รักเดียวของสายหยุด

2458 คำ
สายหยุดพาเทิดกลับมาที่บ้าน ทิ้งพะยอมไว้กับยายลำยง ทุกย่างก้าวที่เหยียบเท้าลงบนพื้นนั้น เจ็บปวดราวกับเดินอยู่บนเข็มนับล้านเล่ม คำพูดและท่าทีของพะยอม มันทำให้เธอเชื่อว่าน้องสาวไม่ได้โกหก แม้ก่อนหน้านี้เธอจะกังวลอยู่บ้าง เพราะสามีของเธอก็ไม่เคยทำรุ่มร่ามให้เธอเห็นมาก่อน “พี่ว่าพะยอมมันชักจะหนักขึ้นทุกวันแล้วนะ” เทิดเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงบ้าน สายหยุดไม่ได้ตอบอะไร เธอพยายามจะใจเย็นลง เพราะไม่อยากมีปากเสียงกับสามี และอยากจะหาคำพูดที่มันเบาที่สุด เพราะเธอยังต้องอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป “พี่ทำอย่างที่พะยอมมันว่าจริงๆ เหรอ” เสียงสั่นสะอื้นเอ่ยถาม คนถูกถามยืนนิ่ง เพราะไม่คิดว่าสายหยุดจะเลือกน้องมากกว่าสามีอย่างเขา แต่ถึงอย่างนั้นความสติไม่สมประกอบของพะยอม ก็ยังใช้เป็นข้ออ้างประกอบคำแก้ตัวได้เป็นอย่างดี “สายหยุด เอ็งก็รู้ว่าน้องเอ็งมันบ้า ก็พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย มันเห็นเอ็งมีผัวก็อยากมีบ้างน่ะสิ” “ฉันก็อยากจะเชื่อคำพูดของพี่หรอกนะ แต่พะยอมมันไม่เคยเป็นสักที ไอ้เอามีดไล่ฟันใครเนี่ย ถ้าพี่ไม่ได้ทำอย่างที่มันว่า แล้วพี่ไปทำอะไรให้มัน มันถึงได้โกรธพี่ขนาดนั้น” เทิดนิ่งเงียบไป เพราะให้คำตอบไม่ได้ เขาหันหน้าหนีไปเพื่อคิดหาข้อแก้ตัวดี ๆ สักข้อ แต่พอหันกลับมา ก็ต้องตกใจ เมื่อเจอสายหยุดนั่งคุกเข่าพนมมือร้องไห้อยู่ที่พื้น “สายหยุด เอ็ง... จะทำอะไร” “ฮึก... ฉันไม่รู้จะทำยังไงได้ ฉันขอเถอะนะพี่ อย่ายุ่งกับพะยอมมันเลยนะ พี่อยากจะไปมีเล็กมีน้อยที่ไหนก็ได้ ฉันขอน้องฉันไว้สักคนเถอะ เกิดมามันก็สติไม่ดีแล้ว อย่าให้ชีวิตมันต้องมาเจออะไรที่แย่ไปมากกว่านี้เลย ฮือ...” เทิดได้แต่ยืนมองภรรยานิ่ง ที่เขาทำลงไปนั้นก็เพราะเห็นว่าพะยอมสติไม่สมประกอบ ไม่คิดเลยว่าจะรู้เรื่องพวกนี้ อีกทั้งเขานั้นเคยหาเศษหาเลยลักษณะนี้มาก่อนหลายครั้ง ก็ไม่เคยมีปัญหา กับสายหยุดนั้นเขาก็รักแสนรักและรู้อยู่แก่ใจดีว่า สายหยุดรักน้องสาวมากมายเพียงใด แต่เป็นเพราะตัณหาบังตาจึงได้กระทำลงไปแบบนั้น “เฮ้อ... พี่บอกว่าพี่ไม่ได้ทำ เอ็งจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ” เขาไม่ได้พูดอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องที่ภรรยาบอก แต่เลือกที่จะเดินหนีขึ้นบ้านไป พร้อมกับความรู้สึกผิดที่จุกอยู่เต็มอก สายหยุดนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ใต้ต้นขี้เหล็กหน้าบ้าน นานสองนานจนพอใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วเก็บข้าวของของพะยอม เตรียมจะเอาไปให้ที่บ้านยายลำยง “พี่มาอยู่นานหรือเปล่า ฉันจะได้เตรียมของให้พะยอมมันถูก” สายหยุดหันไปถามเทิด ที่นอนพักอยู่บนที่นอน “สักพักใหญ่ ช่วงนี้นายเข้ม จะตัดไม้ทีก็ลำบาก ยิ่งพวกไม้ที่ฝรั่งมันอยากได้ มีแต่ไม้ที่นายหวง คงต้องมาพักอยู่นี่ไปก่อน” สายหยุดพยักหน้ารับ เธอเก็บเสื้อผ้าและข้าวของของพะยอมที่คิดว่าจำเป็น เตรียมไปให้น้องสาวที่บ้านของยายลำยง เมื่อมาถึงกลับพบว่ามีเพียงยายลำยงเท่านั้นที่นั่งอยู่บนบ้านเพียงลำพัง “ยายจ๊ะ พวกเด็ก ๆ ไปไหนกันหมด” “พะยอมมันชวนไอ้จุกไปวิ่งเล่น เห็นว่าเอาถุงรี่ติดไปด้วย เมื่อวานไอ้จุกมันว่ามันเห็นหนองในนาใกล้ ๆ โรงพยาบาล คงจะพากันไปจับปลาล่ะมั้ง” “อ๋อ... ถ้างั้นฉันฝากของไว้ให้มันหน่อยนะจ๊ะ พี่เทิดคงมาอยู่สักพัก ถ้าพะยอมมันคงยัง...” “เอาเถอะ ๆ บ้านยายกว้างขวาง ให้มาอยู่นี่ก่อนก็ได้ บ้านติดกันแค่นี้ ไม่มีอะไรหรอก” ยายลำยงพูดแทรกขึ้น ดูจากขอบตาที่ช้ำชุ่มของสายหยุดแล้วนั้น แม้ว่าสายตาเธอจะพร่ามัว แต่ยายลำยงก็เดาได้ว่าคงไปร้องไห้มาแน่ “ฉันรบกวนด้วยนะจ๊ะยาย” “ไม่รบกวนหรอก ข้าวปลาก็เหลือเฟือ ผักหญ้าก็หาเก็บเอาได้ เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก” เมื่อเอาข้าวของมาฝากกับยายลำยงแล้ว สายหยุดก็เดินกลับบ้านไป เพื่อจัดการงานอื่น ๆ ที่ต้องทำ ทางฝั่งของพะยอมกับจุกนั้น ทั้งคู่พากันเดินออกมาตามทาง ลัดเลาะไปตามท้องนา จุกบอกว่าจะพาพะยอมไปจับปลา เพื่อเอามาทำกับข้าวเย็นนี้ พะยอมคนใหม่ตื่นเต้นกับการจับปลาเป็นอย่างมาก เธอจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ แม่เคยพาไปเที่ยวบ้านญาติที่ต่างจังหวัด เธอเคยลงจับปลาจากสระที่สูบน้ำออกจนหมดแล้ว แม้จะเลอะเทอะแต่ก็สนุก “นี่ไงพี่พะยอม ที่ฉันเจอเมื่อวาน” จุกชี้มือไปที่แอ่งน้ำโคลนในท้องนา เขาเดินผ่านมาเก็บผักบุ้งแถวนี้ และเจอเข้าโดยบังเอิญ แต่เพราะไม่ได้เอาอะไรมาใส่ปลา จึงยังไม่ได้ลงไปกวน “มันจะมีปลาแน่เหรอ แอ่งแค่นี้เอง” พะยอมเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “หืม... เชื่อมือไอ้จุกเลย รับรองมีเยอะ แถมมีแต่ตัวใหญ่ ๆ” จุกว่าพลางย่องลงไปในแอ่งน้ำ เมื่อจุกก้าวขาลงไป พะยอมมองเห็นว่า โคลนที่เธอเห็นนั้นลึกถึงครึ่งหน้าแข้ง ลึกกว่าที่เธอคิดเอาไว้เยอะเลย “โห มองผ่าน ๆ นึกว่าจะแค่ตื้น ๆ” พะยอมไม่ว่าเปล่า เธอก้าวเท้าตามจุกลงไป มือก็ถลกผ้าถุงให้สูงขึ้น เพื่อที่จะไม่ให้เลอะโคลนมาก สองพี่น้องช่วยกันงมจับปลาที่หลบอยู่ใต้โคลนอย่างสนุกสนาน พะยอมที่เดิมทีตั้งใจจะไม่ให้ตัวเองเลอะโคลน ในเวลานี้ก็เลอะจนแทบจะมองไม่ออกแล้วว่าเป็นใคร “โอ๊ย!!” ระหว่างที่เดินไปมาเพื่อควานหาปลาในบ่อโคลน จุกก็ร้องเสียงหลงขึ้นมา ทำให้พะยอมที่อยู่อีกมุมหนึ่งของบ่อต้องรีบวิ่งเข้าไปดู “เป็นอะไรจุก” “พี่พะยอมอย่าเข้ามา ฉันเหยียบตะปู” แม้จุกจะร้องบอกแบบนั้น แต่ด้วยความเป็นห่วงน้องพะยอมก็ก้าวฉับ ๆ เข้าไปอย่างไม่กลัวอะไร “พี่พะยอมออกไป” จุกรีบร้องห้ามด้วยความที่รู้จักพี่สาวคนนี้เป็นอย่างดี และจุกคิดว่าเธอคงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาร้องห้ามแน่ ๆ พะยอมนอกจากจะไม่ยอมฟังที่จุกร้องห้ามแล้ว เธอยังปรี่เข้าไปอุ้มจุกขึ้นมาจากบ่อโคลน เพื่อขึ้นมาดูเท้าข้างที่เหยียบตะปู “อื้อหือ ทะลุหลังตีนแบบนี้ ไปหาหมอเถอะ” พะยอมเห็นว่าโคลนก็สกปรก แถมตะปูก็แช่อยู่ในโคลนมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ การไปหาหมอน่าจะดีที่สุด “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวดึงตะปูออก แล้วพี่ไปหาใบสาบเสือมาให้ฉัน ก็พอแล้ว” “ใบสาบเสืออะไร ถ้ามันคือสมุนไพรก็เอาไว้ก่อนเถอะ แผลขนาดนี้ ตะปูจมอยู่ในโคลนอีก ไปหาหมอเถอะเชื่อพี่” พะยอมเองก็ไม่ทิ้งความตั้งใจ เธอไม่รู้หรอกว่าในยุคนี้มันมีเชื้อโรค หรือโรคบาดทะยักหรือยัง แต่แผลจากตะปูทิ่มทะลุเท้าขนาดนี้ ยังไงไปหาหมอก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด พะยอมพยุงจุกให้ค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น ส่วนจุกนั้นก็เจ็บจนไม่อยากจะเถียงอะไรอีกแล้ว พี่สาวว่าอย่างไรก็ขอว่าตามอย่างนั้นก็แล้วกัน “เดี๋ยวขี่หลังพี่ไปนะ แล้วบอกทางด้วยว่าโรงพยาบาลไปทางไหน” พะยอมแบกเอาจุกที่กำลังเจ็บเท้าขึ้นหลัง จากนั้นก็เดินลัดเลาะไปตามทุ่งนาเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล “อีพะยอม!! นั่นเอ็งใช่ไหม แล้วนั่น... ไอ้เด็กขายปลาสิ ใช่ไหม มอมแมมขนาดนี้จะไปไหนกัน” เสียงของคนไข้คนหนึ่งที่กำลังนั่งรอหมอร้องขึ้น เพราะสภาพของทั้งคู่เละเทะไปด้วยโคลนตม “จุกมันโดนตะปูตำเท้า ฉันจะพามันมารักษา” พะยอมว่าพลางจะเดินตรงเข้าไปในห้องพยาบาล “หยุดเลยนะ!!” แต่แล้วเสียงจากหญิงสูงวัย ที่ปรี่เข้ามาห้ามพร้อมกับถือไม้กวาดในมือ การกระทำนั้นทำให้หญิงสาวต้องชะงักอีกครั้ง “ฉันเพิ่งจะกวาดถูไป พวกหล่อนจะมาเดินให้เลอะไม่ได้ แล้วดูสิเนื้อตัว อย่างกับควายเพิ่งขึ้นมาจากปรัก” แม่บ้านสาวใหญ่ว่าให้สองพี่น้อง “ฉันไม่มีเวลามาเถียงกับใครหรอกนะ ถอยไป!!” พะยอมร้องขู่ แต่ดูเหมืนว่าสาวแม่บ้านจะไม่สนใจคำพูดของเธอเลยแม้แต่น้อย “กลับเถอะพี่ ไปล้างน้ำเอาตะปูออกก็หายแล้ว” จุกเห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยปากขึ้น “ไม่!!! มาถึงนี่แล้วพี่ไม่ยอมหรอก” สายตาคมกวาดมองดูจำนวนผู้คนที่กำลังจ้องมองดูเธอ ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าข้าเอ๊ย คนโดนตะปูทิ่มทะลุตีน แต่แม่บ้านไม่ยอมให้เข้าไปหาหมอ ใจร้ายใจดำเหลือเกิน เจ้าข้าเอ๊ย” พะยอมร้องตะโกนเรียกความสนใจเสียงดังลั่น เดิมทีมีคนมองมากมายอยู่แล้ว ก็ยิ่งมองกันมากขึ้นอีก มิหนำซ้ำบรรดาหมอและพยาบาลก็ต่างพากันเดินออกมาดู “อีพะยอม เอ็งหุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ” คนถูกกล่าวถึงกัดฟันบอกเด็กสาวตรงนั้น แต่เธอกลับทำหน้าตาล้อหลอก และยังคงร้องตะโกนดังเดิม “มีอะไรกัน” เสียงหมอบุญฤทธิ์ที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องตรวจเอ่ยถาม เขามองไปที่สองสิ่งมีชีวิตตรงหน้า สภาพของทั้งคู่เละเทะจนมองไม่ออกว่าเป็นใคร “ก็ไอ้... สองคนนี้ พากันมาเล่นในโรงพยาบาลให้เลอะเทอะ ฉันเพิ่งจะ...” “โดนตะปูทิ่มมานี่ เอาเข้าห้องฉุกเฉินเลย” เมื่อสายตาของหมอมองเห็นจุดที่บาดเจ็บของคนไข้เข้า ก็รีบร้องบอกคนตรงหน้าทันที “ขอบคุณค่ะหมอ” พะยอมรีบแบกเอาจุกไปไว้บนเตียง และยังคงยืนดูอยู่ไม่ห่าง “พะยอมออกไปรอข้างนอกนะ ไปล้างตัวด้วย” หมอหันไปบอกกับเด็กสาว เธอเพียงพยักหน้ารับก่อนจะค่อย ๆ เดินออกไปตามคำขอ “อย่าลืมไปล้างตัวด้วยนะ” หมอบุญฤทธิ์กำชับเธออีกครั้ง พะยอมเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยใจที่เป็นกังวล แม้ว่าจุกจะถึงมือหมอแล้ว แต่แผลของจุกที่เธอเห็นก็ฉกรรจ์เหลือเกิน “อีพะยอม มัวยืนเซ่ออะไรอยู่ หมอให้ฉันพาแกไปล้างตัว” เสียงแม่บ้านคนเดิมบอก พะยอมเดินเก้ ๆ กัง ๆ ตามไปที่ด้านหลังของตึก เธอมองเห็นบ่อน้ำแบบเดียวกันกับบ้านของยายลำยง แต่ไม่รู้ว่าต้องชักน้ำขึ้นมาเอง หรือไปตักในโอ่งข้าง ๆ ได้เลย “ล้างซะ เดี๋ยวฉันจะยืนรอ” “เอ่อ... ให้ฉันตักน้ำเอง หรืออาบในโอ่งได้เลย” พะยอมตัดสินใจหันไปถามแม่บ้าน “ใครเขาตักไว้ให้แก ก็ชักน้ำขึ้นมาเองสิ ให้น้ำใช้นี่ก็บุญหัวแค่ไหนแล้ว” พะยอมคิดในใจว่า ไม่น่าถามเลยจริง ๆ เธอเองก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว หญิงสาวชักน้ำขึ้นมาอาบทีละถัง ๆ กระทั่งล้างตัวจนสะอาด จึงได้เดินย้อนกลับไปที่ห้องฉุกเฉิน เธอไม่กล้าเข้าไปด้านในเพราะตัวเองกำลังเปียกชุ่ม แม้ว่าตอนมาถึงตัวเองจะเลอะเทอะไปด้วยโคลนก็ตาม แต่ตอนนั้นกล้าเข้าไปเพราะใจห่วงแต่เรื่องจุก เธอยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่นาน จนสุดท้ายจุกก็เป็นฝ่ายเดินออกมาหาเธอเอง โดยมีหมอบุญฤทธิ์ช่วยประคองออกมา “เป็นไงบ้างจุก” “เจ็บสิพี่” “ค่ารักษาของจุก ผมจัดการให้แล้วนะ จุกก็เอาปลาที่จับได้มาให้หมอก็แล้วกัน” “จ้ะ” “ได้ยังไง!!” พะยอมโวยขึ้นทันที “ก็ถือว่าหมอซื้อปลาของจุก แล้วเอาเงินไปรักษาจุกก็แล้วกัน” “ปลาตั้งเยอะตั้งแยะ ค่ารักษามันจะกี่บาทกันเชียว ถ้าจะเอาก็เลือกเอาไปสองสามตัวก็พอ” “พี่พะยอม ปลานั่นขายหมดแล้วยังไม่พอรักษาฉันเลยจ้ะ” จุกหันไปบอกกับพี่สาวข้าง ๆ “ค่ารักษามันเท่าไหร่?” “สิบห้าบาท” หมอบุญฤทธิ์เอ่ยตอบ “ก็แค่สิบห้าบาท ปลานั่นน่ะขายได้เป็นร้อยเลยมั้ง อย่าไปยอมให้เขาเอาเปรียบสิจุก” พะยอมดูท่าจะไม่ยอมง่าย ๆ “พี่พะยอม...” ถ้าไม่ติดว่าเท้าเจ็บ จุกจะไม่พยายามอธิบายให้พะยอมเข้าใจเลย เพราะเขาคิดว่าพะยอมคงไม่มีทางเข้าใจแน่ ๆ ว่าเงินสิบห้าบาทมันมากมายขนาดไหน แต่เพราะว่าคนที่จะต้องเอาปลามาให้หมอ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่สาวคนนี้ “ยายลำยงมีที่ตั้งเยอะ เดี๋ยวเรากลับไปขอเงินยายมาจ่ายก็ได้” พะยอมดูไม่มีท่าทีว่าจะยอมง่าย ๆ เลย เธอลืมคิดไปว่าสิบห้าบาทของยุคนี้มันมากกว่ายุคที่เธอจากมา “ถ้ายายรู้ว่าฉันมาขโมยปลานาคนอื่น ยายจะตีหลังลายเอาสิพี่พะยอม ขาย ๆ ให้หมอไปเถอะนะพี่ เดี๋ยววันหลังฉันพาไปหาใหม่” “ก็ได้” “ถ้าตกลงกันได้แล้ว เย็น ๆ ก็เอาปลามาให้หมอที่บ้านพักนะ หมอขอตัว” “จุกขาเจ็บแบบนี้ แล้วใครจะเอาปลามาให้หมอ” พะยอมร้องถาม “ก็พี่ไง หรือพี่จะให้ยายเอามา” จุกย้อนถาม พะยอมที่ไม่มีทางเลือก เพราะรู้สึกว่าอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ และยังต้องอาศัยอยู่ที่บ้านของยายลำยงไปอีกสักพัก หรือจนกว่านายเทิดจะกลับไป หรือไม่ก็จนกว่าตัวเองจะกลับไปที่ที่จากมาได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม