หลังจากที่หลินเจียวเจียวคุยกับพี่ชายเสร็จแล้ว ก่อนที่จะออกมาเธอบอกกับพี่ชายว่าวันหยุดให้กลับบ้านและอย่าแวะไปที่ไหน ไม่ว่าสหายคนไหนจะชวนไปทำอะไรก็ให้ปฏิเสธ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องมาเป็นพี่น้องกันเลย แล้วมีเหรอที่หลินต้าจินจะกล้าปฏิเสธน้องสาว เขาจึงรับปากว่าจะไม่แวะที่ไหนจะรีบตรงกลับบ้านเลยทันที เมื่อหลินเจียวเจียวได้คำตอบที่พอใจก็ขอตัวกลับ
จากนั้นหลินเจียวเจียวก็ตรงมาที่สหกรณ์ เธอตั้งใจจะเข้ามาหาสหาย หลังจากที่มองหาสักพัก เธอก็เจอกับอ้ายหนิงที่กำลังจัดของอยู่ที่ชั้นวางของ
“อ้ายหนิงทำอะไรอยู่เหรอ”
“ตาไม่มีรึไง ก็เห็นอยู่ว่าจัดของยังจะถามอีก” อ้ายหนิงหันมาค้อนสหาย
“แล้ววันนี้มาซื้ออะไรละ สบู่กับแป้งที่ใช้อยู่มาแล้วนะจะเอาไปเลยหรือเปล่า” อ้ายหนิงถามขึ้น เพราะสหายเธอคนนี้ไม่ค่อยจะซื้ออะไรหรอกนอกจากสบู่กับของแต่งหน้าแต่งตัว
“เปล่าวันนี้ฉันจะมาซื้อนมผงไปให้ลูก แล้วเอาของบางอย่างมาให้เธอลองใช้ดู” หลินเจียวเจียวบอกกับสหายก่อนจะแกล้งเอามือล้วงไปในตะกร้า หยิบสบู่กับแป้งทาหน้าออกมาให้กับสหาย เมื่ออ้ายหนิงเห็นของที่สหายเอามาให้ก็ตาโตตกใจก่อนที่จะกระซิบพูดขึ้นว่า
“นี่เธอเอามาจากไหนเจียวเจียว ดูท่าจะของดีมากเลยนะ”
“เอาเป็นว่าเธอไม่ต้องถามว่าเอามาจากไหน ฉันเอามาให้เธอลองใช้ ถ้าใช้ดีแล้วเธอสามารถขายได้ ฉันจะเป็นคนกลางหาของมาให้เอง แต่ห้ามบอกใครนะว่าเอามาจากฉัน ตกลงไหม” หลินเจียวเจียวกล้าที่จะเอาของมาให้อ้ายหนิงขายเพราะทั้งสองคนเป็นสหายกันมานาน รู้ใจกันที่สุด ด้วยความที่นิสัยเหมือนกันจึงทำให้คบกันได้
“ได้สิ แต่ว่าราคาเท่าไหร่ เผื่อว่าใช้ดีแล้วมีคนสนใจจะได้บอกราคาถูก”
“สบู่ฉันขายให้เธอ สามหยวน เธอสามารถขาย สี่หยวนได้เลย ฉันได้กำไรเพียง ห้าเหมาเองฉันบอกเธอตรงๆ ไม่โกหกหรอก ส่วนแป้งทาหน้านี้แพงหน่อย แปดหยวน แต่เธอดันราคาได้ถึง สิบหยวนเลยนะ แต่ก่อนที่จะขายเธอลองใช้ดูก่อนแล้วจะรู้ว่ามันดีและเหมาะสมกับราคาหรือไม่”
“แต่จริงๆ แล้วมันมีเป็นชุดเลยนะ มีที่ทาตา ทาแก้ม ทาปาก แต่ฉันไม่ได้เอามา ครั้งหน้าฉันจะเอาให้เธอลองละกัน” จริงๆ แล้วหลินเจียวเจียวแค่เอามือหยิบไปในตะกร้าก็ได้แล้ว แต่เพราะว่าอยากจะให้สหายลองแค่นี้ก่อนถ้าหากว่าใช้ดี สหายของเธอคงจะถามขึ้นเอง
“จริงนะเจียวเจียวเธอห้ามโกหกฉันนะ ลูกชายฉันกำลังจะเข้าเรียน ฉันเลยต้องหาเงินเพิ่มขึ้นนะสิ” อ้ายหนิงบอก เธอมีลูก สองคนเหมือนกับหลินเจียวเจียว คนโตกำลังจะเข้าเรียน ส่วนคนเล็กอายุ สามปีแล้ว
“แล้วสามีเธอละ ไม่ช่วยบ้างเหรอไง”
“นี่ก็เกือบเดือนแล้วละเจียวเจียวที่อาตงไม่กลับบ้าน” อ้ายหนิงเองไม่ใช่ไม่รู้ว่าสามีนั้นมีผู้หญิงอื่น แต่เพราะลูกเธอไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กกำพร้าพ่อ เธอถึงยอมทนอยู่แบบนี้
“แล้วลูกๆ เธออยู่กับใครตอนที่เธอมาทำงาน” หลินเจียวเจียวนั้นรู้ว่าแม่สามีไม่ชอบสหายของเธอ จึงไม่คิดว่าเด็กๆ จะอยู่ที่ของบ้านแม่สามีอ้ายหนิง
“แม่ฉันมาดูให้ จะให้ฉันทำยังไงละ งานฉันก็ต้องทำ ถ้าเอาลูกไปฝากบ้านแม่สามีฉันก็กลัวว่าลูกฉันจะกินไม่อิ่มนะสิ เธอก็รู้ว่าครอบครัวนั้นเป็นยังไง”
ใช่หลินเจียวเจียวรู้ ไม่ต่างอะไรกับบ้านสามีของเธอเลย มีแต่คนเห็นแก่ตัวทั้งนั้นเว้นพี่สะใภ้ใหญ่ไว้คนหนึ่ง นั่นก็ซื่อยอมให้แม่สามีกับสะใภ้รองโขกสับเพียงเพราะแค่บ้านพี่สะใภ้ใหญ่จน
“ฉันก็ไม่รู้จะบอกเธอยังไงเพราะบ้านสามีฉันก็ไม่ต่างจากบ้านสามีเธอสักเท่าไหร่ เอาอย่างนี้ไหม ฉันมีสบู่ติดตัวมา ยี่สิบก้อน เธอลองเอาไปก่อนยังไม่ต้องจ่ายเงินให้ฉัน ขายได้ค่อยว่ากัน” ถึงแม้หลินเจียวเจียวจะไม่ใช่คนดี แต่กับสหายหากว่ามีเรื่องเดือดร้อนเธอก็พร้อมที่จะช่วย
“จริงเหรอเจียวเจียว ขอบใจเธอมากนะ” อ้ายหลินพูดอย่างดีใจ เธอคิดว่าต้องขายดีแน่ๆ เพราะกลิ่นของสบู่นั้นหอมมาก หอมกว่าที่สหกรณ์ขายซะอีก
“แต่เธอแอบดีๆ ละอย่าให้ใครเห็น ส่วนเรื่องสามีใจจริงฉันก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่เพราะเธอคือสหายที่ฉันรัก อ้ายหนิงเธอลองชั่งน้ำหนักในใจของเธอดูว่าอยู่แบบนี้มันได้อะไรขึ้นมา เพียงเพราะคำว่าพ่อของลูกเท่านั้นเหรอ เจ็บแต่จบ กับเจ็บไปตลอด เธอจะเลือกอะไร อย่ายึดติดกับคำว่าหญิงหม้ายสามีหย่า อ้ายหนิงเธอลองทบทวนแล้วคิดดู ว่าอยู่แบบนี้เธอและลูกๆ มีความสุขจริงไหม ฉันเชื่อว่าเธอรู้คำตอบของตัวเองมานานแล้ว เพียงแต่เธอไม่กล้าเท่านั้นเอง”
“ไม่ใช่ว่าแค่เธอนะที่กำลังจะตัดสินใจ แต่ตัวฉันก็เหมือนกัน บางครั้งมันก็เหนื่อยเกินไป เธอก็รู้ดีเรื่องฉันกับพี่เฉินหยาง ครั้งนี้ฉันตัดสินใจได้แล้วว่า ฉันจะทำยังไงยื้อไปก็มีแต่เหนื่อยและทุกข์ใจทั้งสองคน ถ้าเขาต้องการหย่าตามที่แม่เขาบอก ฉันก็พร้อมที่จะหย่าเหมือนกัน แต่ถ้าเขาเลือกฉันกับลูกก็ค่อยว่ากันอีกที จำคำฉันไว้นะ หญิงหม้ายไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจ เธอสามารถหาเงินเลี้ยงดูลูกๆ ของเธอเองได้นี่ ในเมื่อคนเป็นพ่อไม่สนใจ เธอจะทนทำไมละ”
“วันนี้ฉันกลับก่อนถ้ายังไงเธอเข้าไปหาฉันที่บ้านได้นะ เดี๋ยวฉันไปจ่ายเงินค่านมผงก่อน ส่วนนี้ขนมฝากไปให้เด็กๆ ด้วย ฝากสวัสดีแม่ด้วยนะ ไว้ว่างๆ ฉันจะเข้าไปหา”
หลินเจียวเจียวพูดจบก็เดินไปจ่ายเงินค่านมผงพร้อมกับคูปอง จริงๆ แล้วหลินเจียวเจียวต้องการให้อ้ายหนิงมาเป็นพี่สะใภ้ เพราะเธอรู้ว่าพี่ชายใหญ่นั้นแอบรักอ้ายหนิงมาตลอด แต่เพราะความไม่กล้าพูดไง สามีคนปัจจุบันจึงทำคะแนนนำจนได้แต่งงานกับอ้ายหนิงแทน ใครจะคิดว่าผู้ชายที่ดูดีดูเรียบร้อยจะเลวได้ขนาดนี้ ทิ้งลูกทิ้งเมียตัวเองเพื่อไปเอาใจผู้หญิงที่เป็นลูกเจ้านาย ผู้หญิงนั้นก็อะไร รู้ทั้งรู้ว่าผู้ชายมีครอบครัวแล้วยังอยากจะได้ เหมาะสมกันแล้วละเลวทั้งคู่
หลินเจียวเจียวเมื่อเดินมาที่ไม่มีคนเธอจึงเอาของที่ต้องใช้ทั้งหลายออกมาใส่ไว้ในตะกร้าเพราะไม่อยากให้ใครสงสัย ใจจริงเธออยากเอาจักรยานในห้างสรรพสินค้าออกมาใช้เหมือนกันนะ แต่เพราะไม่อยากเจอคำพูดของคน รอให้ขายของสักระยะนึงก่อนค่อยเอาออกมา ตอนนี้ก็เดินเท้าหรือไม่ก็ขึ้นเกวียนของหมู่บ้านไปก่อนละกัน
ไม่นานหลินเจียวเจียวก็เดินมาถึงที่เกวียนจอดรออยู่ ตอนนี้ชาวบ้านยังมาไม่ครบ เธอจึงเดินมานั่งรอข้างๆ เพราะไม่อยากจะวุ่นวายกับสองแม่ลูกบ้านซู
“อ้าวเจียวเจียววันนี้ออกมาซื้ออะไรเหรอลูก” ป้าชุนแม่ของพี่ชุนเผิงหรือที่พี่ชายรองเรียกสหายว่าอาเผิง
“ฉันมาซื้อของนะป้า พอดีว่าอีก สองวันจะมีตลาดนัดหมู่บ้านข้างๆ ฉันเลยคิดว่าจะทำซาลาเปาไปลองขายดูนะ” หลินเจียวเจียวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ดีแล้ว แล้วนี่เด็กๆ ละอยู่ไหนกัน” ป้าชุนเห็นว่าเจียวเจียวพูดดีไม่โวยวายหรือว่ามองเธอด้วยหางตาเหมือนเมื่อก่อน ก็พูดกับเธอด้วยความเอ็นดู ยังไงเนื้อแท้ของหลินเจียวเจียวก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ตอนนี้เธอคงจะกลับตัวกลับใจแล้วละ ป้าชุนได้แต่คิดในใจ
“เด็กๆ อยู่กับแม่ค่ะป้า ไม่อยากพาออกมากลัวว่าเด็กๆ จะเหนื่อย” ในเมื่อป้าชุนพูดดีกับเธอ หลินเจียวเจียวเธอก็พูดดีด้วย
“กลัวว่าลูกจะเหนื่อยหรือกลัวว่าผู้ชายที่เธอนัดไว้จะรับไม่ได้ละ แต่ฉันว่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่านะ” ซูเย่วอิงพูดขึ้น เพราะเธอยังโกรธหลินเจียวเจียวที่เมื่อเช้ามาว่ากระทบเธอ
ชาวบ้านที่ได้ยินคำพูดนี้จากปากซูเย่วอิงก็ได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่คิดว่าคนที่เป็นถึงลูกสาวผู้นำหมู่บ้านจะกล้าด่าว่าหลินเจียวเจียวรุนแรงเช่นนี้
“เย่วอิงก่อนที่เธอจะว่าฉันเธอลองเอากระจกส่องตัวเองดูก่อนไหม ถึงฉันจะไม่ใช่คนดี และปากร้ายแค่ไหน ฉันก็ไม่ใช่คนที่จะทำอย่างที่เธอพูดหรอกนะ”
“ในเมื่อฉันมีสามีอย่างพี่เฉินหยางที่ดีแสนดีขนาดนี้ ถ้าหากฉันคิดที่จะสวมหมวกเขียวให้กับสามี ฉันก็เลวเกินคนแล้วละ เป็นเธอละไม่แน่ รู้ทั้งรู้ว่าพี่เฉินหยางมีครอบครัวแล้ว ก็ยังคิดที่จะเข้ามาแทรกกลาง เธอคิดว่าคนดีๆ แบบไหนทำอย่างนี้บ้างละ แล้วก็นะฉันอยู่ของฉันดีๆ อย่าคิดที่จะมาหาเรื่องใส่หัวฉันเพราะถ้าฉันทนไม่ไหวขึ้นมา เธอจะไม่มีปากไว้กินข้าว”
หลินเจียวเจียวด่าอย่างไม่ไว้หน้าคิดว่าเธอไม่กล้าหรือไง น้อยไปละสิกล้าใส่ร้ายฉันก็รับเรื่องเหม็นเน่าที่ตัวเองทำก็แล้วกัน
“กรี๊ด ...เพราะแกนั่นแหละ ถ้าไม่มีแกพี่เฉินหยางก็ต้องแต่งงานกับฉัน แกมันหน้าด้านมาแย่งเขาไป” ซูเย่วอิงก็ไม่ยอมเหมือนกัน เพราะว่าป้าเจียงหลานแม่ของพี่เฉินหยางต้องการให้พี่เฉินหยางแต่งงานกับเธอไม่ใช่กับนังหลินเจียวเจียว เธอไม่เชื่อหรอกนะว่าพี่เฉินหยางจะแต่งงานเพราะว่าชอบนังหลินเจียวเจียว ป้าเจียงหลานบอกกับเธอเสมอว่าพี่เฉินหยางนั้นแทบจะไม่สนใจมันเลยนอกจากลูกๆ
“ฉันถามจริงเถอะ ต่อให้ฉันจะเล่นเล่ห์โกงยังไงเธอคิดว่าคนอย่างพี่เฉินหยางจะมีใครบังคับเขาได้ไหม แล้วก็อีกอย่าง ไอ้นั่นของพี่เขาไม่ได้อยู่ที่หน้าขาซะหน่อยที่ฉันจะเดินไปเสียบได้ตามใจ ถ้าตัวเขาไม่เต็มใจฉันจะมีลูกถึงสองคนรึไง สมองน่ะคิดหน่อย ไม่ใช่มีไว้คิดแค่เรื่องแย่งสามีชาวบ้าน” คิดว่าคนอย่างหลินเจียวเจียวจะอายเหรอ ฝันไปเถอะ ถึงกลับมาเกิดใหม่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องยอมให้คนอื่นมาด่าว่านี่
ชาวบ้านที่ได้ยินหลินเจียวเจียวด่าซูเย่วอิงแบบนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาอมยิ้มกัน สิ่งที่หลินเจียวเจียวพูดนั้นชาวบ้านแทบจะเห็นด้วย มีแค่คนที่ไม่ถูกกับเธอเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าข้างซูเย่วอิงเพราะคำว่าลูกสาวผู้นำหมู่บ้านเท่านั้นเอง แต่ถ้าถามถึงนิสัยของซูเย่วอิงนั้น ชาวบ้านทั้งหลายก็มีเพียงส่ายหัวเท่านั้นเอง
********************