ตอนที่ 3 เทพพยากรณ์หม่าซือเมี่ยว

1637 คำ
หม่าซือเมี่ยว เป็นชื่อของตัวเอกนิยายเรื่องนี้หรือจะบอกว่าเป็นนางเอกเลยก็ไม่ผิดนัก นางมีความสามารถในการหยั่งรู้ฟ้าดินตามเนื้อหามากมายที่เข่อซิงเขียนไว้ไม่ว่าจะเป็นการทำปฏิทิน การวางฤกษ์ซึ่งสามารถทำนายได้แม่นยิ่งกว่าจับวางทำให้รับความไว้วางใจจากคนใหญ่คนโตทั่วทั้งแคว้นรวมถึงฮ่องเต้ด้วย ถึงขนาดที่ฝ่าบาททรงสร้างตำหนักเทพแห่งนี้ให้เป็นสาธารณประโยชน์แก่นางและประทานคนรับใช้มาดูแลแม้เจ้าของร่างเดิมจะเป็นเพียงแค่สามัญชน มิเพียงเท่านั้น นิมิตที่เจ้าตัวเห็นก็ช่วยเหลือพระเอกผู้เป็นบุตรชายของเจ้าสำนักธรรมะได้ตลอดราวกับเป็นปาฏิหาริย์ แต่คนแบบนี้ไม่มีทางหนีโชคชะตาของบทบาทนางเอกพ้น ความโชคดีของนางดึงดูดโชคร้ายมากมายเข้ามา ทั้งถูกฉุดกระชากลากถูโดยเหล่าศัตรู พวกเดียวกันต่างก็ริษยาจนนำมาแต่เรื่องราวชวนปวดหัว ไม่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นคนธรรมดาทั่วไป ทั้งหมดทั้งมวลที่อันฉีพอจะนึกออกไม่มีเรื่องดีเลยแม้แต่น้อย หม่าซือเมี่ยวผู้นี้คือกระสอบทรายเดินได้ที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ตายนั่นแหละแล้วไอ้คนฆ่าไม่ตายแบบนางไปอยู่ในโลงได้เช่นไร! นางเอกที่มีชื่ออยู่ในตัวละครหลักจนกระทั่งได้รับการนำไปตั้งเป็นชื่อเรื่องแต่กลับตายลงจนส่งผลให้ตนเข้ามาอยู่ในร่างได้เนี่ยนะ! “เฮ้อ” ร่างบางถอนหายใจเมื่อคิดว่าจบสิ้นแล้วนิยายเรื่องที่เธอเคยอ่านมา ไม่เหลือเค้าโครงเดิมขนาดที่ว่าร่างทองของนางเอกก็บุบสลายลงไปได้เช่นกัน “ท่านเทพให้บ่าวตามหมอเข้ามาหรือไม่เจ้าคะ” เหม่ยจูยังคงถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่ต้องหรอก” นางปฏิเสธ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ” ชายหนุ่มผู้นี้ถ้าจำไม่ผิดมีนามว่า ‘ว่านวั่งซู’ เขาเป็นอดีตมือขวาคนสนิทของ ‘สือเฟิงเหมียน’ พระเอกของเรื่องที่เจ้าตัวส่งมาให้ดูแลเทพพยากรณ์สาว ที่ผ่านมาเขาทำงานได้ไม่มีข้อบกพร่องชนิดที่ว่ายอมตายแทนเจ้านายได้ ในนิยายรู้เพียงเขาเป็นคนมีฝีมือที่ได้รับความไว้วางใจจากทั้งเฟิงเหมียนและซือเมี่ยว แต่ใครจะรู้เล่าว่าอีกหนึ่งตัวละครหลักที่คอยช่วยเหลือนางเอกมาเสมอเช่นเขาจะมีใบหน้าหล่อเหลาเอาการเช่นนี้ ทั้งส่วนสูงหรือมัดกล้ามใต้ร่มผ้าที่สัมผัสโดนโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อครู่ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าตนเป็นฝ่ายล่วงเกินเขาแทน “เหม่ยจู ข้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วมิใช่รึ เจ้าหยุดร้องเถิด” ร่างบางบนโลงเอ่ยบอก ระหว่างนั้นแม้จะพยายามไม่สบตาคนทั้งสองที่อยู่ในห้องโถงแต่วั่งซูก็จับจ้องมาอย่างไม่วางตาจนนางรู้สึกได้ “เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบปาดน้ำตาลวกๆ แม้มาอยู่ในร่างของคนอื่นแต่อันฉีก็ไม่ได้โวยวายเหมือนคนเสียสติ นางพยายามคงสีหน้าเรียบเฉยของหม่าซือเมี่ยวเอาไว้ต่อให้ในใจจะน้ำตาเล็ดแล้วก็ตาม ซินแสหรือหมอดูไม่ได้มีอิทธิพลต่อผู้คนแค่ในสมัยปัจจุบัน เมื่อก่อนเหล่าผู้นำประเทศก็งมงายเรื่องโหราศาสตร์ไม่แพ้กัน ดังนั้นในโลกของนิยายเล่มนี้ที่เขียนขึ้นจากเรื่องราวพื้นฐานของประเทศจีนในยุคโบราณหม่าซือเมี่ยวซึ่งมีฐานะเป็นเทพพยากรณ์จึงสามารถควบคุมได้กระทั่งฮ่องเต้ จำได้ว่าครั้งหนึ่งนางเคยเอ่ยทักท้วงเรื่องการสร้างหอสังเกตการณ์ตรงกำแพงเมืองทิศตะวันตกว่าไม่เหมาะจะทำในตอนนี้เพราะมิมีฤกษ์งามที่ดีแก่การวางเสาเอก ทำให้หลายปีผ่านไปหอสังเกตการณ์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเริ่มสร้าง “ข้าจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว บอกทีเหตุใดข้าถึงตาย...” พูดเองก็กระดากปากชอบกล แต่เรื่องการตายของหม่าซือเมี่ยวเป็นเรื่องที่แปลกมาก นางไม่เคยบาดเจ็บถึงขั้นเสียชีวิตมาก่อน แล้วการที่ฟื้นขึ้นมาได้กลับมิใช่เทพพยากรณ์คนเดิมมีแต่จะทำให้ผู้ศรัทธาคิดว่ามีภูตผีตนไหนสิงร่างของนาง อันฉีอาจจะต้องมาตายที่โลกใบนี้อีกครั้งด้วยการถูกเผาทั้งเป็น แค่คิดหญิงสาวก็หายใจไม่ทั่วท้องแล้ว “ข้าเข้าไปในหอนอนเพราะเห็นว่าดึกแล้วนายหญิงยังไม่ดับไฟก็พบว่าท่านไม่ได้สติและไร้ลมหายใจแล้วขอรับ” ว่านวั่งซูเป็นคนตอบ เหม่ยจูมองไปยังสีหน้าเรียบเฉยของเขาเงียบๆ เวลานั้นมิเพียงนางที่ตกใจจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีคุณชายว่านก็เช่นกัน เขาเป็นคนเข้มแข็งมากแต่นั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นน้ำตาของเขา “หมอที่เข้ามาดูอาการแจ้งว่านายหญิงเป็นคนสุขภาพไม่แข็งแรงจึงล้มป่วยและจากไปอย่างสงบ” เสียงทุ้มยังคงกล่าวอย่างปกติไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา “…” หมายความว่าคนที่เจอศพคนแรกคือว่านวั่งซู อาจเป็นเขาก็ได้ที่สังหารเจ้าของร่างเดิม ซือเมี่ยวมีผู้ติดตามเพียงสองคนคือเหม่ยจูและวั่งซู กระนั้นหากนางมิได้ตายด้วยโรคภัยอย่างที่เขาบอก คนสนิททั้งสองนี้จะสามารถไว้ใจได้งั้นหรือ “แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้นขอรับ” คำพูดของชายที่คุกเข่าเบื้องหน้าทำให้หญิงสาวหันไปมอง ในสายตาของวั่งซูนายหญิงของตนเป็นคนสุขภาพไม่ดีก็จริงแต่นางมิได้อ่อนแอมากขนาดที่จะมาล้มป่วยจนตายโดยไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน “เรื่องนี้ข้าจะตรวจสอบอีกที” สตรีบนฝาโลงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ “หากท่านต้องการสืบหาความจริง ข้าจะช่วยเป็นมือเป็นเท้าให้ดังเช่นที่ผ่านมาขอรับ” ชายหนุ่มพูดด้วยความหนักแน่น “อืม” อันฉีในร่างของซือเมี่ยวรับคำ ในหัวคิดเรื่องมากมายที่เกิดขึ้น มันรวดเร็วเกินไปจนนางไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ถูก มือเรียวนวดขมับที่ปวดหนึบเพื่อคลายเส้นเลือดซึ่งกำลังเขม็งตึงทั้งสองข้าง “อยู่ที่นี่ไปมีแต่จะทำให้จิตใจท่านเศร้าหมอง ข้าจะพาท่านไปที่หอนอนขอรับ เหม่ยจูเจ้าไปตามหมอมาเถอะ” วั่งซูไม่รอช้าช้อนร่างบางขึ้นมาจากฝาโลงอย่างถือวิสาสะ “ดะ เดี๋ยวก่อนวั่งซู” ซือเมี่ยวร้องห้ามทำให้ร่างสูงที่อุ้มนางเอาไว้ยืนนิ่งตามคำสั่ง “อะไรหรือขอรับ” ดวงตาคมหลุบมองคนในอ้อมแขนก่อนเอ่ยถาม “ข้าเดินไปเองได้” ต่อให้มาจากโลกที่ก้าวหน้าไปไกลแล้ว แต่การต้องมาถูกผู้ชายหน้าตาดีอุ้มไปอุ้มมาก็ไม่ดีต่อใจเลยจริงๆ “ให้ข้าอุ้มไปแบบนี้สะดวกกว่าขอรับ เราไม่รู้ว่าร่างกายที่เคยไม่หายใจแล้วครั้งหนึ่งของท่านเป็นอย่างไรบ้างให้ข้าช่วยเถิดขอรับ” ผลข้างเคียงเหล่านั้นตราบใดที่ยังไม่ได้รับการตรวจจากหมอก็ควรระวังเอาไว้ “เจ้าไม่ถามหรือว่าเกิดอะไรขึ้นข้าถึงกลับมาได้” ถ้าเป็นนางคงสาดคำถามใส่ด้วยความสงสัยเป็นแน่ “เพียงแค่ท่านกลับมาก็พอแล้วขอรับ” คำพูดของวั่งซูทำให้ร่างเล็กที่ขัดขืนเมื่อครู่ยอมโอนอ่อนให้เขาอุ้มไปแต่โดยดี เพียงแต่นางคงไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา หอนอนของเทพพยากรณ์ไม่ได้ไกลจากห้องโถงที่อยู่ในตอนแรกมากนัก เมื่อเดินลัดเลาะผ่านทางเดินยาวด้านหลังไปก็ถึงแล้ว ต่อให้รอบด้านเป็นทิวทัศน์ที่งดงามราวกับเป็นตำหนักของราชวงศ์แต่ร่างบางก็ไม่มีอารมณ์จะตื่นเต้นไปกับมัน คงดีไม่น้อยหากหลับตาลงแล้วตื่นขึ้นมาพบว่านี่เป็นเพียงความฝัน ร่างสูงวางคนตัวเล็กลงบนเตียงนุ่มก่อนนั่งลงข้างๆ สายตาเรียบเฉยของเขามองมายังนางไม่ห่าง “ตัวของนายหญิงเบากว่าครั้งก่อนอีกขอรับ” องครักษ์หนุ่มเอ่ยบอก “งั้นหรือ” แม้สมองฝั่งเหตุผลจะรู้ดีว่าไม่ควรไว้ใจใคร แต่ทุกครั้งที่เห็นสายตาเป็นห่วงของชายหนุ่มผู้นี้ หญิงสาวก็เผลอใจอ่อนทุกที “ข้ากลัวมากรู้หรือไม่ คิดว่าท่านจะไม่กลับมาแล้ว” “ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าอย่าห่วงไปเลย” “ขอรับ ข้าดีใจจนคิดว่านี่อาจเป็นเพียงความฝัน” มือใหญ่ดึงมือเล็กของซือเมี่ยวมากุมไว้ข้างแก้ม ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาจากฝ่ามือของคนงามทำให้เขาอุ่นใจมากและเชื่อว่านี่เป็นความจริง “ข้าอยากให้มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น” ริมฝีปากได้รูปกล่าวออกมาเบาๆ แต่เพราะระยะห่างอันน้อยนิดจึงไม่แปลกที่บุรุษตรงหน้าจะได้ยิน “ทำไมนายหญิงกล่าวเช่นนั้นเล่าขอรับ” เขาเอ่ยถามแต่ก็จำต้องจำใจปล่อยมือของอีกฝ่ายก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออกพร้อมการมาของหมอหญิงและเหม่ยจู “คารวะท่านเทพพยากรณ์ ให้ข้าตรวจดูร่างกายของท่านเสียหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” ร่างเล็กในอาภรณ์ชุดขาวนอนลงก่อนส่งมือให้หมอหญิงนางนั้นตรวจดูร่างกาย ทางด้านสองคนที่เหลือจึงออกไปรอด้านนอกเพื่อไม่เป็นการรบกวนการรักษา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม