่อาร์ผลักฉันออกห่างเมื่อเห็นว่าฉันกลับมาเป็นปกติ ความจริงเพราะเห็นหน้าพี่เขาต่างหากฉันเลยมีพลังขึ้นมา
“พี่แอบตามหนูมาใช่ไหมคะเนี่ย” ฉันทำเสียงล้อเลียนหยอกล้อเขาและสังเกตท่าที ทว่าผู้ชายมาดนิ่งที่มีสายตาหน่ายโลกเป็นอาวุธกลับตอบมาด้วยเสียงงัวเงียเหมือนคนง่วงนอนว่า
“ไม่ได้ตาม บังเอิญผ่านมา”
“จริงเปล่า...” ฉันยักคิ้วหลิ่วตากลับไป และดูเหมือนว่าฉันจะเล่นมากจนเกินไปแน่ๆ พี่อาร์จึงตวัดดวงตาคมกริบเหมือนเหยี่ยวแสดงถึงความไม่พอใจเล็กๆ จนฉันต้องหุบยิ้ม ล้อแค่นี้เอง ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนฆาตกรแบบนั้นเลย แต่ก็นะ! ถ้าฆาตกรจะหล่อขนาดนี้ ฉันยอมโดนเชือดอ่ะ
“หุบปากแล้วกลับบ้านไปซะ” พี่อาร์ใช้น้ำเสียงนิ่งเนิบแต่มีกระแสความดุ ฉันจึงหน้าบึ้งกลับไป ทำไมต้องทำเหมือนพ่อที่กำลังดุลูกสาวด้วย
“หนูจะไปโรงเรียนค่ะ” ฉันตอบเสียงหนักแน่นและดังขึ้นมาอีกหน่อย แล้วไอ้คำพูดของฉันมันก็ทำให้ร่างสูงของผู้ชายเบื้องหน้าเขยิบเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง ความสูงของเขาบดทับดวงอาทิตย์เจิดจ้า ทำให้ดวงตาที่หรี่ลงเพราะแสงแดดกลับมาเป็นปกติ มองเห็นแค่เพียงแผงอกหนาที่อยู่เสมองศีรษะฉันพอดิบพอดี
ฉันสูงแค่หน้าอกพี่เขาเอง...
“อย่าให้พูดซ้ำสอง” น้ำเสียงทุ้มกังวานที่ยังเจือความไม่สบอารมณ์สั่งให้ฉันแหงนหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าเขา งงอ่ะ...ฉันยังไม่ได้ทำอะไรผิดไปสักหน่อย แล้วก็นะ! ปกติพี่อาร์ไม่สนใจอะไรในตัวฉันอยู่แล้วนี่นา
“ก็หนูไม่อยากกลับบ้านนี่นา” ฉันตอบตามตรง “แล้วหนูก็สบายดีด้วย นี่ไง แข็งแรงจนช้างยังต้องอายเลยนะคะขอบอก” ฉันเบ่งกล้ามเพื่อพิสูจน์ให้เขาเห็น
“...ทำไมน่ารำคาญ” เสียงบ่นพึมพำของพี่อาร์ทำให้ฉันชะงัก และยิ่งต้องตื่นตระหนกไปกันใหญ่เมื่ออยู่ดีๆ พี่เขาก็ดึงแขนฉันเข้าไปใกล้ตัวเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกขึ้นพาดบ่าท่ามกลางสายตาของคนในชุมชนที่มองมาที่เราเป็นตาเดียว
ฉันเบิกตาโพลง วินาทีนั้นเหมือนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นเร็วผิดปกติ มันรุนแรงราวกับจะหลุดออกมากองอยู่บนพื้นเลยก็ว่าได้ หากแต่เหนือสิ่งอื่นใด เรี่ยวแรงที่โอบรัดอยู่ตรงขาอ่อนทำให้ฉันรู้สึกเจ็บจนเผลอร้องออกมา
“พี่อาร์ หนูเจ็บนะ พี่ทำอะไรเนี่ย!” ฉันโวยวายเพราะเขาดูน่ากลัวมาก แถมยังไม่ออมแรงอีก
“...” แต่เจ้าของพละกำลังอันมหาศาลไม่ตอบโต้ใดๆ มีเสียงลมหายใจของเขาเท่านั้น แล้วที่เลวร้ายต่อหัวใจของฉันมากที่สุดในตอนนี้คือการที่ฝ่ามือหนาอันอุ่นร้อนกำลังบีบต้นขาของฉันอย่างรุนแรง ส่งผลให้อุณหภูมิจากฝ่ามือของเขาแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังของฉัน
“พี่อาร์! หนูไม่กลับบ้านนะคะ หนูบอกว่าหนูจะไปโรงเรียนไง” ฉันตะโกนเสียงดังแล้วดิ้นขลุกขลักอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่ายิ่งพยศกับเขามากเท่าไร พี่อาร์ก็ยิ่งทำอันตรายต่อความรู้สึกฉันมากเท่านั้น คราวนี้ท่อนแขนเลื่อนสูงขึ้นจนแทบจะถึงสะโพกของฉันทุกชั่วขณะ...
“หนวกหู” พี่อาร์เอ่ยเสียงนิ่ง ขัดจากฉันที่เริ่มควบคุมสติและอาการตัวเองไม่อยู่แล้ว มันทั้งตกใจและรู้สึกแปลกประหลาดในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสฉันแนบแน่นขนาดนี้ แล้วหัวใจของฉันน่ะ เหมือนจะทะลักออกมาจากอกเลย
“ปล่อยหนู นะ...หนู...” เสียงเริ่มสั่นขึ้นมา ใบหน้าร้อนผ่าวพอๆ กับน้ำที่กำลังเดือดปุด ยิ่งถูกสายตาของคนมากมายมองมา ความเขินอายยิ่งกัดกินฉันหนักกว่าเดิมจนต้องก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับใคร
พึ่บ!
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ถูกทุ่มลงบนความนุ่มนิ่มของเตียงนอนอย่างไม่มีการทะนุถนอม ฉันเบ้หน้าเพราะก้นกระแทกกับเตียงนอนอย่างจัง ถึงจะนิ่ม...แต่เล่นโยนเหมือนฉันเป็นตุ๊กตาแบบนี้มันก็เจ็บเหมือนกันนะ
ฉันเงยหน้าขึ้นมองพี่อาร์ที่ยืนทำหน้าซังกระตายอยู่ข้างเตียง ก่อนหน้านี้เขาคงแอบล้วงเอากุญแจบ้านในกระเป๋านักเรียนฉันแน่ๆ จึงพาเข้ามาในนี้ได้ แต่ให้ตายสิ! ฉันว่าที่ไม่หายจากไข้คงไม่ใช่เพราะความดื้อของฉันหรอก แต่การกระทำของพี่อาร์ต่างหาก!
“หนูเจ็บนะ!” ฉันขึ้นเสียง ปั้นหน้าตึง ความน้อยเนื้อต่ำใจค่อยๆ ปรากฏออกมา
“กินยาแล้วนอน” ยาเหรอ จ้างได้ก็ไม่กินหรอก!
“ไม่กิน หนูจะไปโรงเรียน” ฉันลุกขึ้นเตรียมออกไป ทว่า...
“ไม่อยากตายก็กินไป...ฟังภาษาคนรู้เรื่องหรือเปล่า” พี่อาร์ก็ส่งคำขู่อันแสนน่ากลัวออกมาซะก่อน
“ไข้แค่นี้ไม่ทำหนูตายหรอกน่า...”
“...” พี่อาร์ทำหน้าเมื่อยกลับมาอีกแล้ว สองมือหนาล้วงในกระเป๋ากางเกงอย่างที่เขาชอบทำ ท่าทางเหมือนพระเอกการ์ตูนแบบนั้นตรึงสายตาฉันอีกครั้ง