แม้ร่างกายจะเคลื่อนไหวช้ากว่าที่คิดและอาวุธในมือก็หนักมากกว่าดาบเซเบอร์ที่นางเคยถือเกือบสามเท่า ดีแล้วจริงๆ ที่โชคช่วยไว้ หวังว่านางจะยังใช้แต้มบุญไม่หมดหรอกนะ มิเช่นนั้นครั้งนี้คงรอดได้ยาก
“ถ้าไม่เข้ามาข้าจะเข้าไปเอง” ศัตรูกล่าวก่อนดึงเอากระบี่ของตนออกมาและตั้งท่าจู่โจม พวกเขาเป็นชายทั้งแท่งแต่โดนสตรีบอบบางโจมตีด้วยท่าประหลาดทำให้ได้แผล ศักดิ์ศรีในฐานะศิษย์สำนักใหญ่พลันด่างพร้อยจนไม่มีหน้าไปสู้ใคร
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาจากสำนักหมิงเต๋อ” คนตัวเล็กพูดขึ้นเพื่อดึงความสนใจจากอีกฝ่าย ให้ปะทะกันตรงๆ นางในตอนนี้ไม่มีทางเอาชนะได้แน่
“…” ชายให้ชุดดำมองกันไปมาอย่างคาดไม่ถึง
“ถ้าจับตัวเป้าหมายได้ สิ่งที่เจ้าต้องเผชิญหลังจากนี้มีแต่หายนะ พวกเจ้าจะถูกปราบจนชื่อของสำนักถูกลบหายไปจากบันทึก ตระกูลที่ร่วมก่อตั้งจะพบกับความล่มสลาย เงินทองที่ขวนขวายมาได้ทั้งชีวิตจะหายไปโดยไม่ทันได้ใช้ ต้องเป็นทาสรับใช้แผ่นดินไปชั่วลูกชั่วหลาน”
“หึ คำข่มขวัญแค่นี้ต่อให้ไม่ต้องเป็นถึงเทพพยากรณ์ก็พูดได้ คิดว่าพวกข้าจะเชื่อรึ”
“สำนักของเจ้าอับจนหนทางถึงต้องทำเรื่องเช่นนี้เนื่องจากไม่มีเงินสนับสนุน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาภารกิจมากมายก็ผิดพลาดไม่ประสบความสำเร็จสักครั้ง วันนี้เจ้าอาศัยการปะทะกันของจางหย่งฟู่และสือเฟิงเหมียนเพื่อหาทางเอาตัวเทพพยากรณ์มา ไม่มีเรื่องใดที่ข้าไม่รู้หากเจ้าคิดจะมาแตะต้องตัวข้า สาบานได้เลยว่าข้าจะสาปแช่งให้เจ้าตายตกไปตามกัน!” เอาวะ เรื่องกำลังสู้ใครไม่ได้อยู่แล้ว แต่เรื่องฝีปากตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหม่าซือเมี่ยวจะไม่ยอมเป็นสองรองใครเด็ดขาด
“เอาตัวนางมา!”
เคร้ง!
“ลงมือกับสตรีไม่มีทางสู้แบบนี้เจ้าไม่อายบ้างรึไง” ถึงแม้ว่าซือเมี่ยวจะเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมความเท่าเทียมของชายหญิงแต่ครั้งนี้ขอเว้นไว้หน่อยเถอะ!
“การที่ต้องมาบาดเจ็บเพราะคู่ต่อสู้เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ต่างหากที่ต้องอาย”
หางตาของหญิงสาวเห็นอีกคนที่ดูสถานการณ์อยู่ข้างหลังค่อยๆ ขยับออกจากพื้นที่ นั่นมิใช่ว่าเขาจะถอนตัวแต่เลือกอ้อมมาประกบนางทั้งสองด้านต่างหาก
“เจ้ายังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นบุรุษได้ยังไง!”
“แม่นาง เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้ว่าข้าเป็นบุรุษจริงหรือไม่”
คนงามควงกระบี่ในมือเกี่ยวอาวุธของอีกฝ่ายเป็นวงพระจันทร์เสี้ยวก่อนออกแรงในจังหวะที่ข้อมือของเขาหมุนเกินธรรมชาติทำให้กระบี่หล่นลงพื้น นางรีบอาศัยจังหวะนั้นแทงเข้าที่น่องของศัตรูทันทีแล้ววิ่งหนีออกมา แต่ขณะที่มัวระวังด้านหลังจนไม่ได้มองด้านหน้าทำให้ชนกับบางสิ่งเข้าเต็มแรง กลิ่นจันทน์หอมลอยมาแตะจมูกระคนกับความอุ่นร้อนของอุณหภูมิจากกายเนื้อ นางชนเข้ากับใครบางคน….
ร่างบางถูกดึงเข้าไปไว้ข้างกายของอีกฝ่าย มืออีกข้างของเขากำกระบี่ที่ชุ่มไปด้วยเลือดไว้แน่น
“วันนี้มันวันอะไรของข้ากันนะ” เจ้าของอกแกร่งที่หญิงสาวชนเข้าเต็มเปาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกติซือเมี่ยวค่อนข้างมั่นใจกับสัมผัสการเคลื่อนไหวโดยรอบของตนเองมาก แต่กับชายตรงหน้าแค่ลมหายใจนางก็จับทางไม่ได้
“จะ เจ้า!” คนของสำนักหมิงเต๋อมองมาด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ข้าไม่มีอารมณ์ออกแรงตอนนี้ พวกเจ้าอยากกลับไปด้วยร่างกายที่มีแขนขาครบหรือจะไปแต่วิญญาณ” คนสำนักหมิงเต๋อมองหน้ากันก่อนที่จะพยักหน้าและถอยห่างออกไป
วงแขนที่โอบรอบร่างเล็กคลายตัวออก ซือเมี่ยวค่อยๆ เว้นระยะจากบุรุษที่เข้ามาช่วยตนเอาไว้ ลึกในใจรู้ดีว่าไม่ควรเงยหน้าขึ้นมองแต่นางก็เผลอสบตาเขาจนได้ เจ้าของกลิ่นหอมนวลคล้ายแป้งเมื่อเข้าใกล้จะสัมผัสได้ถึงความหวานแตะจมูกแต่ไม่ฉุนจนปวดหัว ให้ความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวล ผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความหรูหราในคราเดียวกัน ไม่บอกก็รู้ได้เลยว่าเขาคือผู้ใด
เส้นผมสีดำสนิทยาวถูกรวบสูงไว้ด้านหลังกวานสีเงินเพื่อความคล่องตัวเวลาต่อสู้ จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วเข้ม ริมฝีปากเหยียดตรง ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมที่โหดเหี้ยมเย็นชาเพียงแค่มองมาก็รู้สึกเหมือนมีคมดาบจ่อลำคอตลอดเวลา หากได้เห็นเพียงภาพวาดก็คงคิดว่าเขาช่างเป็นบุรุษที่หล่อเหลาเกินสามัญไปมากแต่นั่นเพราะภาพมิอาจเก็บเอาจิตสังหารที่เขาแผ่ออกมาเอาไว้ได้
หลังจากการปรากฏตัวของชายตรงหน้าทำให้อากาศรอบตัวหนักขึ้นจนหายใจลำบาก เขามีบรรยากาศที่ตรงข้ามกับสือเฟิงเหมียนทุกประการนามนั้นคือ ‘จางหย่งฟู่’ ตัวร้ายหลักของเรื่องนี้!
สองเท้าของคนงามร่นตัวถอยทันที นางคงเป็นลูกชังของสวรรค์จริงๆ หนีตัวร้ายประจำบทมายังไม่ทันพ้นดันมาเจอลาสบอสที่กำลังทำหน้าตาบุญไม่รับอยู่ด้วย
“….” ไร้คำพูดใดจากจางหย่งฟู่มีเพียงสายตาแข็งกร้าวยากเกินเดาใจเท่านั้นที่ส่งมา
“บุญคุณที่ท่านช่วยข้าเอาไว้ ข้าจะชดใช้ให้ครั้งหน้า” ที่จริงนางอยากบอกว่าชาติหน้ามากกว่า ขอบคุณเรียบร้อยแล้วร่างบางกำลังจะปลีกตัวออกไปแต่แสงสว่างหนึ่งก็ดังขึ้นบนท้องฟ้า
‘สัญญาณแสง’
คนที่จางหย่งฟู่ปล่อยไปเมื่อครู่ส่งสัญญาณเรียกกองหนุนให้เข้ามายังป่าแห่งนี้ส่วนหนึ่งคงเพื่อจับตัวนางไปและอีกส่วนก็เพื่อรับมือกับเขา
“เห็นทีเจ้าจะติดค้างบุญคุณข้าอีกมากแล้วล่ะเทพพยากรณ์ของเฟิงเหมียน” เสียงทุ้มดังข้างหูในระยะประชิดก่อนที่หญิงสาวจะถูกหิ้วพาดบ่าไปไม่ต่างกับสัมภาระชิ้นหนึ่ง
“ปล่อยข้านะ!” ซือเมี่ยวโวยวายทันที ใจหนึ่งก็พยายามไม่คิดอะไรมากแต่มือเย็นของเขากำลังโดนต้นขาของนางอยู่
“อยากไปกับพวกหมิงเต๋องั้นรึ” เจ้าสำนักเวยอี้เอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“ไม่อยากไป” แต่ก็ไม่อยากไปกับเขาด้วย....
“งั้นก็หุบปาก” ว่าจบร่างสูงก็วิ่งออกไปก่อนที่กำลังเสริมของศัตรูจะตามมาสมทบ ทุกย่างก้าวพยายามวางฝีเท้าให้เบาที่สุดเพื่อไม่ทิ้งร่องรอยให้ฝ่ายตรงข้ามสะกดรอยตามมาได้ แต่แรงกระแทกที่คนตัวเล็กได้รับก็หนักหนาพอดู
“เลือดข้าลงหัวหมดแล้ว!” มือน้อยตีแผ่นหลังกว้างประท้วงจนกระทั่งพบว่ามือของนางเต็มไปด้วยเลือดซึ่งมาจากบาดแผลของจางหย่งฟู่ เขากำลังบาดเจ็บอยู่
“ปัญหาเยอะจริง”
“อ๊ะ!” เจ้าของคำตำหนิเมื่อครู่ดึงร่างบางลงต่ำแล้วใช้แขนข้างหนึ่งรองใต้ก้นนุ่ม สองแขนเล็กของเทพพยากรณ์สาวจึงต้องโอบรอบคอแกร่งไว้อย่างไม่มีทางเลือก นี่มันช่างเหมือนเด็กน้อยกำลังถูกผู้ใหญ่อุ้ม…
“เดี๋ยว นี่ท่านจะไปทางนี้จริงรึ!?” พอได้เปลี่ยนท่าทำให้นางได้เห็นว่าเบื้องหน้าที่พวกเรากำลังไปนั้นคือสะพานไม้เก่าๆ ซึ่งแขวนตัวระหว่างเขาสองลูกที่เดิมทีอาจใช้สัญจรไปมาทว่าสภาพของมันในเวลานี้คาดเดาได้ว่าไม่มีคนใช้แล้วแน่นอน
พื้นไม้ที่ใช้เหยียบผุพังลงไปเกินครึ่ง เวลาลมพัดยังไม่วายส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่ากลัวเหมือนเชือกเส้นหนาที่คอยรับน้ำหนักสะพานเอาไว้กรีดร้องให้ปลดประจำการมันเสียที เบื้องล่างเป็นหุบเขาที่สูงชันมากเสียจนมองไม่เห็นพื้นดินด้านล่าง ไม่อยากจะจินตนาการว่าถ้าตกไปจะเกิดอะไรขึ้น
“เจ้าเป็นเทพพยากรณ์มิใช่รึ เหตุใดไม่ลองทำนายดูเล่า ข้าก็อยากจะรู้ยิ่งนักว่า เรา จะรอดราตรีนี้ไปได้หรือไม่” ใบหน้าหล่อเหลาหันมาตอบ เขาจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘เรา’ ออกมาด้วยใบหน้าไม่สะทกสะท้าน
ระยะห่างไม่ถึงคืบระหว่างใบหน้าของเขาและนางทำให้หัวใจของร่างบางเต้นระรัว แต่อาจมิใช่เพราะความวูบไหวที่สตรีมีต่อบุรุษแต่เป็นความหวาดกลัวเสียมากกว่า