ตอนที่ 2 ร่วงหล่นสู่ความมืดมิด

1809 คำ
ตอนนั้นคิดเอาไว้ว่าชื่อนี้หมายถึงดาวเหนือต่อให้พวกเราต้องผลัดพรากจากกันไปน้องสาวคนนี้ก็ยังคงเป็นดั่งดาวนำทางให้ได้มาพบกันอีกครั้ง ‘โถ่พี่ล่ะก็ เป็นชื่อที่ธรรมดาจริงๆ เลยนะคะ แต่… หากหนูได้เป็นนักเขียนจริงๆ หนูจะใช้มันค่ะ’ คนตัวเล็กรับปากด้วยรอยยิ้ม สิ่งเดียวที่ทำให้หวังอันฉีคอยตามเรื่องราวของนิยายเรื่องนั้นรวมถึงการประกาศออกสื่อว่าเธอเป็นแฟนตัวยงมาตลอดเป็นเพราะนามปากกาของคนเขียนที่เจ้าตัวคิดว่าคือ เป่ยจี๋ซิงน้องสาวของเธอ…. “โค้ชคะเรื่องของนักเขียนคนนั้นที่ฉันรบกวนให้ตามข่าวไม่ทราบว่าเรานัดเธอได้ไหมคะ ฉันอยากพบเธอมากจริงๆ” หญิงสาววิ่งไปหาโค้ชผู้เคยรับปากช่วยเหลือในการตามหานักเขียนที่ไม่มีช่องทางติดต่ออื่นนอกจากบล็อกที่เจ้าตัวใช้ลงผลงาน “ผมติดต่อนักเขียนท่านนั้นไปแล้ว แต่…” “แต่อะไรเหรอคะ เราไปพบเธอวันนี้เลยได้ไหมคะ นะคะ ได้โปรดเถอะค่ะ” อันฉีพยายามอ้อนวอน ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังร่ำร้องจนรู้สึกใจคอไม่ดี “เข้าใจแล้ว ผมจะพาไปหลังจากงานรับรางวัลนะ ไปเตรียมตัวเถอะ วันนี้เป็นวันสำคัญของนักกีฬาทุกคน ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีโอกาสครั้งที่สองเข้ามาหรือไม่ ผมอยากให้เธอจดจำช่วงเวลานี้เอาไว้” โค้ชหนุ่มรับปากก่อนจะดันหลังของหวังอันฉีให้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อเก็บเอาความทรงจำแสนมีค่าของชัยชนะครั้งนี้เอาไว้ ภายในวันเดียวกันนั้นหวังอันฉีไม่ได้ไปพบผู้สนับสนุนและสมาคมอย่างที่ควรจะเป็น เธอทำเพียงส่งเหรียญรางวัลล่วงหน้าไปก่อนพร้อมทั้งแจ้งว่ามีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจึงขอเข้ารับการรักษา หลังจากจัดการตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วจะเดินทางไปสมาคมนักกีฬาอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันรถคันหรูขับออกจากสถานที่จัดการแข่งขันและตรงไปยังที่แห่งหนึ่ง ภายในรถมีเพียงนักกีฬาสาวผู้เป็นที่จับตามองของสำนักข่าวและโค้ชประจำตัวของเธอ “ที่นี่เหรอคะ?” ชานเมืองอันเงียบสงบไร้ผู้คนมีป้ายชื่อมากมายและกลิ่นธูปหอมโชยอ่อนมาตามลม หวังอันฉีใจสั่นยิ่งกว่าตอนแข่งขันแต่ก็ยังปลอบตนเองว่าเข่อซิงอาจจะทำงานที่นี่หรือไม่น้องสาวคงมาพบใครบางคนก็ได้ “เธออยู่ที่นี่ครับ ผมจะพาไป” มือหนาเอื้อมมาดึงเอามือเล็กเย็นเฉียบของหญิงสาวไปกุมไว้หลวมๆ อย่างให้กำลังใจก่อนจะเดินนำทางไป สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาแต่สองหูของอันฉีอื้อไปหมดจนได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามอยู่ตรงอกข้างซ้าย ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อสองเท้ามาหยุดลงยังที่หมาย “ผมตามหานักเขียนตามคำขอของเธอแล้ว แต่วันที่เราไปพบเด็กคนนี้ก็อยู่ในโรงพยาบาลด้วยลมหายใจที่โรยริน ที่ผ่านมานิยายเหล่านั้นเธอเขียนมันที่โรงพยาบาลมาโดยตลอด ผม…” โค้ชหนุ่มพยายามจะหายใจให้เป็นปกติ เขารู้ดีว่าทำไมอันฉีถึงอยากพบเด็กสาวคนนี้ อีกฝ่ายเองก็คงอยากพบเธอมากเช่นกัน ในห้องผู้ป่วยเต็มไปด้วยรูปภาพของนักกีฬาที่ยืนอยู่ข้างเขาเต็มไปหมดและมีรูปหนึ่งเป็นเด็กสองคนนั่งข้างกันมันคือรูปภาพที่เธอกอดมันเอาไว้แน่นจนลมหายใจสุดท้าย “…” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าหลุมศพของน้องสาวด้วยดวงใจหนักอึ้ง “อันฉี…” ที่จริงเขาคิดว่าจะถูกเธอโวยวายใส่ถึงเหตุผลที่ไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญให้เร็วกว่านี้ หากแจ้งก่อนสองพี่น้องอาจได้พบและบอกลากันในลมหายใจสุดท้าย โลกความเป็นจริงมันโหดร้ายกว่านั้นมาก ในฐานะโค้ชไม่สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้ เบื้องบนคอยบีบคอเขาอยู่ตลอดเวลา หวังอันฉีมีแววที่จะคว้าชัยชนะนับเป็นเด็กคนเดียวในรอบหลายปีที่พวกเขาเชื่อว่าเธอจะได้ครองเหรียญทองเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศ พวกเขาจึงไม่ต้องการให้มีสิ่งใดมาดึงเอาความสนใจของเธอไปจากการแข่งขันที่ใกล้เข้ามา แม้เรื่องนั้นจะหมายถึงชีวิตของเด็กอีกคนที่เป็นครอบครัวคนเดียวของอันฉีก็ตาม “ขอฉันอยู่กับน้องสาวสักพักนะคะ” เสียงหวานดูอ่อนแรงกว่าเดิมมาก “จะตำหนิผมก็ได้นะครับ ผมไม่ได้อยากจะปิดบังเพียงแต่...” “ฉันเข้าใจค่ะ ทางสมาคมคงอยากให้ฉันจดจ่อกับการแข่งขันมากกว่า พวกเขาไม่เคยเห็นฉันเป็นคนอยู่แล้วดังนั้นเวลานี้อย่างน้อยให้ฉันได้อยู่กับเธอสักพักเถอะค่ะ” “ครับ ผมจะไปเอาร่มมาให้นะครับ” เมื่อเห็นว่าอันฉีไม่มีท่าทีจะลุกออกจากบริเวณนี้แต่อย่างใดชายหนุ่มจึงอาสาไปเอาร่มที่รถมาให้แทน รอบบริเวณสายฝนเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฟ้าอยากร้องไห้เป็นเพื่อนกับเธอ “ขอโทษที่พี่มาหาช้าไปทำให้เธอรอนานขนาดนี้ พี่ขอโทษนะ ฮึกๆ” แม้กระทั่งรูปที่อยู่บนสุสานก็ยังเป็นภาพรอยยิ้มของเด็กสาวที่สดใสแม้เวลาจะผ่านมานับสิบปีแล้วก็ตาม สายฝนสาดเทลงมาจากบนท้องฟ้าหนักหน่วงมากขึ้นจนร่างกายรู้สึกราวกับมีเข็มนับพันทิ่มแทงทั่วร่าง น่าแปลกที่ความเจ็บปวดบนร่างกายห่างชั้นกับความเจ็บปวดในจิตใจหลายเท่า ภาพสุดท้ายที่หญิงสาวเห็นเป็นใบหน้าของโค้ชหนุ่มซึ่งวิ่งมาหาด้วยสีหน้าแตกตื่นพร้อมกับร่มในมือ ‘ทำไมถึงมองฉันด้วยสีหน้าตกใจขนาดนั้นกัน’ คำถามหนึ่งที่ไม่ได้พูดมันออกไปดังขึ้นในหัวก่อนทุกอย่างจะมืดลง ……………………………………………. ……………………………. …………. ‘มืดจัง... หายใจไม่ออกเลย’ รอบด้านเต็มไปด้วยความมืดแม้เปลือกตาของเจ้าของร่างจะลืมขึ้นแล้วก็ยังมองไม่เห็นสิ่งใด แขนขาหนักกว่าทุกครั้งราวกับไม่ใช่ร่างกายของตนเอง ปึก! เมื่อเอื้อมมือไปก็พบว่าเบื้องหน้ามีบางสิ่งกั้นขวางอยู่ เธอผลักมันออกสุดแรงก่อนที่แสงสว่างด้านนอกจะสาดส่องเข้ามาจนปรับสายตาไม่ทัน “ที่ไหนกันแน่เนี่ย” เมื่อเริ่มปรับสายตาให้เข้ากับความสว่างรอบด้านได้ อันฉีจึงเห็นว่ามันแปลกๆ ทั้งบรรยากาศและสถาปัตยกรรมที่ไม่คุ้นตาราวกับเป็นโรงแรมซึ่งอยู่มานาน แต่ทำไมสถานที่เก่าแก่ถึงยังดูใหม่เอี่ยมขนาดนี้ กลิ่นมวลบุปผาฟุ้งหอมรอบสารทิศ เมื่อก้มลงมองต่ำก็พบว่าด้านล่างเป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีพันธุ์ไม้หายากมากมายบานสะพรั่งเนืองแน่นจนไม่มีที่ให้ขึ้นแทรก ในขณะที่อันฉีกำลังจะลุกขึ้นจากเตียงแคบที่เจ้าตัวนอนอยู่ ใบหน้าของนางพลันซีดเผือด “อะ….อะไรกัน” มันคือโลงศพ นี่เธอออกมาจากโลงศพงั้นเหรอ คนเป็นๆ ที่ไหนจะไปนอนอยู่ในนั้นกันเล่า! ยิ่งเห็นร่างกายบอบบางของตนในชุดขาวโบราณ สติของอันฉียิ่งใกล้จะหลุดลอยเต็มที “ท่านเทพ?” เสียงหนึ่งเรียกขึ้นด้านหลังเสา เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นเด็กสาววัยประมาณ 15-16 ปี กำลังมองมาทางนางด้วยสีหน้าที่แยกไม่ออกว่าตกใจหรือหวาดกลัวทำเอาอันฉีมองผ่านไปด้านหลังว่ามีใครที่เด็กคนนั้นกำลังเรียกอยู่หรือไม่และพบเพียงความว่างเปล่า “เจ้ากำลังพูดกับข้างั้นรึ” หญิงสาวรีบเอามือขึ้นมาปิดปาก เธอไม่ได้มีเจตนาจะพูดคำโบราณออกมาเสียหน่อย ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ “บ่าวเห็นท่านเทพสิ้นใจไปแล้ว ผู้อาวุโสมากมายก็เข้ามาทำพิธีให้เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ บะ…บ่าวจะรีบไปแจ้งคุณชายสือนะเจ้าคะ!” เด็กสาวร้อนรนจนลิ้นพันกัน เหตุการณ์ตรงหน้ามันเกินกว่าสามัญสำนึกของคนปกติจะเข้าใจ “ช้าก่อน!” แม้ร้องห้ามไปก็ไม่ทันการเสียแล้ว เด็กนั่นวิ่งทะเล่อทะล่าออกไปโดยไม่สนใจคำกล่าวของนางแม้เพียงคำเดียว “ปวดหัวจัง” เมื่อกลับมาอยู่เพียงลำพังร่างบางจึงชันตัวขึ้นยืนก่อนจะเดินออกจากโลงศพสีงาช้าง ร่างกายหนักอึ้งทำให้ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบากจนซวนเซจะล้ม “นี่มัน” กระจกบานใหญ่ที่ติดประดับโถงหลังนี้เอาไว้กำลังสะท้อนภาพของร่างอรชรงดงามยิ่งกว่าภาพวาดใดที่อันฉีเคยพบเห็น สวยจนไม่รู้จะบรรยายออกมายังไง…. เพียงแต่ผ้าโปร่งบางที่ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งเอาไว้ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มยาวเลยกลางหลังเรียงตัวสวยราวกับเส้นไหม ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมซึ่งมีประกายแวววาวคล้ายดาวระยิบระยับนับพันด้านใน ไฝข้างดวงตาซ้ายทรงเสน่ห์รวมถึงคำที่บ่าวเมื่อครู่เรียกขานทำเอาสองขาของหญิงสาวอ่อนยวบลง นี่มันยิ่งกว่าความฝัน ความทรงจำในฐานะหวังอันฉียังคงตราตรึงอยู่ในหัวไม่หายไปไหน เมื่อวานเธอยังนั่งอยู่ที่หลุมศพของน้องสาวอยู่เลย หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งถึงอยู่ในสถานที่อื่นไปได้ ความทรงจำอื่นใดก็ไม่มีหลงเหลือไว้ให้มิใช่ว่าเจ้าของร่างกายนี้ตายไปแล้วจริงๆ หรอกนะ “นายหญิง” เสียงทุ้มหนึ่งเอ่ยทักพร้อมกับวงแขนแข็งแกร่งประคองเอวคอดเอาไว้ไม่ให้ล้ม “คือข้า…” ร่างบางเอ่ยเสียงสั่นก่อนที่จะถูกเจ้าของแขนกำยำที่ประคองไว้เมื่อครู่ช้อนตัวขึ้นจนศีรษะของนางซบลงข้างอกกว้าง “ท่านกลับมาแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลย” อีกฝ่ายเองก็ดีใจมากเช่นกัน เขารีบอุ้มเอานายหญิงของตนไปนั่งลงบนฝาโลงที่นางเพิ่งออกมาด้วยรอบด้านไม่มีที่อื่นให้นั่งพักอีก อันฉีได้พักหายใจเพียงไม่นานบ่าวรับใช้ที่วิ่งออกไปก็กลับเข้ามาอีกครั้ง “ท่านเทพพยากรณ์!” ‘ชัดเลย….’ ดูเหมือนว่าหวังอันฉีจะเข้ามาอยู่ในร่างของนางเอกในนิยายเรื่องลิขิตฟ้าชะตาเทพพยากรณ์ที่เข่อซิงเป็นคนเขียนเสียแล้ว!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม