“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เพราะมั่นใจว่าพี่อาร์คงไม่พูดอะไรออกมาอีกแน่ๆ ดังนั้นฉันจึงถามกลับไป ไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกเช่นไร สีหน้าอาจไม่แสดงออกมามากเท่าที่ควร แต่ตรงหน้าอกข้างซ้ายเหมือนจะระเบิดแล้ว...ยิ่งความแนบแน่นถูกทวีแรงขึ้นมาแค่ไหน ฉันยิ่งต้องกัดริมฝีปากเอาไว้ทั้งที่ยังไม่เข้าใจพี่เขา
“เปล่า” พี่อาร์คนหล่อตอบสั้นกระชับแต่ได้ใจความสุดๆ ไม่นานเขาก็ยอมละฝ่ามือออกไป ทิ้งเอาไว้ซึ่งความร้อนที่ยังติดตรึงอยู่ช่วงนั้นไม่ห่าง อา ไม่อยากอาบน้ำเลยทีนี้
“แล้วพี่อาร์จับหนูไว้ทำไมอ่า” ฉันแสร้งถามออกไป และคำถามนั้นทำให้ผู้ชายหน้าเมื่อยหันกลับมาทำสายตาไม่เป็นมิตรประหนึ่งว่าฉันพูดอะไรผิดไป อ้าว ก็พี่เขาจับฉันไว้เองนี่นา แถมยังเอาแต่เงียบไม่พูดอะไรอีกต่างหาก แปลกอะไรที่ฉันจะอยากรู้
นี่ถ้าไม่ใช่ว่าที่สามีในอนาคตนะ ฉันจะเคืองเเล้วต่อยหน้าหงายไปเลย ชิ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
หลังทานข้าวเสร็จเรียบร้อยฉันก็เดินมาส่งพี่อาร์หน้าบ้าน ดูท่าเขาจะรำคาญฉันยังไงไม่รู้ เหมือนไม่อยากให้มาส่งด้วยแต่เพราะเกรงใจแม่ เขาเลยอิดออดอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยเลยตามเลย
“กลับบ้านดีๆ นะคะพี่อาร์ อย่าลืมติดพลาสเตอร์ด้วย เดี๋ยววันจันทร์หนูจะไปส่อง ถ้าพี่อาร์ไม่ดูแลตัวเองหนูจะตีจริงๆ ด้วย!” ฉันทำท่าชกมวยเป็นการข่มขู่ ทว่าผู้ชายตรงหน้าที่ยังคงเงียบเป็นเป่าสากทำได้แค่อมพะนำและใช้สายตาแสนหน่ายมองฉันเท่านั้น จริงๆ ฉันแค่ทำให้มันดูตลกเท่านั้นเพราะไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเราดูหม่นหมองจนเกินไปไง คิดดูสิ! ขนาดฉันพูดมากและบ้าบอออกขนาดนี้ พออยู่กับคนเฉื่อยชาอย่างเขา ยังแทบไปไม่เป็นเลย
แต่เอาดีๆ ที่พูดไปน่ะฉันก็จริงจังอยู่นะ อย่างน้อยๆ เขาก็ควรติดพลาสเตอร์ไว้จนกว่าแผลจะแห้ง ปล่อยเปลือยๆ ไว้แบบนั้นเดี๋ยวเชื้อโรค ไรฝุ่นได้เข้าแผลหมด
“เข้าบ้านได้แล้ว” เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ความดื้อดึงฉุดให้ฉันยืนอยู่ที่เดิม รอให้เขาเป็นฝ่ายเดินจากไปและลับสายตา ฉันจึงหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านพร้อมรอยยิ้ม
“ฮัดชิ่ว”
บทบรรยาย อาร์
วันจันทร์ เวลา 19:00 น.
ผมก้มหน้ามองตะกร้าผลไม้ในมือด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ก่อนลากสายตาขึ้นมองบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย ขณะนั้นสมองก็ย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าอันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมาที่นี่พร้อมกับตะกร้าผลไม้ผูกโบว์สีชมพูนี่...
- เพิ่งรู้ว่าหนูพายไม่สบาย แต่แม่มีธุระสำคัญเลยไม่เยี่ยมไม่ได้ ฝากลูกเอาไปให้หน่อยนะ –
ผมเห็นโพสต์อิทแผ่นหนึ่งติดอยู่บนโต๊ะทานข้าว...และเนื้อความในนั้นทำให้ผมมาที่นี่ด้วยความไม่เต็มใจนัก
ยัยเด็กน่ารำคาญนั่นไม่สบายแล้วมันธุระกงกางอะไรของผม
“อ้าวหนูอาร์!” ความจริงผมกดออดเรียกสักพักหนึ่งได้แล้ว กระทั่งแม่ของพายออกมาแล้วเห็นผมยืนอยู่ตรงรั้วหน้าบ้าน จึงรีบเดินมาเปิดประตูให้พร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรอย่างที่ชอบทำ “ลมอะไรหอบหนูมาที่นี่เนี่ย แล้วนั่น...” ท่านคงแปลกใจที่เห็นหน้าผมบ่อยขึ้น แต่คงแปลกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือผม
“แม่ฝากมาให้พายครับ” ผมตอบตามความจริงแล้วยื่นมันไปตรงหน้า แม่ของยัยเด็กน่ารำคาญทำท่าตกใจนิดหน่อยแต่ก็รับไว้ ตอนแรกผมตั้งท่าจะหมุนตัวกลับเลย แต่ท่านคว้าข้อมือผมไว้เสียก่อน
“ไหนๆ ก็มาทั้งทีเนอะ ลองไปเยี่ยมยัยเด็กดื้อหน่อยสิ” นี่มัน...น่าเบื่อชะมัด
แม้ว่าอยากปฏิเสธ แต่จนแล้วจนเล่าผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาและทำตามอย่างเสียไม่ได้
“...” ใช้เวลาไม่นาน ผมก็พาตัวเองเข้ามาในห้องนอนสีหวานของพาย แต่สายตาของผมมองเพียงแค่ร่างของคนตัวเล็กที่นอนขดอยู่ในผ้าห่มผืนหนา แก้มป่องๆ มีสีแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์ไข้ ท่าทางกระสับกระส่ายแบบนั้นอาการคงหนักพอตัว
แล้วทำไมไม่ไปโรงพยาบาล นอนอยู่ในนี้เมื่อไรมันจะหาย ผมขมวดคิ้วใส่เมื่อเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง ก้มมองร่างบางที่นอนหายใจสั่นๆ ตรงนั้น ก่อนลากสายตาไปยังหน้าผากซึ่งมีผ้าสีขาวชุบน้ำผืนหนึ่งวางแปะเพื่อดูดซับความร้อนของร่างกาย
“โง่หรือเปล่า” ผมถามเมื่อนึกย้อนไปถึงสาเหตุที่ทำให้ยัยเด็กดื้อมีสภาพแบบนี้ วันนั้นฝนตกหนักมาก ทว่ายัยนี่เอาแต่ยืนให้ตัวเองเปียกปอนเหมือนคนโง่
“อื้อ...เสียงใครอ่า...” ผมมั่นใจว่าเสียงของตัวเองไม่ได้ดังมาก แต่ยัยนั่นคงรู้สึกตัวง่ายมั้ง “เสียงเหมือนพี่อาร์เลย...” ไม่เพียงแค่พูด แต่ยังยกมือตะกายกับอากาศเหมือนกำลังควานหาอะไรบางอย่าง “กลิ่นนี้ก็คุ้นๆ เสียงนี้ใช่แน่ๆ” กลิ่นเนี่ยนะ...
หมับ...
ดูเหมือนว่าความพยายามของคนป่วยจะประสบผลเพราะในจังหวะที่สองมือตะกายกับอากาศไปมานั้น ลำคอของผมก็ถูกคว้าเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกรั้งเข้าไปใกล้เจ้าของการกระทำ ส่งผลให้ปลายจมูกเฉียดผิวแก้มของคนใต้ร่างอย่างแผ่วเบา ความร้อนระอุจากผิวหนังของคนเป็นไข้ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง อุณหภูมิสูงขนาดนี้ทำไมแม่ของยัยนี่ถึงไม่พาไปโรงพยาบาลนะ
“เธอควรไปโรงพยาบาล” ผมพูดออกไปตรงๆ แล้วยึดตัวเองไว้เมื่อความใกล้ชิดมันมากขึ้นจนริมฝีปากของเราแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ อาการหนักจนละเมอไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วแท้ๆ กะไอ้แค่ผ้าชุบน้ำมันจะไปช่วยอะไรได้
“ไม่เอา...หนูไม่ไป ไม่ไปอ่า ไม่ไป บอกว่าไม่ไปไง...” ยัยนั่นครางอู้อี้เหมือนกำลังถูกพาไปโรงเชือด ส่ายหน้าเป็นพัลวัน แถมยังค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา นัยน์ตาอ่อนล้าคู่นั้นมองหน้าผมแล้วยิ้มโชว์ฟันเหมือนกำลังบอกว่าตัวเองสบายดี “หนูไม่เป็นอะไรสักหน่อย แข็งแรงออกอย่างนี้ สิบล้อชนก็ไม่ตายค่ะ”
“งั้นมันก็เรื่องของเธอ” ผมตอบเสียงเรียบ ความรำคาญก่อตัวขึ้นมากทุกที และยิ่งรำคาญไปกันใหญ่เมื่อมือบางๆ ข้างหนึ่งลากมาสัมผัสบาดแผลตรงมุมปาก รอยยิ้มที่เคยฉายออกมาหดหายไปกลายเป็นบูดบึ้ง
“พี่อาร์ไม่ติดพลาสเตอร์! ทำไมพี่อาร์ดื้อ!”
พูดอะไรทำไมไม่หัดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างวะ...
“แล้วใครใช้ให้เธอไม่สบาย” ผมถาม ดึงฝ่ามือข้างนั้นออกไป ทว่ายังคงจับไว้ ออกแรงบีบแน่นขึ้นอีกหน่อยจนคนป่วยเริ่มดิ้น สีหน้าท่าทางงอแงแบบนั้นทำให้ผมอยากดีดกะโหลกซะเดี๋ยวนี้
“หนูสบายดี พี่อาร์นั่นแหละดื้อ...” ยัยนั่นยังคงทำหน้างอ “ติดมันเดี๋ยวนี้เลยนะ...ตอนนี้เลย” พูดไป ร่างกายก็สั่นไป
“...”
“ไม่งั้นหนูจะตีพี่อาร์จริงๆ ด้วย...” คำพูดในตอนนี้ของพายเหมือนวันนั้นไม่มีผิดเพี้ยน นั่นทำให้ผมต้องใช้นิ้วชี้กระแทกลงไปบนหน้าผากตรงส่วนที่ไม่ได้ถูกผ้าปิดไว้
“งั้นก็หายเร็วๆ”
“...”
“เดี๋ยวให้ตี”