“…” สือเฟิงเหมียนมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสีหน้าอ่านยาก
“ท่านก็หลีกทางให้สิ ข้าจะได้ไปเสียที” จางหย่งฟู่เสนอ
“วันนี้หากเจ้าไม่ได้แผลกลับไปชื่อของสำนักคงมัวหมองและข้าคงยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้” เฟิงเหมียนกำกระบี่ในมือแน่นหมายโจมตี
“หึ เช่นนั้นก็เข้ามา” จบคำ บุรุษผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์ก็เข้าโจมตีผู้บุกรุกหนักมือกว่าเดิม เพลงกระบี่มากมายที่ตนฝึกฝนมาตลอดจนถึงตอนนี้ถูกงัดออกมาต่อกรกับเจ้าสำนักเวยอี้ อีกฝ่ายรับเพลงกระบี่ปราดเปรียวของเขาได้ทันควันเพราะมันเป็นกระบวนท่าที่หย่งฟู่เคยเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กจึงรู้ว่าควรหลบหลีกเช่นไร เพียงแต่จะหาทางโต้กลับก็ยากเกินไปเพราะคนตรงหน้าเป็นอัจฉริยะที่ไร้จุดอ่อนจนใกล้เคียงกับคำว่าไร้เทียมทาน
ดูแล้วค่ำคืนนี้คงไม่ง่ายที่จางหย่งฟู่จะออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
ตำหนักเทพพยากรณ์
หลังจากที่สือเฟิงเหมียนออกไปได้ไม่นานเจ้าของตำหนักก็ได้มีเวลาทบทวนอดีตที่ผ่านมาและเรียบเรียงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดในอนาคต การกลับโลกเดิมกลายเป็นประเด็นรองเพราะสิ่งแรกที่นางต้องทำก็คือหาทางให้ตนเองไม่ตายเสียก่อน
การที่ตนมาอยู่ในร่างของหม่าซือเมี่ยวเวลานี้ทำให้ไม่มั่นใจว่าร่างทองของนางเอกไม่สามารถบุบสลายได้จริงหรือไม่ ยิ่งกว่านั้นตามที่เสี่ยวจิ่วเคยบอกไว้ว่ามีการเปลี่ยนเนื้อเรื่องและมันก็เป็นส่วนที่ยังไม่ได้อ่าน
‘สวรรค์ใจร้ายกับฉันจริงๆ ให้มาเข้าร่างคนตายไม่พอ เนื้อเรื่องก็ไม่เหมือนที่เคยอ่าน แบบนี้ไม่เห็นใจกันบ้างเลย’ ซือเมี่ยวตัดพ้อด้วยความหดหู่
ที่ผ่านมาเห็นนิยายหลายเรื่องเขียนให้นางเอกทะลุมิติมามีทั้งความทรงจำและรู้เนื้อเรื่องล่วงหน้าทำให้มีแต้มต่อตั้งเยอะ ยิ่งกว่านั้นร่างที่มาอยู่บางทีก็เก่งกาจราวกับเป็นลูกรักของนักเขียน ตัดภาพมาเป็นนางในตอนนี้สิ! หม่าซือเมี่ยวว่าง่ายๆ ก็คือหมอดูนั่นแหละ ร่างกายก็อ่อนแอจนเคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจแค่คิดก็อยากจะร้องไห้แล้ว
การที่ต้องคอยหลบอยู่ข้างหลังสือเฟิงเหมียนตลอดอาจมิใช่หนทางที่ฉลาดเท่าไหร่นัก ชายผู้นั้นหากรักนางจริงเหตุใดไม่ตบแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวแต่กลับลักลอบมีสัมพันธ์ทำให้ศักดิ์ศรีนางต้องมัวหมอง
“เฮ้อ” ถ้าดูจากการที่เหม่ยจูยังรับใช้นางอยู่ก็เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ถูกสำนักอื่นลักพาตัวไปเพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถของนางยังไม่เกิดขึ้น
การถูกลักพาตัวไปครั้งนั้นนับเป็นช่วงที่เนื้อเรื่องเข้มข้นจนนักอ่านถึงกับปวดใจ บ่าวสาวถูกสังหารเพื่อช่วยให้ซือเมี่ยวหนีออกไปได้แต่สุดท้ายไม่กี่อึดใจต่อมานางก็ไม่รอดเงื้อมมือของศัตรูอยู่ดี ขณะที่ถูกจับตัวไปเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่สุดของนางเลยก็ว่าได้ ทั้งถูกทรมานให้อดอาหารและขังไว้ในห้องมืด ร่างกายและจิตใจเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แม้กลับมาได้ก็มิอาจคงสถานะสูงศักดิ์ดังเดิมได้อีก
ผู้คนต่างคิดกันไปว่านางมัวหมองและไม่คู่ควรจะเป็นเทพพยากรณ์ผู้ชี้ชะตาของแผ่นดินอีกต่อไป เวลานั้นมีเพียงสือเฟิงเหมียนที่ไม่สนใจว่าใครจะนินทาว่าร้ายเช่นไรและยังปฏิบัติกับนางด้วยดีดังเดิม ก็นับถือใจของเฟิงเหมียนอยู่หรอกแต่เขาอาจเป็นเพียงคนดีมิใช่คนรัก...
ร่างบางลุกออกจากเตียงตัวยาวเพื่อสำรวจห้องเจ้าของร่าง จะพึ่งพาแต่คนอื่นคงไม่ได้นางต้องปกป้องตนเองได้ด้วย
ดวงตาคู่สวยสะดุดเข้ากับกระบี่สีขาวบริสุทธิ์ตั้งแต่ปลอกยาวไปถึงพู่ห้อย ด้ามจับเป็นสีเงินประดับไปด้วยอัญมณีสีใสคล้ายแก้วดูแล้วมิพ้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ซึ่งควรค่าแก่การกราบไหว้มากกว่าจะเป็นอาวุธ
มือเล็กเอื้อมเข้าใกล้หมายหยิบออกจากแท่นวาง ความเย็นเฉียบของกระบี่แผ่ซ่านเข้ามาทุกอณูของฝ่ามือ เมื่อพยายามดึงขึ้นก็พบว่าน้ำหนักของมันมากเกินกว่าจะสามารถกวัดแกว่งได้
ในชีวิตก่อนนางเป็นนักฟันดาบสายเซเบอร์ ดาบที่เคยผ่านมือมีน้ำหนักไม่เกิน 500 กรัม ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่ามันไม่ได้มีพื้นฐานมาจากอาวุธของเหล่าบรรพบุรุษ ไม่รู้ว่านักรบทั้งหลายถือมันต่อสู้ในสนามรบได้อย่างไร
เมื่อชักออกจากฝักก็พบกับตัวกระบี่สีเงินเหลือบทองเงางามคมกริบ อาจเพราะโลหะที่ตีขึ้นมานั้นมีส่วนประกอบของทองเจือปนเพื่อความหรูหรา ส่วนน้ำหนักกะคร่าวๆ แล้วคงไม่ต่ำกว่า 5 กิโลกรัม
พรุ่งนี้เช้าหากเรื่องวุ่นวายที่เถียนเจี๋ยไฉ่ผ่านพ้นไปได้คงต้องขอให้พวกเขาตีกระบี่ให้นางสักเล่ม หากเปลี่ยนโลหะเป็นเงินทั้งหมดและรีดให้บางเฉียบคงลดน้ำหนักที่มากเกินไปจนร่างกายนี้สามารถกวัดแกร่งมันได้อีกครั้ง
ปึก ปึก ปึก
ขณะกำลังคิดอะไรเพลินๆ ด้านบนเกิดเสียงของการลงน้ำหนักบางอย่าง ร่างบางรีบสวมผ้าคลุมหน้าในทันที ประสาทสัมผัสของหญิงสาวดีกว่าคนธรรมดาทั่วไปเพราะการฝึกฝนเพื่อรับมือกับคู่ต่อสู้ที่ไม่รู้ว่าจะพุ่งดาบเข้าเป้าตอนไหน การสังเกตเรื่องเล็กน้อยของบรรยากาศรอบด้านเองก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่นางพอจะทำได้ในตอนนี้
“วั่งซู” นางแง้มประตูออกเพียงเล็กน้อยก่อนจะเรียกองครักษ์หน้าห้องด้วยเสียงเบาราวกระซิบ
“ขอรับ” ชายหนุ่มขานรับ
“ตอนนี้มีคนประมาณห้าคนอยู่บนหลังคา” บริเวณที่พวกนางยืนมีชายคาคอยบังเอาไว้ทำให้คนด้านบนไม่อาจมองเห็นการเคลื่อนไหวของคนด้านล่าง เพียงแต่หลังจากตรงนี้ไปจะเป็นทางเดินยาวหากก้าวออกไปพวกเขาต้องเห็นเป็นแน่
“นายหญิงรู้ตัวด้วยหรือขอรับ” เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปแสดงว่าเรื่องผู้บุกรุกเจ้าตัวคงรู้อยู่ก่อนแล้ว
ด้านวั่งซูเขาได้รับแจ้งว่าพบเห็นผู้บุกรุกมาจากพลธนูซึ่งซ่อนตัวอยู่บนหอสังเกตการณ์ขนาดย่อมของตำหนักน้อยหลังนี้ แต่เรื่องที่นายหญิงของตนรู้กระทั่งอีกฝ่ายมีจำนวนกี่คนทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย
“เรื่องนั้นหาใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้ามีวิธีรับมือแล้วใช่หรือไม่” คนตัวเล็กเอ่ยถามโดยไม่คิดอธิบายให้ยุ่งยาก
“ขอรับ” อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนที่ลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งยกขึ้นเป็นสัญญาณให้คนที่ซุ่มอยู่ตรงหอสังเกตเห็น
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ไม่กี่อึดใจลูกธนูพุ่งมาจากทางโถงด้านหน้าก่อนร่างของผู้บุกรุกจะร่วงหล่นจากหลังคา เสียงบางสิ่งกระทบพื้นทยอยดังครบห้าครั้งในไม่กี่อึดใจ
“ทำท่านกลัวรึเปล่าขอรับ” ร่างสูงเบื้องหน้านางเอ่ยถาม เขาพยายามยืนบังไม่ให้ซือเมี่ยวเห็นร่างของผู้เสียชีวิต
“มะ ไม่หรอก” ความจริงแล้วหญิงสาวตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย คนเราฆ่ากันให้ตายได้ง่ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ตอนที่เป็นคนอ่านไม่เคยรู้สึกถึงความน่ากลัวมาก่อนจนกระทั่งเห็นร่างมนุษย์ที่มีธนูดอกยาวปักศีรษะไหลหล่นลงสู่พื้นต่อหน้าต่อตา
“ข้าจะให้คนรีบมาเก็บไปขอรับ เหม่ยจูอยู่เป็นเพื่อนนายหญิงที” ประโยคหลังเขากล่าวกับบ่าวตัวน้อยซึ่งวิ่งออกมาจากที่ปลอดภัยหลังจากมือธนูจัดการผู้บุกรุกได้
“ท่านเทพอย่ามองเลยเจ้าค่ะ” นางวิ่งเข้ามายืนข้างเจ้านายที่จริงนางก็ไม่อยากเห็นเช่นกัน ภาพของโลหิตสีแดงฉานไหลออกมาจากร่างไร้ลมหายใจของศัตรูเจิ่งนองรอบสวนหิน บางคนเบิกตาโพลงอย่างน่าสยดสยอง บางคนมีกระดูกทิ่มแทงออกมาจนเนื้อเหวอะหวะ ภาพนี้คงติดตาไปอีกนาน
“ข้าไม่เป็นอะไร”
ผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป (1 ชั่วโมง) ด้านนอกยังคงวุ่นวายเนื่องจากพวกเขาพยายามค้นหาว่าคนพวกนี้มาจากสำนักไหนเพื่อจะได้เอาผิด
“ไม่มีสังกัดขอรับ อาจเป็นกองกำลังรับจ้าง พวกเราจะขนศพไปตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง” ทหารด้านนอกแจ้งกับวั่งซูที่ดูแลสถานการณ์
“ไม่ พวกเขามาจากสำนักหมิงเต๋อ พวกเจ้าควรระวังให้มากเป็นไปได้ว่าอาจมีผู้บุกรุกมากกว่าที่เราพบ” หากวันนี้กลุ่มสำนักหมิงเต๋อต้องการจะจับตัวเทพพยากรณ์จริงพวกเขาต้องส่งคนมามากกว่านี้แน่และเรื่องคงไม่จบง่ายดายเช่นนี้
คนงามครุ่นคิดว่ามีอะไรที่ตนกำลังมองข้ามหรือไม่ ก่อนอื่นเนื้อเรื่องหลักเปลี่ยนไปแทบทั้งหมดตั้งแต่การตายของหม่าซือเมี่ยวและถ้าเรื่องครั้งนี้คนที่หมายชิงตัวนางทำไม่สำเร็จจะยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องที่นางคิดไว้นั้นถูกต้อง