คืนเดียวกัน
ตายแน่ๆ ฉันตายแน่ๆ ท่านผู้ชม!
เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องพี่อาร์ ด้วยความที่เป็นคนความจำสั้นอยู่แล้ว...ฉันเลยลืมไปเสียสนิทว่ายัยส้มเปรี้ยวมันนั่งรออยู่ในโรงหนัง ฉันเพิ่งจะนึกออกหลังจากนั้นสามชั่วโมงได้ ซึ่งกลับมานอนแอ้งแม้งดูซีรี่ย์ที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แฮะๆ
อ่า...ที่จริงฉันจำไม่ได้หรอก แต่มันบุกมาอาละวาดถึงบ้านเลยน่ะสิ ดีนะที่ยัยนั่นไม่ได้โกรธอะไรมากเพราะฉันบอกเหตุผลไป ถึงจะเคืองนิดหน่อย แต่ฉันก็ง้อด้วยการเลี้ยงไอติมไปเเล้ว ทว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นไง
คือฉันทำโทรศัพท์มือถือหายน่ะ
ถ้าเป็นของที่ซื้อมาด้วยตนเองฉันจะไม่บ่นหรืออะไรสักคำ แต่โทรศัพท์เครื่องนั้นน่ะแม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้ว เพราะแบบนี้มันจึงมีคุณค่าสำหรับฉันมาก
“ฮือ...คิดดีๆ สิวะยัยบื่อเอ๊ย” ฉันโอดครวญพลางยกมือจิกทึ้งศีรษะตัวเองด้วยความหงุดหงิด เจ็บหนังหัวก็เจ็บ...แต่ก็ต้องทำเพื่อลงโทษในความสะเพร่าของตัวเอง ตอนนี้แม่ออกไปธุระข้างนอก ไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหน แต่ไม่ว่าตอนไหนจุดจบของฉันคงไม่ต่างกันหรอก เพราะยังไงแม่ก็ต้องรู้อยู่ดี
โอ๊ย ทำไมฉันเป็นคนแบบนี้กันนะ มัวแต่ทำโน่นทำนี่จนไม่ได้สังเกตเลยว่าของสำคัญมันหายไป จนป่านนี้แล้วจะไปหาที่ไหนได้ ฝนก็ตกอีก
ฉันคิดอย่างท้อแท้พลางทอดสายตาออกไปด้านนอก ซึ่งปรากฏเป็นเม็ดฝนนับล้านที่ยังคงสาดเทลงมาไม่ขาดสาย
โฮ่งๆๆๆ!!
ทว่าในระหว่างที่ฉันนั่งสิ้นหวังและคิดไปต่างๆ นานาอยู่นั้น เสียงน้องหมาจากบ้านข้างๆ ก็ดังขึ้นมาราวกับว่าเจอผี หรือไม่ก็โจรผู้ร้าย ฉันเอียงคอสงสัยแล้วชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าตรงรั้วหน้าบ้านมีร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนอยู่พร้อมร่มสีใส เขาดูสับสนเหมือนไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อไป
“พี่อาร์!” ฉันตะโกนออกไปเสียงดังฟังชัดเพราะมั่นใจว่าผู้ชายในชุดไปรเวทสีเข้มตรงนั้นคือเขา ถึงจะแปลกใจแต่ไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ
“...” พี่อาร์เงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก ใบหน้าเฉยชาเหนื่อยหน่ายตอนกระทบกับแสงสว่างของไฟข้างถนนทำให้ฉันเห็นชัดเจนขึ้นว่าเขาคือผู้ชายที่ฉันชอบจริงๆ แล้วตอนนี้เรากำลังสบตากันด้วย
“รอหนูแปบหนึ่งนะคะ เดี๋ยวลงไป” พูดจบก็วิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ร่มก็ไม่ได้เอาออกมาด้วย “พี่อาร์มาหาแม่หนูเหรอคะ พอดีตอนนี้แม่หนูออกไปทำธุระข้างนอก เอ๊ะ!” ฉันชะงักเมื่อพี่อาร์ยื่นบางสิ่งมาตรงหน้า จนได้เห็นเต็มสองตาว่ามันคือโทรศัพท์มือถือของฉันเอง!
“เธอทำตกหน้าบ้านฉัน” พี่อาร์พูดในสิ่งที่ฉันกำลังสงสัย ฉันเลยร้องอ๋อในใจ...
ฉันทำมันตก พี่แกก็เลยเอามาให้ใช่ไหม ดีใจมันก็ดีใจอยู่เเหละ แต่สีหน้าท่าทางของเขาดูไม่พอใจเท่าไรเลย คงรำคาญแน่ๆ ที่ฉันสร้างปัญหาให้ ก็...ไม่ได้ตั้งใจไหมล่ะ ใครมันจะอยากทำของหายกันเล่า
“ขอบคุณนะคะ แต่ก็ขอโทษด้วยที่ทำให้พี่อาร์ต้องเอามาคืนถึงที่นี่ แฮๆ” ฉันยิ้มเจื่อน เกาหัวแกรกๆ เพราะดูออกว่าเขาไม่ค่อยสบอารมณ์ เขาอาจกำลังทำเรื่องสำคัญอยู่ก็ได้ แต่ต้องเสียเวลากับเรื่องไม่เข้าเรื่องของเด็กอย่างฉัน
“เลิกทำตัวน่ารำคาญได้แล้ว” พี่อาร์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่เป็นฉันเองที่รั้งชายเสื้อของเขาไว้ ไม่ใช่อะไรหรอก...
“พี่อาร์ทำแผลที่ปากแล้วนี่นา” ฉันแค่สังเกตเห็นว่ามุมปากของเขามีพลาสเตอร์ยาติดอยู่น่ะ ดีแล้วที่พี่อาร์ใส่ใจตัวเองอย่างนี้ มันทำให้ฉันพลอยสบายใจไปด้วย “ทีนี้ก็กินยาด้วยนะคะ หนูกลัวว่าพอถึงพรุ่งนี้แล้วมันจะปวดอ่ะ”
“อย่ามายุ่มย่าม” คำพูดของพี่อาร์อาจทำให้ใครหลายคนที่ได้ฟังเจ็บปวด แต่สำหรับฉันบอกเลยว่าไม่สะเทือน
“ไม่เลิกหรอก หนูเคยบอกไปแล้วนี่คะ...” ฉันยิ้มและจ้องหน้าเขาตรงๆ
“...”
“เคยบอกไปแล้วว่าหนูชอบพี่อาร์ แค่นี้ชิวมากเลย” ฉันว่าเสียงหนักแน่น “ยังไงพี่อาร์ก็อย่าลืมกินยาอย่างที่หนูบอกนะ แผลแบบนี้ตอนแรกมันไม่เท่าไรหรอก แต่มันต้องปวดแน่ๆ หนูมั่นใจ” ก่อนสำทับต่อแล้วปล่อยมือจากชายเสื้อในตอนนั้น เตรียมเดินกลับเข้าไปในบ้าน หากแต่...
พึ่บ
พี่อาร์กลับเป็นฝ่ายดึงชายเสื้อของฉันไว้แทน ฉันชะงักแต่ไม่ทันได้หันกลับไป น้ำเสียงนิ่งๆ หน่ายๆ กับลมหายใจอุ่นร้อนก็เป่าระอยู่ข้างหูพร้อมคำพูดของเขา
“เธอจะเจ็บปวด”
“...”
“ฉันไม่มีอะไรให้...นอกจากทำให้เธอเจ็บปวด”
พูดอะไรอย่างนั้น
“โหย หนูหนังหนาจะตาย ตกบันไดสิบสองชั้นยังไม่สะเทือนเลย ฮิๆ” ฉันหันไปยิ้มโชว์ฟัน ถึงตอนนี้พี่อาร์กำลังทำสีหน้าไม่เล่นด้วย แต่ทำไงได้ ก็คนไม่ชอบบรรยากาศมาคุนี่นา
เจ็บปง เจ็บปวดอะไรกัน แม้พี่แกจะดูเฉยชาและพูดจาร้ายๆ ไปหน่อย แต่คงไม่เอาไม้หน้าสามฟาดหน้าฉันหรอกมั้ง
“โง่จริง” เขาก่นด่าฉันทันที
“พี่อาร์รีบกลับบ้านเถอะค่ะ ถูกละอองฝนมากๆ ระวังเป็นหวัดนะ” ฉันพยักพเยิดหน้าไปด้านหลังเพราะคิดว่าเขาคงกำลังเหนื่อยหน่ายอยู่แน่ๆ ใจจริงก็ไม่อยากให้พี่เขากลับหรอก มันไม่บ่อยไงที่เราจะมีโอกาสคุยกันอย่างวันนี้ ถึงสถานการณ์มันจะทะแม่งๆ ก็เถอะนะ
ทว่า...
พึ่บ
พี่อาร์กลับยื่นร่มมาที่ฉัน ทำให้ความหนาวเย็นและความเปียกชื้นที่ชโลมตัวฉันหายไปในวินาทีนั้น แม้ว่าร่างทั้งร่างจะชุ่มแฉะด้วยน้ำจนไม่มีพื้นที่ให้ความแห้งแทรกผ่านแล้วก็ตามที แต่สิ่งที่พี่อาร์ทำน่ะ...
“เธอควรบอกตัวเอง” เขาพูดนิ่งๆ น้ำเสียงดุๆ แบบนั้นทำให้ฉันยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ดันร่มในมือเขาซึ่งทำหน้าที่กันฝนกลับไป
“ก็บอกแล้วไงว่าหนูหนังหนา โดนอะไรไม่เคยสะเทือนหรอกค่ะ” อีกอย่าง ถ้าเกิดเป็นไข้ไม่สบายขึ้นมามันก็ความผิดของฉันด้วยที่รีบจนลืมหยิบร่มออกมา “พี่อาร์เอาไปกันฝนเถอะค่ะ เปียกหมดแล้ว!”
“อ้าว! อาร์ไม่ใช่เหรอ มาหาน้องพายเหรอจ๊ะ” ในตอนนั้นเอง เสียงคุ้นๆ ของใครสักคนก็ทำให้เราสองคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง จนพบว่าแม่ของฉันกำลังเดินยิ้มหน้าบานมาตรงนี้พร้อมข้าวของพะรุงพะรัง ให้เดานะ นั่นน่ะคงเป็นอาหารอีกตามเคย ซื้อมาตุนไว้ซะเยอะ ฉันคิดว่าท่านกำลังให้อาหารหมูมากกว่าเลี้ยงลูกสาวนะ ไม่เห็นหรือไงว่าฉันบวมจนอึ่งอ่างเรียกพี่เเล้ว
“สวัสดีครับ” พี่อาร์ยกมือไหว้แม่ทันที แต่สีหน้าเขาไม่ได้สดใสอะไร ซังกระตายเหมือนเดิม
“ไหนๆ ก็มาทั้งทีเนอะ มากินข้าวเย็นด้วยกันไหมจ๊ะ” หา...
“...” พี่อาร์เงียบแทนที่จะตอบหรือปฏิเสธ ซึ่งการที่เขาทิ้งระยะห่างของเวลาไว้แบบนี้มันทำให้ฉันลุ้นตัวโก่งสุดๆ คือเกรงใจอ่ะ พี่เขาไม่ชอบเข้าสังคมเท่าไรไง พูดน้อยและไม่ชอบความวุ่นวาย
“อา ก็...ถ้าพี่ไม่อยากกินก็ไม่เป็นไรน้า ไม่ได้บังคับ”
“นั่นสิ น้าไม่ได้บังคับนะ” แม่สำทับ แต่สีหน้าท่านบอกว่าอยากให้พี่อาร์ของฉันอยู่ทานอาหารเย็นที่นี่
“งั้น...รบกวนด้วยครับ”แต่ผิดคาดเลยค่ะ ตอนแรกคิดว่าเขาต้องปฏิเสธแน่ๆ
แต่ไหง...
ตอนนี้แม่กำลังทำอาหาร ส่วนฉันและพี่อาร์น่ะเหรอ...ท่านไล่เราสองคนขึ้นมาอ่านหนังสือบนห้องรอน่ะ
แม่คงไม่รู้สินะว่าปล่อยให้ลูกสาวอยู่กับผู้ชายที่ชอบเพียงสองต่อสอง...
“พี่อาร์ชอบเล่นเกมไหมคะ พอดีหนูมีเกมเจ๋งๆ เยอะเลย” เราทั้งสองเงียบกันมาหลายนาทีแล้ว คนหนึ่งเงียบเพราะไม่ชอบพูดและโลกส่วนตัวสูง อีกคนก็ตื่นเต้นทำตัวไม่ถูกเลยได้แต่เงียบ เพราะแบบนั้นฉันเลยตัดสินใจพูดขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศแปลกๆ
แต่อ่า พออยู่กันสองคนแบบนี้แล้วพานทำให้นึกถึงตอนที่เขาจูบฉันเลย มันแบบ...
“ฉันไม่ชอบเล่นเกม” พี่อาร์ตอบเสียงนิ่ง นัยน์ตาสีสวยคู่นั้นไม่ได้จ้องหน้าฉันขณะตอบ เขาทำเพียงแค่กวาดสายตาไปรอบๆ ห้องเท่านั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
“พี่อาร์ชอบแค่กีฬานี่คะ” ตอนที่ฉันพูดมันออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ผู้ชายหน้าเมื่อยและเหมือนจะง่วงนอนตลอดเวลาก็ลากสายตามาที่ฉันทันที
“...” แต่พี่แกก็ไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่มองกัน...
“เอ่อ เดี๋ยวหนูหาพลาสเตอร์ให้พี่อาร์ดีกว่า” ฉันเปลี่ยนเรื่องอีกตามเคย ที่จริงตอนแรกก็ตั้งใจหาพลาสเตอร์อันใหม่ให้เขานั่นแหละ เพราะก่อนหน้านี้พี่เขาเปียกฝนด้วยใช่ไหมล่ะ อันเก่ามันเลยลอกน่ะ
ฉันเดินไปหยิบพลาสเตอร์สีครีมในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาร่างสูงที่นั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ประตูตรงระเบียงห้อง ฉันพยายามไม่มองหน้าเขามากเพราะรู้สึกเคอะเขินอย่างบอกไม่ถูก
“...”
“ติดแผลตรงปากด้วยนะคะ อันเก่าลอกเเล้ว” ฉันเอ่ยพร้อมยื่นมันไปตรงหน้าเขา ทว่าพี่อาร์กลับรับไว้เฉยๆ “ติดเดี๋ยวนี้เลยค่ะ แผลพี่ยังไม่หายดีเลยนะ” ฉันทำหน้ามุ่ย
“เลิกจุ้นจ้านฉันสักนาทีจะตายไหม”
“หนูไม่ได้จุ้นจ้านสักหน่อย ก็พี่อาร์ดื้อเองนี่นา หนูรู้หรอกน่าว่าพี่รำคาญน่ะ” ฉันเอ่ยอย่างรู้ทัน
“ใช่ ฉันรำคาญ...มากด้วย” ตอบแบบไม่ใช้เวลาคิดเลยทีเดียว เพราะเช่นนั้นฉันจึงถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ เวลาคุยกับพี่เขานี่เหมือนกำลังพูดกับผนังห้องหรือไม่ก็ตอไม้แข็งๆ เลย ไม่ตอบสนองและนิ่งเมยเฉยได้ขนาดนี้ โคตรเหลือเชื่อเลยผู้ชายอะไร
“หนูลงไปถามแม่ดีกว่าว่าอาหารเสร็จยัง ท่าทางพี่อาร์คงอยากกลับบ้านเต็มที่แล้วแน่ๆ” ป่วยการจะคุยกับท่อนไม้ ลงไปหาแม่ข้างล่างดีกว่า ทว่า...
หมับ...
ฉันขยับตัวได้นิดเดียว ข้อมือก็ถูกคว้าเอาเสียก่อน แล้วไม่ต้องถามเลยว่าใครเป็นเจ้าของฝ่ามือที่ทั้งหนาเเละนุ่มนี้
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก...
“...”
รั้งฉันไว้อย่างนี้ แต่เขากลับไม่พูดอะไรซะงั้น พอหันกลับไปมอง พี่อาร์ก็ไม่ได้มองหน้าฉันด้วย หมายความว่ายังไงกัน...
“...” ฉันเองก็เงียบบ้าง อุณหภูมิช่วงที่ถูกกอบกำเริ่มสูงขึ้น สูงขึ้นจนต้องเม้มริมฝีปากเอาไว้เพื่อข่มกลั้นความตื่นเต้น มันเป็นเเบบนี้อยู่ครู่ใหญ่...อยากรู้ไหมว่าท้ายที่สุดเเล้วมันลงเอยยังไง
“...” คำตอบคือ...พี่เขาไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยสักคำเดียว