ฉันไม่ใช่พะยอม
หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง เธอกะพริบตาถี่เพื่อปรับโฟกัสการมองเห็น ก่อนที่ภาพหลังคาบ้านทรงจั่วมุงกระเบื้องจะค่อย ๆ ปรากฏชัดขึ้น ดวงตากลมกวาดตามองไปรอบ ๆ และได้คำตอบว่า... เธอไม่คุ้นกับสถานที่แห่งนี้เลย
“พะยอม… ฟื้นแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นเอ่ยถาม หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยค่อย ๆ หันไปทางต้นเสียง ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในชุดกาวน์สีขาว บนกระเป๋าตรงหน้าอกข้างซ้ายมีสัญลักษณ์กากบาทสีแดง สวมคู่กับกางเกงขายาวสีดำขลับ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณขาวสะอาดดูมีชาติตระกูล ดวงตาคมใต้คิ้วดกดำรับกับจมูกที่โด่งเป็นสัน อีกทั้งริมฝีปากหนาเอิบอิ่มของเขายิ่งทำให้ดูน่ามอง เธอเดาว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้คงจะเป็นหมออย่างแน่นอน
“เป็นไงบ้างพะยอม” เขาเอ่ยถามเธออีกครั้ง แต่หญิงสาวกลับแสดงสีหน้างุนงง เพราะชื่อที่คนตรงหน้าเรียกขานนั้น ‘ไม่ใช่ชื่อของเธอ’
“คะ?”
“หมอหมายถึงเจ็บตรงไหนบ้างไหม พอดีว่าป้าดวนเขาไปเจอพะยอมนอนเป็นลมอยู่กลางนาของแก แกก็เลยให้หลานช่วยพามาส่งที่นี่” หมอหนุ่มบอกกับหญิงสาวตรงหน้า เธอพอจะเดาได้แล้วว่าที่นี่คงจะเป็นโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเป็นแน่ แต่ที่ตั้งมันอยู่ที่จังหวัดไหน อำเภออะไรกัน
“คุณน่าจะเข้าใจอะไรผิด ฉันไม่ได้ชื่อพะยอมหรอกนะคะ”
“ถ้าไม่ได้ชื่อพะยอม แล้วคนไข้ชื่ออะไรล่ะ?” เขาย้อนถามเธอ หญิงสาวบนเตียงนิ่งเงียบหลังได้ยินคำถาม ‘ทำไม… ถึงนึกไม่ออกนะ ชื่อตัวเองแท้ ๆ’ คำถามง่าย ๆ แต่กลับไร้ซึ่งคำตอบ คนถามยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเคลื่อนเก้าอี้มานั่งที่ข้างเตียง
“สรุปว่าคนไข้ชื่ออะไรครับ?” เขาถามอีกครั้งพลางยกกระดาษขึ้นมารอจดคำตอบ พร้อมกับรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นที่ประดับอยู่บนใบหน้าคมสัน และสายตาอ่อนโยนคู่นั้นยิ่งทำให้เขาดูเป็นคนที่ใจดี
“ฉัน… จำไม่ได้” เธอตอบออกไปเมื่อมั่นใจแล้วว่าตัวเองให้คำตอบที่เขาต้องการไม่ได้ ‘ทำไมกันนะ ทำไมถึงจำชื่อตัวเองไม่ได้’ แต่เธอก็มั่นใจว่า ตัวเธอนั้นน่าจะมีชื่ออื่นที่ไม่ใช่ชื่อพะยอมอย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้น หมอก็จะเชื่อข้อมูลในประวัติคนไข้นะ คุณน่ะชื่อพะยอม” หมอหนุ่มบอกกับคนป่วยบนเตียง
“ฉันจำไม่ได้หรอกนะ แต่มั่นใจว่าไม่ใช่ชื่อนี้แน่ ๆ” เธอยังคงเถียง แม้ว่าจะให้คำตอบเรื่องชื่อของตนเองกับเขาไม่ได้
“อีพะยอม!!!” เสียงร้องเรียกของใครบางคนดังขึ้น มันดึงความสนใจจากทั้งหมอหนุ่มและคนไข้ที่กำลังสนทนากันอยู่ ทั้งคู่ต่างก็หันไปทางต้นเสียง ซึ่งดังมาจากประตู
ที่ประตูห้องเป็นภาพของหญิงสาวหน้าตาสะสวย เธอสวมผ้าถุงกับเสื้อคอกระเช้าสีหม่น ปล่อยผมสีดำขลับยาวสยายถึงกลางหลัง ร่างอรชรค่อย ๆ สาวเท้าตรงมาที่เตียงคนไข้ด้วยสีหน้าร้อนใจ
“เอ็งเป็นอะไรมากหรือเปล่าพะยอม แล้วเอ็งไปทำอะไรที่นั่น ยายลำดวนผ่านไปทางตลาด แกแวะไปบอกข้าว่าเจอเอ็งนอนหมดสติอยู่กลางนาของเขา เอ็งไปทำอะไรฮะ!!” หญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาโวยวายลั่น
คนที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงกำลังพูดกับเธอ ด้วยชื่อที่เรียกเหมือนกันกับที่หมอหนุ่มใช้เรียกเธอเมื่อครู่นี้
“ขอโทษนะคะ… คุณ… เป็นใคร?” เธอตัดสินใจเอ่ยถาม
คนถูกถามเบิกตากว้างพร้อมกับยกมือขึ้นเท้าสะเอวทั้งสองข้าง ก่อนจะยกเอาข้างหนึ่งขึ้นมาชี้หน้าคนถามด้วยความโมโห
“คุณเป็นใคร? หนอย!!! จะมาไม้ไหนอีก!! คิดว่าจำข้าไม่ได้แล้วข้าจะไม่ด่าเอ็งหรือไงอีพะยอม วัน ๆ ไม่เคยช่วยทำมาหากิน ขยันหาแต่เรื่องมาให้ข้า คราวก่อนก็ไปแก้ผ้าที่โรงพัก มาวันนี้ไปนอนเล่นกลางทุ่งกลางนาจนเป็นลม ถ้าคนไปเจอเอ็งเป็นพวกโจรจะทำยังไง อยากมีผัวนักหรือยังไงฮะ!!”
“ใจเย็น ๆ คุณสายหยุด คุณก็รู้ว่า… พะยอมเป็นยังไง” หมอหนุ่มร้องห้าม
สายหยุดเป็นพี่สาวของพะยอม ทั้งสองคนกำพร้าพ่อแม่ ตอนนั้นสายหยุดอายุเพียงสิบหกปีจำใจต้องพาน้องไปทำงานในบ้านคนรวยเพื่อหาที่ซุกหัวนอน และทำงานแลกข้าวประทังชีวิต กระทั่งต่อมาไม่ถึงปีสายหยุดได้หนีตามนายเทิดพ่อค้าไม้ที่เจอกันในตลาด โดยหอบเอาน้องสาวซึ่งก็คือพะยอมติดสอยห้อยตามไปด้วย
เนื่องจากคนเป็นพี่สาวตัดใจทิ้งน้องไม่ได้ เพราะพะยอมมีอาการขาด ๆ ล้น ๆ สติไม่สมประกอบมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าเธอจะมีใบหน้าที่สวยไม่แพ้กันกับพี่สาว แต่ก็ไม่มีใครรับเอาเธอไปเป็นภรรยาเลยสักคน นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่สายหยุดทิ้งน้องไม่ได้ แต่หากจะมีใครมาสู่ขอพะยอมสายหยุดก็คงไม่ยอมปล่อยน้องไปแน่ เธอไม่มั่นใจว่าใครจะมาดูแลน้องได้ดีเท่าเธออีกแล้ว
“มันเป็นอะไรหมอ หรือว่าอาการบ้ากำเริบ” สายหยุดหันไปถามหมอด้วยน้ำเสียงดุดัน เพราะไม่อยากจะคุยกับน้องสาวให้อารมณ์เสีย เธอเองก็รู้ดีว่าถึงถามพะยอมไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไร
“เป็นลมแดดน่ะครับ คงจะไปวิ่งเล่นตากแดดจนเป็นลม”
“แล้วฉันพามันกลับได้เลยไหม หรือต้องให้มันอยู่ก่อน”
“กลับได้เลยครับ ไม่มีอะไรแล้ว”
พะยอมจ้องมองดูหญิงสาวที่ยืนรอพร้อมจะลากเธอกลับด้วยความคิดที่สับสน เธอไม่ได้อยากจะไปกับผู้หญิงคนนี้ เธออยากกลับบ้านของตัวเอง แต่ในหัวมันดันมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
เธอไม่รู้ว่าบ้านที่ตัวเองอยากกลับอยู่ที่ไหน
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร
ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตอนนี้ตัวเธอกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่
สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็ต้องยอมกลับบ้านพร้อมกับสายหยุด คนที่อ้างว่าเป็นพี่สาวของเธอแต่โดยดี เพราะไม่มีทางเลือกไหนที่ดีไปกว่านี้แล้ว
ขาเรียวเริ่มสั่นด้วยความเหน็ดเหนื่อย เธอเดินตามหญิงสาวตรงหน้ามาสักพักหนึ่งแล้ว แต่กลับไร้ซึ่งวี่แววที่จะถึงจุดหมายปลายทาง
“ต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหนเนี่ย?" สายหยุดถอนหายใจก่อนจะหันกลับไปจ้องหน้าคนถาม
“จำทางกลับบ้านตัวเองไม่ได้ ทีหลังก็อย่าไปไหนไกล คนคอยตามมันเหนื่อย งานการมีทำ ต้องมาเสียเวลาตามตัวเอ็งกลับบ้านทุกวันข้าก็แย่นะโว้ย!!” สายหยุดร้องลั่นระบายความอึดอัดใจ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เคยทิ้งน้องสาวได้สักที ไม่ว่าเธอจะก่อเรื่องให้ปวดหัวได้ไม่เว้นวันก็ตาม
“ก็แค่ถาม ว่าต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหน ถ้าพี่ตอบให้มันตรงคำถาม ก็ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้หรอก” พะยอมย้อนว่าพลางทำเป็นเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“หนอย อีพะยอม เดี๋ยวนี้รู้จักเถียงเหรอ บ้านตัวเองไปกลับทุกวัน อยู่ไกลขนาดไหน จำไม่ได้เลยหรือยังไงกันหา!!!”
“เฮ้อ... ฉันว่านะ ที่พี่เหนื่อย ก็เพราะแหกปากตะโกนแบบนี้นี่แหละ ตอบเบา ๆ ก็ได้ ไม่เห็นจะต้องตะโกนเลย เนี่ยฉันพูดปกติพี่ก็ยังได้ยินเลย หรือว่าหูอื้อไปแล้ว?”
สายหยุดได้แต่หายใจฮึดฮัดด้วยความโมโห อยากจะทุบหลังนังน้องสาวตัวดีสักที แต่ก็ทำไม่ลง อีกอย่างเธอนั้นก็คิดว่าถึงทุบไปก็ไม่ช่วยอะไร เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพะยอมนั้นไม่ได้ปกติเหมือนคนอื่น ๆ
เดินต่อมาอีกพักใหญ่ก็ถึงบ้าน บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสายหยุดที่นายเทิดสามีของเธอสร้างไว้ให้ในที่ดินที่ขอซื้อจากญาติห่าง ๆ ของเขา บ้านของพวกเธออยู่ห่างจากตัวหมู่บ้านพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ตั้งอยู่หลังเดียวโดด ๆ ยังมีบ้านญาติ ๆ ของนายเทิดสองสามหลังที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ตัวบ้านทำจากไม้ ซึ่งเป็นไม้ที่นายเทิดยักยอกมาจากลูกค้าของเขา บ้านไม้ยกสูงประมาณหนึ่งเมตร ขนาดหกเสา ด้านหน้าเป็นครัว ลึกเข้าไปกั้นเป็นห้องนอน จากการกวาดมองด้วยสายตา บ้านหลังนี้ดูจะไม่มีสมบัติหรือเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย จึงไม่แปลกที่จะมีขนาดเล็กขนาดนี้
“นี่บ้านเราเหรอ” พะยอมเอ่ยถามตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ เธอไม่มีความรู้สึกคุ้นกับที่นี่เลย กลับกันเธอรู้สึกแปลกตากับที่นี่เสียมากกว่า และยังคิดอีกว่าบ้านมันควรหลังใหญ่กว่านี้ อาจจะเป็นเพราะตอนที่เดินผ่านบ้านในชุมชน เธอเห็นแต่บ้านที่มีขนาดใหญ่กว่านี้กระมัง
“ก็เออสิ ถามอะไรนักหนา” สายหยุดว่าพร้อมกับเดินลัดสระน้ำ ไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านญาติของสามีเธอ พะยอมเดินตามไปไม่ห่าง ด้วยความที่ยังไม่คุ้นกับสถานที่ และยังปรับตัวไม่ได้ เธออยากจะเดินไปรอบ ๆ เผื่อจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง
“ยายยงจ๋า หนูฝากหาบขนมมากับไอ้จุก มันกลับมาถึงหรือยังจ๊ะ” ยายลำยงเป็นเจ้าของที่ และเป็นพี่สาวของยายยวน ซึ่งเป็นยายของนายเทิด
ยายลำยงมีลูกมีหลานมากมาย แต่ก็แยกครัวกันไปปลูกบ้านอยู่ในที่ของตนกันหมด ทิ้งไว้แค่เด็กชายจุก ลูกของลูกสาวที่ท้องไม่มีพ่อกลับมา หลังคลอดลูกก็ทิ้งจุกเอาไว้ แล้วไม่กลับมาอีกเลย
ยายลำยงรักและเอ็นดูสายหยุดกับพะยอมมาก ด้วยความที่สายหยุดเป็นคนขยัน และชื่นชมที่สายหยุดไม่ทอดทิ้งน้อง แม้น้องจะสติไม่สมประกอบ สายหยุดเองก็นับถือยายลำยงประหนึ่งยายแท้ ๆ เช่นกัน เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ยายลำยงคอยช่วยเหลือเกื้อกูลเธอกับน้องสาวมาโดยตลอด
“กลับมาแล้ว มันเอามาทิ้งไว้บ้านแล้วก็ออกไปกับเพื่อนมันแล้ว” ยายลำยงว่าพลางทำท่าจะลุกขึ้น เพื่อไปหยิบหาบให้สายหยุด
“ไม่ต้องจ้ะยาย เดี๋ยวหนูขึ้นไปเอาเอง” สายหยุดรีบร้องห้าม พร้อมทั้งกระโดดขึ้นบ้านไปอย่างรวดเร็ว
“เป็นไงบ้างพะยอม เห็นไอ้จุกมันว่าเอ็งโดนหามส่งโรงหมอเหรอ” ยายลำยงหันไปทักทายเด็กสาวอย่างเอ็นดู
“อ๋อ หมอบอกว่าแค่เป็นลมแดด ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ”
“ช่วงนี้อากาศกำลังร้อน อย่าไปวิ่งตากแดดสิ ไปนั่งช่วยพี่ขายขนมในตลาดดีกว่า ไม่ร้อนด้วย” พะยอมไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแค่ยิ้ม แล้วก้มหัวให้อย่างนอบน้อม เธอสัมผัสได้ว่ายายลำยงเป็นคนใจดี และเอ็นดูเธอมากทีเดียว
หลังจากได้หาบมาแล้ว สายหยุดก็เอามาจัดการทำความสะอาด เพื่อเตรียมไว้ใช้งานในวันพรุ่งนี้ต่อ พะยอมได้แต่นั่งมองดูพี่สาว เพราะไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง เธอกลัวว่าหากเสนอตัวเข้าไปช่วย จะกลายเป็นไปเกะกะเสียมากกว่า
“เราขายขนมเหรอ” อยู่ ๆ เสียงของพะยอมก็เอ่ยถามขึ้น
“เออ ข้าน่ะขาย ทำเอง หาบไปตลาดเอง นั่งขายจนหลังขดหลังแข็งก็ทำเองคนเดียว”
“นี่ฉันไม่ได้ช่วยพี่ทำอะไรเลยเหรอ?” พะยอมเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ตั้งแต่ที่โรงพยาบาล หมอก็พูดแปลก ๆ พี่สาวของเธอก็พูดตลอดว่าเธอเอาแต่ก่อเรื่อง แถมยังไม่ทำงานทำการอีก
“ไม่ต้องอยากช่วยหรอก หรือถ้าอยากจะช่วยจริง ๆ เลิกก่อเรื่องสักที แค่ตื่นแต่เช้ามาทำขนม หาบขนมจากบ้านไปตลาด นั่งขายของวัน ๆ ข้าก็เหนื่อยพอแล้ว ช่วงนี้เอ็งก็เอาแต่ก่อเรื่องไม่เว้นวัน” สายหยุดพูดไป มือก็ทำงานวุ่น พะยอมกวาดตามองภายในบ้าน ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อีก
“นี่อย่าบอกนะว่า ไม่มีไฟฟ้า!!” สายหยุดถอนหายใจ ก่อนจะละมือจากงานที่ทำอยู่ แล้วหันไปค้อนน้องสาว
“ไปไกล ๆ ไปพะยอม คนเหนื่อย ๆ เฝ้าเพ้อเจ้ออะไรอยู่ได้” ร่างบางพรวดพราดลุกยืนขึ้น จนพาให้พี่สาวตกใจไปด้วย
“อะไรอีก อ้าวอีพะยอม!! จะไปไหน!! อีพะยอม โว้ย!! อย่าไปก่อเรื่องอีกนะ อีพะยอม!!” น้องสาววิ่งลงจากบ้านมาโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของพี่สาวอีกแล้ว เธอวิ่งตรงไปยังสระน้ำที่อยู่ระหว่างบ้านของเธอกับบ้านของยายลำยง
ตูม!!!
เสียงวัตถุตกกระทบน้ำดังสนั่น พร้อมกับร่างของพะยอมที่จมหายลงไปในสระ
“อีพะยอม!!” สายหยุดรีบวิ่งลงจากบ้าน แล้วตรงไปยังสระน้ำทันที พูดไม่ทันขาดคำน้องสาวตัวดีของเธอก็ก่อเรื่องอีกแล้ว
“กรี๊ด” แต่เมื่อมาถึง กลับพบพะยอมยืนกรีดร้องอยู่ริมสระ เสื้อผ้าเนื้อตัวเปียกไปหมด
“เป็นบ้าอะไรเนี่ย”สายหยุดร้องถามผู้เป็นน้องสาว แต่คนถูกถามไม่ได้ให้คำตอบ ‘นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย ที่นี่มันที่ไหน มันเกิดอะไรขึ้น แล้วฉันเป็นใคร’ เธอเอ่ยถามกับตัวเองอยู่ในใจด้วยความสับสน