ซูเย่วอิงเองก็ไม่คิดว่าหลินเจียวเจียวจะกล้ามากขนาดนี้ เธอได้แต่ทั้งโกรธทั้งอายไปพร้อมๆ กัน
“นังหน้าด้าน กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นได้ยังไง ถ้าพี่เฉินหยางรู้ว่าภรรยาทำตัวแบบนี้เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“อ้าว ตอนนี้รู้แล้วเหรอว่าฉันเป็นภรรยาพี่เฉินหยาง ส่วนเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนนั้นเธอต้องรอถามเขาเองนะ แต่ฉันคิดว่าเอาไว้ว่าเอาไว้ที่เดิมนะดีแล้ว ตอนนี้เธอเลิกโวยวายและเลิกทำตัวน่าอับอายแบบนี้สักทีเถอะ เธอลองหันไปดูรอบๆ นะว่าคนเขามองเธอยังไง ดูสิแทนที่จะได้รีบกลับหมู่บ้านต้องมานั่งดูเธอเนี่ย ถ้าไม่กลับก็อยู่มันที่นี่แหละ จริงไหมคะทุกคน” หลินเจียวเจียวหันไปถามชาวบ้าน เมื่อชาวบ้านเห็นว่าสิ่งที่หลินเจียวเจียวพูดนั้นเป็นความจริงหลายๆ คนก็พยักหน้าตอบรับ
ซูเย่วอิงถึงจะเก่งกับหลินเจียวเจียว แต่ไม่ใช่จะกล้ากับคนเยอะๆ เมื่อคนขับเกวียนเห็นว่าเหตุการณ์สงบและชาวบ้านมากันครบแล้ว ก็ได้เดินทางกลับเข้าหมู่บ้าน
ภายในเกวียนนั้นมีบ้างที่ซูเย่วอิงส่งสายตาจิกกัดให้กับหลินเจียวเจียว แต่มีเหรอที่เธอจะสนใจ หลินเจียวเจียวคิดเพียงแค่ว่าอย่าไปถือคนบ้า แต่ถ้าคนบ้ามาวุ่นวายไม่รู้จบ ก็แค่จัดการไปสักทีสองทีก็พอแล้ว ไม่นานเกวียนก็เข้ามาถึงในหมู่บ้าน จากนั้นทุกคนในเกวียนก็แยกย้ายบ้านใครบ้านมัน
“กลับมาแล้วค่ะ” หลินเจียวเจียวส่งเสียงบอกคนในบ้าน
“แม่กลับมาแล้ว เย้แม่เจียวเจียวกลับมาแล้ว” ซ่งเหมยจูกระโดดอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกของแม่ ในใจลึกๆ เธอก็คิดว่าแม่จะไม่สนใจเธอและน้องชายเหมือนเดิมอีก แต่พอได้ยินเสียงแม่กลับมาเด็กน้อยก็ห้ามความดีใจไม่อยู่จึงได้กระโดดโลดเต้นอย่างที่เห็นนี่ละ
“ระวังลูกเหมยจู เดี๋ยวล้มลงหรอกฮ่า ฮ่า ฮ่า” หลินเจียวเจียวเองก็ตกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าลูกสาวจะกระโดดโลดเต้นแล้วพุ่งเข้ามากอดเธอแบบนี้
“กลับมาแล้วเหรอเจียวเจียว เป็นยังไงบ้าง ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลยเนี่ย” จางย่าเจียวถามลูกสาว
“ของที่จะทำขายนั่นแหละแม่ แต่มีบางอย่างที่ฉันซื้อมาทำไว้ส่งไปให้พ่อของเด็กๆ ด้วย วันนี้ฉันเข้าไปหาพี่ใหญ่ด้วยนะแม่ พี่ใหญ่บอกจะช่วยฉันด้วยล่ะ แล้วก็บอกว่าวันหยุดนี้จะกลับมาบ้าน” หลินเจียวเจียวไม่อยากพูดถึงคนเป็นสามีมากเท่าไหร่ ถึงจะรู้ว่าเขารัก แต่ก็นะ มันก็ยังทำใจไม่ได้ เลยเลี่ยงไปพูดเรื่องพี่ใหญ่แทน
“จริงเหรอลูกดี ดี จะได้อยู่กันพร้อมหน้า” จางย่าเจียวเองก็ดีใจที่ลูกชายคนโตจะกลับมาบ้านวันหยุดนี้ ใจจริงลูกชายเธออยากที่จะไปกลับทุกวัน แต่เธอเห็นว่ามันเหนื่อยเกินไปจึงให้ต้าจินพักอยู่ที่โรงงานแทน
“แล้วพ่อกับพี่รองไปไหนคะแม่” หลินเจียวเจียวเมื่อเข้ามาในบ้านไม่เจอพ่อกับพี่ชายจึงได้ถามขึ้น
“เห็นว่าไปตัดไม้นะ เราให้พ่อกับเจ้ารองทำแคร่นั่งให้ไม่ใช่เหรอ”
“จริงด้วยสิ ฉันลืมไปเลย แล้วนี่กินอะไรกันรึยังคะ”
“เรียบร้อยแล้ว เราละกินอะไรมารึยัง” จางย่าเจียวถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าลูกสาวมัวแต่ซื้อของแล้วจะลืมหาอะไรกิน
“กินมานิดหน่อยแล้วค่ะแม่ แต่ว่าเย็นนี้ทุกคนทานอาหารที่นี่นะ ฉันว่าจะทำบะหมี่กิน กินหลายๆ คนอร่อยดี”
“ได้สิ เดี๋ยวแม่บอกกับพ่อและเจ้ารองให้ แต่ว่าอีกสองวันจะมีตลาดนัดลูกจะทำทันไหมละ มีอะไรให้แม่ช่วยไหม” จางย่าเจียวถามลูกสาว
“ฉันทำเองได้ค่ะแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันยังมีเหมยจู กับจื้อผิงอยู่ตั้งสองคน ลูกๆ อยากช่วยแม่ทำซาลาเปาไหม หืม” หลินเจียวเจียวตอบแม่ก่อนจะถามลูกๆ ทั้งสองคน
“ช่วยค่ะหนูจะช่วยแม่ทำเอง” ซ่งเหมยจูยกมือตอบอย่างดีใจ
“ผมก็ด้วยครับ” ซ่งจื้อผิงเองเขาก็อยากจะช่วยเหมือนกัน
“เห็นไหมคะแม่ หนูมีผู้ช่วยตั้งสองคนแหนะ” หลินเจียวเจียวพูดด้วยเสียงหัวเราะ
“แต่ยายว่าทั้งสองคนจะช่วยหรือจะป่วนแม่กันแน่นะ ห๊าห๊าห๊า” จางย่าเจียวหยอกล้อหลานทั้งสองคน ทำให้เด็กน้อยเมื่อโดนล้อก็หน้ายู่ใส่ผู้เป็นยายกันแม่ทันที ไม่นานหลินเหวินเทากับหลินตงหนิงก็กลับมาจากตัดไม้ในป่า
วันนี้บ้านของหลินเจียวเจียวอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข ต่างจากบ้านซ่งที่วันนี้มีแต่ความอึมครึม
“แม่คะ วันนี้ฉันได้ข่าวว่านังเจียวเจียวมันเข้าเมืองไปซื้อของมาเยอะแยะเลยนะคะ แถมคนทั้งครอบครัวของนังเจียวเจียวก็มากินอาหารด้วย กลิ่นเนื้อนี่โชยไปหมดเลยค่ะ”
หานอี๋ฉิงพูดกับแม่สามี วันนี้สหายเธอเล่าให้ฟังเรื่องที่นังหลินเจียวเจียวซื้อของมาเต็มตะกร้าแถมยังมีเนื้ออีกด้วย
“เธอแน่ใจนะสะใภ้รอง ว่านังเจียวเจียวมันกล้าใช้เงินมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ มันกล้ามากเลยนะ คอยดูเถอะอาหยางกลับมาฉันจะให้เขาหย่ากับมัน”
กู้เจียงหลานพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ มีอย่างที่ไหนซื้อเนื้อกลับมาแทนที่จะเอามาให้บ้านแม่สามี กลับไปเรียกบ้านเดิมตัวเองมากิน ไม่ได้การละเธอจะต้องเขียนจดหมายบอกลูกชายว่านังเจียวเจียวมันอกตัญญูแค่ไหน อาหยางจะได้รีบกลับมาหย่า คราวนี้ละเธอจะให้อาหยางแต่งงานกับหนูเย่วอิงลูกสาวผู้นำหมู่บ้านแทน
“แล้วแม่ไม่คิดจะไปจัดการหรือเอาเนื้อมาทำอาหารให้ที่บ้านเราเหรอคะ ดูสิหลานชายของแม่ผอมจะแย่อยู่แล้ว”
หานอี๋ฉิงรู้ว่าแม่สามีรักหลานชายทั้งสองคนมาก เธอโชคดีที่เกิดหลานชายมาให้บ้านซ่ง สองคน ทำให้เธอมีสิทธิ์มีเสียงมากกว่าสะใภ้ใหญ่ที่มีลูกสาวและบ้านเดิมก็จนแสนจน
“ไม่ละวันนี้เธอบอกเองว่านังเจียวเจียวมีบ้านเดิมอยู่ด้วย เธอค่อยไปกับฉันพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน วันนี้มีอะไรกินก็กินไปก่อน แล้วนี่สะใภ้ใหญ่ไปไหนทำไมไม่มาช่วยงานในครัว” กู้เจียงหลินคิดว่าไปพรุ่งนี้ดีกว่า แต่พอไม่เห็นสะใภ้ใหญ่ในครัวก็ได้แต่คิ้วขมวดและถามขึ้น
“เห็นว่าไม่สบายน่ะ ไม่รู้ว่าไม่สบายจริงหรือแกล้งไม่สบายเพราะขี้เกียจกันแน่ค่ะแม่” หานอี๋ฉิงพูดขึ้น ดีนะงานที่กองพลไม่มีอะไรให้ต้องมาทำ ไม่อย่างนั้นเธอเหนื่อยตายทำทั้งสองอย่าง เธอคิดว่าสะใภ้ใหญ่แกล้งป่วยเพราะขี้เกียจแน่ๆ
เมื่อกู้เจียงหลานได้ยินลูกสะใภ้รองพูดแบบนั้นก็โกรธจนหน้าแดง ก่อนจะรีบเดินไปโวยวายที่หน้าห้องของลูกชายคนโต
“นังหัวหลิงจะมามัวขี้เกียจอยู่ไม่ได้นะ งานบ้านไม่คิดจะช่วยทำกันบ้างหรือไง” กู้เจียงหลานเมื่อเดินมาถึงก็ตะโกนด่าสะใภ้ใหญ่ที่หน้าห้องทันที
“แม่มาโวยวายหน้าห้องมีอะไรเหรอ” ซ่งฮ่าวหยูเป็นคนออกมาเปิดประตูห้องเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ถามขึ้น
“ก็ภรรยาแกนะสิ มัวแต่ขี้เกียจแกล้งไม่สบาย ไม่ยอมออกมาช่วยงาน”
“ใครเป็นคนบอกแม่เหรอว่าหัวหลิงขี้เกียจแกล้งไม่สบาย” พูดเสร็จก็ปรายตาหันไปมองภรรยาของน้องชาย
“ไม่มีใครบอกฉันทั้งนั้นแหละ อยู่ที่นี่ก็ต้องช่วยกันทำงาน แต่ถ้าขี้เกียจนักก็ไม่ต้องอยู่” กู้เจียงหลานแกล้งโวยวาย เพราะไม่อยากให้ลูกชายคนโตรู้ว่าสะใภ้รองเป็นคนมาบอกเธอ
“ครับแม่ ในเมื่อแม่พูดแบบนี้ผมก็ขอน้อมรับ ผมจะแจ้งกับพ่อว่าจะขอแยกครัวก่อนนะ ส่วนบ้านถ้าผมได้ซ่อมแซมบ้านเดิมของหัวหลิงเสร็จแล้ว ผมจะรีบพาลูกกับเมียย้ายออกไปทันที จะไม่ทำให้แม่ต้องมาวุ่นวายแบบนี้อีก”
ซ่งฮ่าวหยูเขาก็ทนมามากพอแล้วกับการกระทำของแม่ที่มีต่อภรรยาเขา ตอนนี้หัวหลิงไม่สบายแม่ไม่คิดจะถามสักคำ แต่กลับฟังสะใภ้รองแล้วมายืนด่าโวยวายอยู่ที่หน้าห้องเขาแทน ส่วนลูกสาวทั้งสองคนก็ต้องช่วยงานทุกอย่าง ต่างกับหลานชายทั้งสองคนที่มีหน้าที่เพียงแค่กิน เล่น นอนเท่านั้น เพราะคำว่าลูกชายคนโตและกตัญญู ก่อนหน้านี้เขาจึงไม่กล้าที่จะทำเรื่องแยกบ้านแบบเจ้าสาม แต่วันนี้เขาสุดจะทนแล้วจะริงๆ
“นี่แกกล้าเหรอเจ้าใหญ่ แกกล้าขอแยกครัวแยกบ้านเหรอ แกเป็นลูกชายคนโตนะ”
ตอนนี้กู้เจียงหลานโกรธลูกชายคนโตจนตัวสั่น กล้าดียังไงมาขอแยกบ้าน ถ้าสามีเธอรู้ขึ้นมาละก็ อีกอย่างถ้าแยกบ้านก็ต้องแบ่งเงินกองกลางนะสิ เธอไม่ยอมหรอกเงินนี้สำหรับหลานชายทั้งสองของเธอไว้เข้าเรียนนี่ก็อีกไม่กี่เดือนแล้ว
“ทำไมจะไม่กล้าละครับ เมียผมก็เป็นสะใภ้แม่เหมือนกัน ลูกผมก็เป็นหลานแม่เช่นกัน แต่การกระทำและการดูแลช่างต่างกันลิบเลยนะครับต่างกับหลานชายทั้งสองคนและสะใภ้รองที่รักของแม่ ในเมื่ออยู่ด้วยกันมันไม่ดี ก็แยกกันดีกว่า จะมัวมาทนกันอยู่แบบนี้ทำไม เมียผมไม่สบายแม่เคยคิดที่จะถามไหม ไม่เลย ขนาดผมเคยขอเงินตอนลูกคนเล็กผมป่วยแม่ก็ไม่ให้ แล้วแม่จะให้ครอบครัวผมทนอยู่ทำไม ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างครอบครัวของผมก็เป็นคนหามาเหมือนกัน แต่พอจะใช้กลับไม่เคยได้อะไร”
ซ่งฮ่าวหยูคิดแล้วว่าต่อให้ออกจากบ้านไปแล้วต้องลำบากมากกว่าเดิมก็ดีกว่าที่จะอยู่แบบนี้ อย่างน้อยๆ บ้านเดิมของภรรยาก็ยังอยู่อย่างมากก็ซ่อมแซมนิดหน่อย หลังจากที่พ่อแม่ภรรยาเสียก็ไม่มีใครได้เข้าไปอยู่
เขาคิดว่าใช้เวลาซ่อมแซมไม่น่าจะเกิน สองวันค่อยชวนสหายให้ไปช่วย ดีหน่อยที่บ้านหลังนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านเจ้าสามมาก ถึงแม้ว่าน้องสะใภ้สามจะไม่ค่อยดีกับที่บ้านสักเท่าไหร่ แต่กับภรรยาของเขาอย่างน้อยๆ น้องสะใภ้สามก็ยังคุยดีด้วย อยู่ไม่ไกลกันอย่างน้อยๆ ลูกสาวทั้งสองคนยังมีเพื่อนเล่นและภรรยาเขายังมีเพื่อนคุย ดีกว่าอยู่ที่นี่มีแต่ทำงานไม่ได้พักแถมยังโดนด่าอยู่ตลอด
เขารู้สึกผิดกับภรรยามาก จากที่เคยสัญญาว่าจะดูแลอย่างดี แต่กลับกลายต้องถูกแม่คอยดุด่าอยู่ตลอด เขารู้ดีว่าแม่ไม่ชอบภรรยาเขาเพียงเพราะบ้านเธอจน และไม่ใช่ภรรยาที่แม่ของเขาเลือกและเตรียมไว้ให้ เขาไม่รู้เหรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ขอเพียงแค่ภรรยายอมจับมือสู้ไปพร้อมกับเขาก็พอ เขาก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว
********************