“หลบเร็ว!” วั่งซูตะโกนลั่น
เมื่อทุกคนเริ่มชะล่าใจหลังจากคิดว่าสามารถกำจัดผู้บุกรุกได้จนสิ้นซากและออกจากตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายฝนธนูห่าใหญ่ก็พุ่งตรงเข้ามาจนคนของตำหนักเทพที่อยู่ด้านนอกล้มลงไปกับพื้นคนแล้วคนเล่า
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว กลุ่มของผู้บุกรุกก็เข้ามาจากทางด้านหน้า คนของนางที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้มีเพียงข้ารับใช้จิปาถะ ส่วนองครักษ์มาจากความเป็นห่วงของคุณชายสือซึ่งดูจากจำนวนแล้วฝ่ายเราเป็นรองหลายส่วนเพราะคนเกือบครึ่งถูกดึงเข้าไปควบคุมสถานการณ์ในสำนัก
“วั่งซู!” เสียงหวานเอ่ยเรียกเมื่อเห็นว่าร่างสูงขององครักษ์หนุ่มขวางลูกธนูที่หมายเอาชีวิตนางเอาไว้จนหลังของเขามีศรปักอยู่ถึงสามแห่ง
“หนีไปก่อนขอรับ” แม้ไม่โดนจุดสำคัญแต่ว่านวั่งซูรู้ตัวดีว่าไม่อาจปกป้องหญิงสาวได้อย่างเต็มที่ การมีเขาอยู่จะยิ่งทำให้การหลบหนีช้ามากขึ้น ชายหนุ่มจึงตัดสินใจปักหลักขวางทางศัตรูไม่ยอมให้ใครผ่านไปได้ หากหม่าซือเมี่ยวข้ามไปยังฝั่งสำนักเถียนเจี๋ยไฉ่ได้ก็นับว่าปลอดภัยแล้ว
“เหม่ยจูพานางไป” เสียงทุ้มกลืนความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วออกคำสั่ง
“ท่านเทพทางนี้เจ้าค่ะ” มือเล็กของสาวใช้จับแขนเรียวของผู้เป็นนายไว้มั่น
“เดี๋ยวสิ!” จะให้ทิ้งคนที่พยายามปกป้องตนไว้แล้วหนีไปเพียงลำพังได้เช่นไรกัน
“หากท่านเป็นอะไรไปพวกเขาจะตายเปล่านะเจ้าคะ!” เหม่ยจูตวาด นางเองก็กลัวมากแต่เพราะกลัวจึงต้องพาเจ้านายหลีกหนีไปให้ไกลจากคนร้าย
“ห้ามตายเด็ดขาด ถ้าสู้พวกมันไม่ได้ก็หนี จำคำสั่งข้าเอาไว้” ร่างบางกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะถูกบ่าวตัวน้อยพาตัวออกไปทางด้านหลัง
“ขอรับ” ว่านวั่งซูยิ้มให้และมองส่งนางจนสุดสายตา
“หากท่านยังอยู่ข้าจะตายได้อย่างไรเล่า” เขาดึงศรที่ปักตามร่างกายออก จากนั้นจึงหันหน้าเข้าสู้กับศัตรูที่กรูเข้ามา
หญิงสาวทั้งสองวิ่งท่ามกลางความมืด ตำหนักเทพพยากรณ์ตั้งอยู่ตรงตีนเขาข้างสำนักเถียนเจี๋ยไฉ่ก็จริงแต่ต้องผ่านทางเข้าที่เป็นบันไดยาวอีกไม่น้อย พวกนางขึ้นมาได้ไม่ถึงครึ่งทางซือเมี่ยวก็รู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจ ด้านหลังไกลๆ มีเสียงการปะทะเป็นระยะๆ หากชะล่าใจว่าปลอดภัยแล้วมีแต่จะทำให้ศัตรูเข้าประชิดตัวได้โดยง่าย
สำนักเถียนเจี๋ยไฉ่ตอนนี้กำลังรับศึกหนักไม่แพ้กันทำให้เวรยามที่เคยเฝ้าหน้าประตูจึงว่างเปล่า
“ท่านเทพ ข้าว่าเราแยกกันไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะล่อมันไปเอง” เหม่ยจูเห็นว่าเป็นแบบนี้ต่อไปมีแต่จะตายทั้งคู่ หากแยกกันไปเจ้านายอาจพอมีทางรอด
“ไม่จำเป็นหรอก” หญิงสาวบอกปัดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ นางอ่านตอนนี้มาหลายครั้งอย่างไรเสียพวกนั้นก็จับตัวนางได้อยู่ดี หนีไปก็ทำได้เพียงยืดเวลาเท่านั้น
“ท่านเทพ…ที่จริงข้าเป็นคนวางยาท่านเองเจ้าค่ะ”
“!!!” สองขาเรียวหยุดเดินทันที นางมองใบหน้าของบ่าวสาวแสนซื่อสัตย์ที่คอยอยู่ข้างกายมาตลอด
“ผู้อาวุโสบอกข้าว่าท่านไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป ยาแค่นี้ไม่ทำให้ท่านเจ็บป่วยหรือตายได้ ข้าเองก็คิดเช่นนั้นจึงรับยาพิษมาโดยแลกกับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนในบ้าน บ่าวรับใช้ที่ทำร้ายเจ้านายไปครั้งหนึ่งแล้วครั้งนี้ให้ข้าปกป้องท่านเถิดเจ้าค่ะ” ขอบตาของเหม่ยจูแดงก่ำ ในอกเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ตนเองเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนถึงขั้นลงมือทำร้ายผู้มีพระคุณ ยิ่งตอนที่เห็นว่าซือเมี่ยวตายลงไปจริงๆ เหม่ยจูรู้สึกอยากตายตามไปเสียให้ได้ นางฆ่าเจ้านายตัวมือตนเองได้เช่นไร
“หากตอนนั้นข้าไม่ตายเจ้าจะทำยังไง” นางอาจเป็นภูตผีที่สวมหนังมนุษย์มาหลอกลวงผู้คนก็ได้ ถ้าพวกเขารู้ว่ายาพิษไม่อาจสังหารนางได้เท่ากับว่าข่าวลือเป็นจริง
“ข้าก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับตอนนี้เจ้าค่ะ” เหม่ยจูยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะดึงเอาผ้าคลุมหน้าของหม่าซือเมี่ยวออกมาสวมไว้ที่หน้าของตน ดวงตากลมของบ่าวตัวน้อยมองมายังใบหน้าที่ถูกซ่อนของหญิงสาวก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง
“นายหญิงของบ่าวงดงามเพียงนี้ไม่เห็นต้องสวมผ้าคลุมเลยเจ้าค่ะ อย่ายอมแพ้นะเจ้าคะหากหนีไปอีกทางคงสามารถซ่อนตัวในป่าจนถึงเช้าได้ หวังว่าเราจะได้พบกันอีกเจ้าค่ะ” นางพูดทิ้งไว้ก่อนที่จะวิ่งขึ้นบันไดยาวซึ่งทอดตัวไปถึงสำนักเถียนเจี๋ยไฉ่
ซือเมี่ยวมองไปยังป่าทึบก่อนออกวิ่งเข้าไป นิยายเรื่องนี้มันจะเป็นยังไงก็ช่างสิ! เนื้อเรื่องที่เคยอ่านมาจะเป็นยังไงแล้วมันจะทำไม ที่ผ่านมาเพราะยอมแพ้ต่อโชคชะตาถึงได้เป็นเครื่องมือให้คนอื่นใช้ตามใจชอบไม่ว่าสมาคมจะสั่งอะไรนางก็ทำตามโดยไม่อิดออด เอาแต่มีชีวิตเพื่อรอให้เขาป้อนคำสั่งมาให้เพราะมันง่ายกว่าการขัดขืน ที่ต้องเสียเข่อซิงไปก็เพราะตัวนางที่ยอมให้พวกเขาทำกับตนเองเฉกเช่นสิ่งของไร้ความนึกคิด
‘ ฉันจะไม่เป็นคนแบบนั้นอีก อนาคตจะเป็นเช่นไรตัวฉันเท่านั้นที่มีสิทธิ์กำหนด!’
“ตามไป! นางวิ่งไปทางนั้นแล้ว” เสียงของผู้บุกรุกดังไล่หลังมาทำให้ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำอีกครั้ง
“ด้านนั้นมีเสียงฝีเท้าให้ตามไปหรือไม่ขอรับ” ชายผู้หนึ่งชี้ไปทางชายป่าพวกเขาได้ยินเสียงใบไม้แห้งถูกเหยียบเป็นจังหวะเดาได้ว่ามีใครคนหนึ่งเพิ่งผ่านบริเวณนี้ไป
“ไป! แยกกันไปจับตัวเทพพยากรณ์มาให้ได้”
“ขอรับ!” ชายผ้าสีสว่างของเหม่ยจูเป็นตัวล่ออย่างดีทำให้คนกลุ่มใหญ่วิ่งขึ้นบันไดยาวหมายจับตัวเป้าหมายเหลือไว้เพียงกลุ่มเล็กที่วิ่งตามซือเมี่ยว
เส้นทางด้านในป่าไม่ง่ายที่จะลากชายกระโปรงยาวและวิ่งไปพร้อมกันได้ ต้นไม้ก็ขึ้นไม่เป็นระเบียบจนหญิงสาวต้องคอยหลบซ้ายขวา ตอนนี้อย่าว่าแต่ดูทิศทางเลย…แค่วิ่งให้ตรงก็ยากแล้ว
“แฮ่กๆ” คนตัวเล็กเริ่มหายใจไม่ทัน สองขาก็ก้าวช้าลงไปทุกทีสวนทางกับเสียงฝีเท้าของศัตรูที่ตามมาจนใกล้ประชิดตัว
ถึงจะบอกให้หาที่ซ่อนก็เถอะ เสื้อขาวสว่างซึ่งสะท้อนแสงจันทร์ยามค่ำคืนตอนนี้ไม่เหมาะกับการหลบหนีเลยสักนิด
“ลองกันสักตั้ง แฮ่กๆ”
กลุ่มของศัตรูที่ตามมามีด้วยกันสามคน พวกเขาลดความเร็วลงเมื่อเสียงฝีเท้าของเป้าหมายเงียบหายไป เป็นไปได้ว่านางอาจซ่อนตัวอยู่แถวนี้
พลั่ก!
“อั่ก!” ไม้ท่อนใหญ่ฟาดเข้าเต็มท้ายทอยของชายฉกรรจ์คนหนึ่งจนล้มลง เมื่อหันมาก็พบว่ามีหญิงสาวที่งดงามที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็น ถ้าไม่ติดว่านางถือไม้อันใหญ่ท่อนหนึ่งไว้พวกเขาคงคิดว่าเป็นเทพเซียนเสียด้วยซ้ำ นางโยนของกลางในมือทิ้งก่อนดึงกระบี่ของศัตรูที่ตนจัดการได้ออกมา
“เจ้าคือเทพพยากรณ์หรือบ่าวรับใช้ของนางกัน” ชายอีกสองคนเดินเข้ามาใกล้ ยิ่งเมื่อเห็นชายผ้าของชุดสีขาวขาดออกจนมิอาจปกปิดเรียวขาขาวผ่องได้มิดยิ่งทำให้พวกเขาลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหื่นกระหาย
“มีข่าวลือว่าเทพพยากรณ์เสียโฉมจนต้องปกปิดใบหน้าไว้ นางงามขนาดนี้คงไม่ใช่หรอก” อีกคนเป็นฝ่ายตอบเนื่องจากอยากทำอย่างอื่นมากกว่าการจับกุม
“เช่นนั้นก็ดีสิ” ใบหน้าละโมบอันเต็มไปด้วยตัณหาตอบรับด้วยความตื่นเต้น
“….” ประสาทสัมผัสของซือเมี่ยวรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามจากชายตรงหน้า ร่างเล็กกำด้ามกระบี่เล่มไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ตอนนี้เป็นอาวุธเพียงหนึ่งเดียวเอาไว้แน่น
เมื่อศัตรูขยับเข้าใกล้นางจึงพุ่งตรงเข้าไปหมายโจมตีตามสัญชาตญาณ กระนั้นของมีคมในมือกลับสั้นกว่าที่คิดเอาไว้ ความไม่คุ้นชินทำให้หญิงสาวกะระยะพลาด แต่โชคยังเข้าข้างเมื่อศัตรูประมาทเพียงเพราะเห็นว่านางเป็นสตรีจนไม่ได้หยิบอาวุธออกมาปัดป้อง
“อึ่ก! ทำแสบนักนะ” อาวุธเงินตวัดโดนข้างไหล่จนได้แผล หากไม่เบี่ยงตัวหลบมันคงทะลุอกซ้ายของเขาไปแล้ว