เวลาเพียง 5 นาทีอาจมากสำหรับใครหลายคน แต่กับบางคนมันน้อยเสียจนไม่กล้าจะหายใจ การแข่งขันมีบทสรุปเพียงแค่สองทางระหว่างเป็นผู้กุมชัยที่ได้รับการกล่าวขานไปนานเท่านานหรือไม่ก็แค่เป็นบันไดให้ผู้ชนะเหยียบข้ามและจมลงสู่ความล้มเหลว
กีฬาฟันดาบเป็นแบบนั้น….
รากฐานของศิลปะการป้องกันตัวที่กลายมาเป็นการแข่งขันของเหล่านักกีฬาอันทรงเกียรติสืบทอดยาวนานตั้งแต่ยุค 2000 จนบรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันโอลิมปิกในยุคถัดมา แม้หลายประเทศต่างล้วนมีดาบเป็นอาวุธในการรบด้วยกันทั้งสิ้นแต่ก็ไม่ใช่เครื่องการันตีว่าพวกเขาจะได้ชัยชนะไปครอง
หญิงสาวรูปร่างเพรียวลมกำลังจับด้ามดาบยาวเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้าม เธอหลอกล่อด้วยทักษะทางร่างกายให้คู่ต่อสู้คาดเดาการกระทำของเธอจากการเคลื่อนไหวและหลบหลีกก่อนที่จะตวัดปลายดาบเข้าทำคะแนน หลายคนบอกว่ามันคือ ‘พรสวรรค์’ แต่ที่จริงกว่าจะมีวันนี้ได้เส้นทางของเธอมันไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต้องผ่านการฝึกฝนมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อขัดเกลาความสามารถที่ไม่เคยมีอยู่ให้เบ่งบาน
ตืออออ
เสียงสัญญาณร้องบอกดังหมดเวลาการแข่งขันตามมาด้วยเสียงกู่ร้องดังลั่นสนามรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสไม่รวมถึงผู้คนที่อยู่โดยรอบซึ่งดูการถ่ายทอดสดจากทางบ้าน
“ยินดีกับเหรียญทองแรกในประวัติศาสตร์ของชาติเราด้วยครับ!!!!” พิธีกรประกาศยืนยันดังสนั่นด้วยความตื่นเต้น ที่ผ่านมาประเทศมหาอำนาจอันดับสองของโลกอย่างจีนไม่เคยมีนักกีฬาหญิงคนใดได้ครองเหรียญรางวัลแห่งเกียรติยศนี้มาก่อน
“เฮ!!!”
“อันฉีๆๆๆ” เสียงเชียร์ลั่นสนามเรียกชื่อของเธอ
“ทำได้แล้วนะ” ชายหนุ่มข้างสนามวิ่งเข้ามาทั้งน้ำตา ประเทศของพวกเขาแม้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแต่กลับไม่เคยได้รับชัยชนะจากกีฬาฟันดาบประเภทหญิงเลยสักครั้ง แต่วันนี้ในที่สุดพวกเขาก็ทำมันได้เสียที
“ค่ะโค้ช!” หญิงสาวถอดเครื่องป้องกันศีรษะออกและขานรับด้วยรอยยิ้ม
“ฉันทำได้แล้วนะคะ” หยาดน้ำตาแห่งความอ่อนล้าทั้งหมดไหลออกข้างดวงตาคู่สวยของเจ้าของผลงานอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้
หวังอันฉีเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ในฐานะนักกีฬานับว่าไม่ได้มีร่างกายที่เหมาะสม ในวัย 18 ปี เธอสูงเพียง 166 เซนติเมตรเท่านั้นเมื่อเทียบกับนักกีฬาจากชาติอื่นที่สูงเกือบสองเมตร หญิงสาวเติบโตโดยอาศัยอยู่ที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าจนถึงวัย 8 ปี พ่อแม่อาจเป็นคนให้กำเนิดเธอมาแต่สมาคมนักกีฬาเป็นคนเลี้ยงเธอจนเติบใหญ่ หากอันฉีไม่ชนะภาพที่เห็นคงต่างออกไปมาก ชีวิตในฐานะนักกีฬาเยาวชนของเธอจะจบลงพร้อมกับการสนับสนุนต่างๆ ที่ทางสมาคมเคยมีให้จะหายวับไปกับตา สิ่งนี้ผลักดันให้หญิงสาวจำต้องสู้อย่างหมาจนตรอก
“ยินดีกับพี่ด้วยนะคะ แล้วนี่แฟนคลับส่งมาให้พี่ค่ะ” นักกีฬาฝึกหัดอีกคนที่มีสถานะไม่ต่างกับอันฉีเท่าไหร่เข้ามาทักทายยินดีด้วยรอยยิ้มกว้าง เธอชื่อว่า ‘เสี่ยวจิ่ว’
สมาคมมักเลือกเด็กที่ไม่มีพ่อแม่เข้ามาฝึกฝนให้เป็นนักกีฬามากกว่าคนทั่วไปแม้พวกเขาจะไม่มีความฝันหรือพรสวรรค์อันเป็นเลิศติดตัวมาเลยก็ตาม ด้วยเด็กๆ เหล่านี้ไม่มีอะไรให้เสีย ไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีครอบครัวที่ต้องคอยขออนุญาตและไม่มีกระทั่งอนาคต ทำให้สามารถทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตไปกับการฝึกฝนได้โดยไม่ติดขัดและไม่เรียกร้องอะไรเพิ่มให้วุ่นวาย บอกว่าไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรคงจะเป็นคำพูดที่ถูกต้องเสียกว่า หากไม่ยอมทำตามคำสั่งก็จะกลายเป็นตัวเลือกที่ถูกตัดทิ้งให้พ้นทาง สมาคมมีตัวสำรองรอไต่เต้าขึ้นมาเป็นนักกีฬาตัวจริงอีกมากไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคนไร้ค่า
เสี่ยวจิ่ววางกล่องใบใหญ่ข้างๆ อันฉี ด้านในเต็มไปด้วยจดหมาย ดอกไม้และคำแสดงความยินดีมากมาย
“ขอบใจที่เอามาให้นะ” เธอบอกกับอีกฝ่ายพร้อมทั้งให้น้องสาวเลือกของที่อยากได้ออกไปในขณะที่ตนเองกำลังเปิดอ่านนิยายในโทรศัพท์
วันนี้เป็นวันแรกที่เธอได้รับอนุญาตให้ใช้อุปกรณ์สื่อสารหลังจากผ่านการซุ่มซ้อมเก็บตัวมาตลอดทั้งฤดูร้อน
“พี่ยังอ่านเรื่องนี้อยู่อีกเหรอคะ” เสี่ยวจิ่วพูดแทรก
อันฉีเป็นคนคลั่งไคล้นิยายมากถึงขั้นแก้วน้ำและผ้าเช็ดหน้าที่ใช้อยู่ก็ยังเป็นลายตัวละครจากนิยายเรื่องนั้น เด็กสาวมองนักกีฬารุ่นพี่ก่อนจะส่งตุ๊กตารูปนางเอกนิยายเรื่องนั้นให้อันฉี เส้นผมยาวสลวยและใบหน้าหวานอันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มมีผ้าโปร่งบางสีอ่อนอำพรางเอาไว้ ครั้งหนึ่งเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าตนนั้นเป็นนักอ่านตัวยงของนิยายเรื่อง ‘ลิขิตฟ้าชะตาเทพพยากรณ์’ ทำให้นิยายที่เคยเงียบดังเป็นพลุแตกจนติดท็อปชาร์ตภายในไม่กี่ชั่วโมง
“อื้อ เธอไม่ลองอ่านดูบ้างเหรอ” หญิงสาวตอบ
“ที่จริงฉันอ่านแล้วค่ะ แค่สำนักตีกันไปมาและมีนางเอกเป็นเทพพยากรณ์ที่เป็นตัวปัญหาของเรื่องไม่เห็นจะสนุกเลย มีคนเห็นด้วยกับฉันตั้งเยอะแหนะพี่ดูสิ” เสี่ยวจิ่วชี้ให้เห็นคอมเม้นต์ปรามาสมากมายที่ด่าตั้งแต่ตัวนิยายไปยันนักเขียนราวกับเจ้าของเรื่องที่ใช้นามปากกา ‘เป่ยจี๋ซิง’ ไปทำผิดใหญ่หลวงจนมีโทษประหารรออยู่
อันที่จริงก็เป็นตามที่คู่สนทนากล่าวมา นิยายเรื่องนี้พูดถึงบุตรชายเจ้าสำนักคุณธรรมที่ต้องต่อกรกับสำนักฝ่ายอธรรมผู้ทำเรื่องชั่วช้า ระหว่างนั้นความรักของชายหญิงซึ่งเป็นตัวเอกก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปตามลำดับ
“พี่เป็นสายสุขนิยมเธอก็รู้” อันฉีหยิบตุ๊กตารูปเทพพยากรณ์ที่เป็นตัวเอกของเรื่องขึ้นมาห้อยกระเป๋าเอาไว้ นางมีนามว่า ‘หม่าซือเมี่ยว’ ไม่มีใครรู้ว่านางหน้าตาเป็นยังไงเพราะเจ้าตัวมักจะปกปิดตัวตนด้วยผ้าคลุมหน้าอยู่เสมอ แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่พระเอกของเรื่องเห็นโดยบังเอิญตอนเข้าไปช่วยนางจากการถูกจับตัวไป ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ตกหลุมรักหญิงสาวเข้าเต็มเปา คงไม่ต้องบอกแล้วว่าใบหน้าใต้ผ้าคลุมนั้นงดงามเพียงใด ทั้งที่สวยขนาดนั้นกลับปิดบังใบหน้าไว้ไม่ให้ใครเห็นทำเอานักอ่านเศร้าใจกันเป็นแถบ บางคนก็เชื่อว่าเป็นปมที่ยังรอการเฉลยจากนักเขียน
“จนตอนนี้ช่วงที่ใกล้จะจบอยู่ดีๆ นักเขียนก็เล่นตัวไม่อัปเดตตอนใหม่มาหลายเดือนแล้ว แล้วก็มีการแก้ตอนอีกเยอะจนเนื้อเรื่องสับสนไปหมดไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่การที่เจ้าตัวหายไปแบบนี้มีแต่จะโดนด่าเพิ่มเท่านั้น”
“เอ๊ะ!?” อันฉีทำสีหน้าตกใจกับข่าวคราวที่เพิ่งได้รู้
“พี่ฝึกช่วงฤดูร้อนเลยไม่ทราบสินะคะ”
สามเดือนมานี้ไม่มีวันไหนที่อันฉีได้พักหายใจ นอกจากร่างกายที่ต้องได้รับการฝึกฝนตลอดเวลายังต้องเดินทางไปหลายประเทศเพื่อเข้าร่วมการประลองกับนักกีฬาอาชีพท่านอื่น เวลาจะนอนยังถูกควบคุมให้เป็นไปตามตารางแม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ กิจกรรมทุกอย่างล้วนเข้มงวดเพื่อให้ร่างกายและจิตใจของเธอพร้อมกับการแข่งขันมากที่สุด
“เดี๋ยว! นั่นพี่จะไปไหนคะ แล้วงานรับรางวัลล่ะ พี่!!!” เสียงเรียกตามมาด้านหลังแต่อันฉีไม่ได้สนใจมันอีกต่อไป เธอวิ่งพรวดออกจากห้องด้วยความเร่งรีบ ไม่ว่าใครจะเรียกอะไรก็ไม่สามารถรั้งเธอเอาไว้ได้
สมองน้อยๆ ตอนนี้นึกเพียงเรื่องที่ผ่านมานานแสนนานในวันวานที่เธอเคยรู้จักความสุข บ้านหลังเล็กต่อให้ไม่ได้กินอิ่มนอนหลับหรือวิ่งเล่นแบบที่เด็กทั่วไปควรจะมีทว่ารอยยิ้มของอันฉีในวัยเด็กสดใสและสนุกสนานมากกว่ายามได้รับรางวัลเหรียญทองเสียอีก
‘พี่คะ หนูอยากเป็นนักเขียนค่ะ’ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกคนต่างไร้พ่อแม่แต่ก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เด็กหญิงคนหนึ่งที่สนิทกับอันฉีมากๆ บอกเอาไว้ในคืนที่พวกเธอต้องแบ่งปันผ้าห่มซึ่งกันและกัน
‘งั้นเหรอ’ อันฉีตอบพร้อมกับปิดหนังสือนิทานเล่มที่เธออ่านจบลงและเตรียมดับไฟเข้านอน
‘อื้อ! พี่ตั้งนามปากกาให้หนูหน่อยสิคะ หลังจากนี้ถ้าพี่เห็นจะได้จำได้ว่าเป็นหนู’ เจ้าก้อนน้อยออดอ้อน ต่อให้เธอเป็นเพียงแค่เด็กแต่ก็รู้ว่าอีกไม่นานพี่สาวคงต้องออกจากที่นี่แล้วและอาจไม่มีใครอยากอุปการะเด็กขี้โรคอย่างเธอ
‘ได้สิ เอาเป็นเป่ยจี๋ซิงดีไหม’ เด็กตัวน้อยมีชื่อว่าเข่อซิง พี่สาวจึงคิดว่าอยากให้มีชื่อที่เป็นตัวอักษร ซิง ซึ่งแปลว่าดวงดาราอยู่ในนามปากกาด้วย