บทที่ 10 ขายของที่ตลาดนัดครั้งแรก

2011 คำ
“ฉันก็จะเข้าไปในบ้านลูกชายฉันนะสิ” กู้เจียงหลานสะบัดหน้าตอบ “เข้าไปทำไมลูกชายคุณแม่ไม่อยู่ อยู่แต่หลานๆ คุณแม่คงไม่คิดถึงจนอยากจะเจอหลานๆ หรอกใช่ไหมคะ” “แล้วทำไมฉันจะเข้าไม่ได้ในเมื่อบ้านหลังนี้เป็นของลูกชายฉัน คอยดูเถอะอาหยางหลับมาฉันจะให้เขาหย่ากับแก” กู้เจียงหลานรู้สึกเสียหน้าที่นังลูกสะใภ้คนนี้มันรู้ทัน “เชิญค่ะ ถ้าลูกชายคุณแม่อยากจะหย่ากับฉัน ฉันหลินเจียวเจียวก็ยินดี แต่ถ้าลูกชายคุณแม่ไม่ยอมหย่าจะมาว่าสะใภ้อย่างฉันไม่ได้นะคะ” อยากจะหย่านักก็เชิญคิดว่าคนอย่างหลินเจียวเจียวจะง้อเหรอ สามีถ้ามัวแต่หลับหูหลับตาเชื่อแม่ของตัวเองก็เชิญค่ะ ฉันจะหาสามีที่ดีกว่าให้ดู อย่าคิดว่าคนอย่างฉันทำไม่ได้ “แกกล้าหย่ากับอาหยางเหรอ” กู้เจียงหลานไม่คิดว่าหลินเจียวเจียวจะกล้าตอบแบบนี้ ในเมื่อมันรักอาหยางมากไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม... เธอได้แต่สับสนในใจ “ทำไมจะไม่กล้าคะ รักก็ส่วนรัก แต่ไม่จำเป็นต้องทน คุณแม่บอกมาดีกว่าค่ะ ว่าคุณแม่และลูกสะใภ้สุดโปรดมาทำไมที่บ้านฉัน ฉันมีอะไรให้ทำอีกเยอะแยะ ไม่มีเวลาว่างมารอคุณแม่พูดหรอกนะคะ” หลินเจียวเจียวคิดว่าคุยกับคนสมองกลับแบบนี้เสียเวลาทำมาหากิน เธอยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ พรุ่งนี้เธอต้องไปขายซาลาเปาแล้ว มัวแต่มาวุ่นวายกับสองคนนี้เพื่ออะไร “ฉันได้ข่าวว่าเมื่อวานเธอเข้าไปในเมืองมา ซื้อของมามากมายเต็มตะกร้า ฉันเลยจะมาแบ่งเอาของไปบ้านใหญ่ เธอควรจะแสดงความกตัญญูต่อครอบครัวสามีบ้างนะ ไม่ใช่อะไรก็ให้แต่บ้านเดิม” กู้เจียงหลานบอกความต้องการออกไปในที่สุด นั่นไงหลินเจียวเจียวคิดไว้ไม่มีผิด คงไม่มีใครหรอกนอกจากซูเย่วอิงที่ปะทะกับเธอเมื่อวานคงจะมาบอกกับสะใภ้รองละสิ “ฉันให้ไม่ได้ค่ะ ฉันจะเอาไว้ทำของขายที่ตลาดนัดพรุ่งนี้ คุณแม่มีเงินก็ไปซื้อเองสิคะ จะมาเอาที่นี่ทำไม” “นี่แกไม่คิดจะแสดงความกตัญญูต่อแม่สามีเลยรึไง ของแค่นี้ทำไมถึงให้ไม่ได้” “เอ้า แล้วทำไมเธอถึงไม่แสดงความกตัญญูบ้างละ มัวแต่กตัญญูบ้านเดิมระวังแม่สามีจะจับได้นะว่าเธอแอบเอาของที่บ้านใหญ่กลับบ้านเดิม” หลินเจียวเจียวเองก็ไม่อยากยุ่งแต่เพราะสะใภ้รองมาวุ่นวายกับเธอเองทั้งๆ ที่เธอเตือนแล้วแท้ๆ อย่ามาว่าเธอไม่เกรงใจละกัน หานอี๋ฉิงเมื่อเห็นว่าความลับจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปก็ได้แต่ยืนหน้าซีดไม่คิดว่านังหลินเจียวเจียวมันจะรู้เรื่อง “นี่แกอย่ามาใส่ร้ายสะใภ้รองบ้านฉันนะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าอี๋ฉิงจะทำ ไม่ใช่แกเองเหรอที่เอาของไปให้บ้านเดิมอย่าคิดว่าฉันไม่รู้” กู้เจียงหลานไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าลูกสะใภ้ที่เธอเลือกมาเองกับมือจะทำอย่างนั้น “แล้วไง ก็เงินฉัน ฉันจะทำอะไรก็ได้” “หยุดนะ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าคิดที่จะเปิดประตูเข้าไป” หลินเจียวเจียวกระชากแม่สามีและหานอี๋ฉิงออกมาจากประตู ถึงแม้ว่าเธอจะให้ลูกๆ ล็อกประตามแล้วก็ตาม ในเมื่อพูดแล้วไม่ฟังก็เจอกันหน่อยละ “พลั๊ก ตุ้บ” หลินเจียวเจียวถีบเข้ากลางลำตัวของหานอี๋ฉิง จากนั้นก็เหวี่ยงแม่สามีออกไปหน้าบ้าน “โอ๊ย แกกล้าถีบฉันเหรอนังเจียวเจียว” หานอี๋ฉิงไม่คิดว่านังหลินเจียวเจียวจะกล้าทำร้ายเธอและแม่สามี “ใช่ มากกว่านี้ก็กล้าจะลองดูไหมละ ส่วนคุณฉันยังคิดว่าคุณเป็นแม่ของพี่เฉินหยาง ฉันจึงไม่ทำอะไรมากกว่านี้ แต่ถ้ายังไม่หยุด หรือยังอยากจะมาวุ่นวายกับฉันและครอบครัวฉันอีก ก็อย่าหาว่าฉันร้ายก็แล้วกัน ฉันเตือนทั้งสองคนแล้วนะ ในเมื่อพี่เฉินหยางแยกครอบครัวแล้วพวกคุณทั้งสองคนก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่มย่ามกับของของฉัน จำเอาไว้” หลินเจียวเจียวเริ่มจะหมดความอดทนแล้วกับบ้านสามี เชื่อเข้าไปกับสะใภ้คนโปรด ล่มจมเมื่อไหร่เธอจะคอยสมน้ำหน้า ถ้าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้แยกครอบครัวออกมาจริงๆ เธออยากจะรู้เหลือเกินว่าบ้านนั้นจะอยู่กันยังไง “แก..แก ฉันจะให้อาหยางหย่ากับแกนังหลินเจียวเจียว” กู้เจียงหลานชี้หน้าด้วยความโกรธ “คุณแม่สามีขา พูดเป็นแค่นี้เหรอ ตั้งแต่มานี่ฉันเห็นว่าแม่สามีพูดหลายครั้งแล้วนะ และฉันก็ยืนยันคำเดิมว่าถ้าพี่เฉินหยางอยากจะหย่ากับฉัน ฉันก็พร้อมที่จะหย่าให้ คุณแม่สามีมีเรื่องอื่นที่จะขู่ฉันอีกไหม เอาที่มันน่ากลัวหน่อยนะคะ เรื่องหย่ามันเรื่องเล็กน้อยสำหรับฉันมาก ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญค่ะ เสียเวลาตอนนี้ฉันยังให้เกียรติเรียกคุณว่าแม่ว่าสามี คุณอย่าทำให้ฉันหมดความนับถือเลย เชิญออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว ฉันจะทำงาน” หลินเจียวเจียวไล่ทั้งสองคน ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มที่จะมุงดูเรื่องสนุก หลินเจียวเจียวไม่สนใจว่าใครจะมองเธอยังไง ในเมื่อเธอเป็นนางร้ายสำหรับในหมู่บ้านนี้อยู่แล้ว เธอไม่ได้หน้าบางถึงขนาดนั้นที่จะต้องอายใคร กู้เจียงหลานเมื่อเห็นว่าชาวบ้านเริ่มจะมุงดูกันเยอะก็เกิดหน้าบางขึ้นมา รีบชวนสะใภ้รองกลับบ้าน ก่อนไปยังตะโกนด่าและบอกกับหลินเจียวเขียวว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ” แต่มีเหรอที่หลินเจียวเจียวจะยอม เธอจึงตะโกนกลับไปว่า “ฉันไม่รับฝาก” ก่อนจะหัวเราะด้วยเสียงที่สดใส แต่ชาวบ้านกลับคิดว่า นี่มันนางมารชัดๆ มีอย่างที่ไหนทะเลาะกับแม่สามีตัวเอง หลินเจียวเจียวเมื่อเห็นว่าคนบ้าทั้งสองคนไปแล้วก็กลับเข้าไปในบ้านชวนลูกช่วยกันทำซาลาเปาและเกี๊ยวกันต่อ ค่ายทหาร “เฉินหนาวปีใหม่นี้นายกลับบ้านไหม” อาเทียนถามสหาย “กลับสิ แล้วนายละ”ซ่งเฉินหยางถามกลับ “จะไม่กลับได้ยังไงคิดถึงภรรยาที่รักจะตายอยู่แล้ว” อาเทียนนั้นภรรยาพึ่งจะคลอดลูกชายคนแรกให้ จะไม่ให้เขากลับบ้านได้ยังไง “แต่ท่านผู้พันบอกว่าอีกสองเดือนจะภารกิจไม่ใช่เหรอ ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะนานแค่ไหน” ซ่งเฉินหยางพึ่งจะรู้เมื่อเช้านี้ “จะกี่วันก็ช่างเอาแค่ตัวเองปลอดภัยกลับมาก็พอแล้ว”อาเทียนไม่รู้หรอกว่าภารกิจในครั้งนี้จะใช้เวลานานแค่ไหน ขอเพียงทุกคนปลอดภัยกลับไปเจอครอบครัวได้ก็พอแล้ว “พี่เฉินหยาง พี่ทานอาหารรึยังคะ ฉันเอาขนมมาฝาก” ฟางหนิงพยาบาลสาวที่อยู่ในค่ายทหาร เธอแอบรักพี่เฉินหยางของเธอมานานแล้ว “ไม่เป็นไรครับขอบคุณ ขอตัวก่อนนะครับ” ซ่งเฉินหยางปฏิเสธน้ำใจของฟางหนิง เขารู้ว่าเธอมีความรู้สึกพิเศษให้กับเขา แต่เฉินหยางไม่อาจรับไว้ได้เพราะเขามีภรรยาและลูกรอคอยอยู่ที่บ้าน ถึงเขาเหมือนจะไม่สนใจภรรยาแต่เธอก็คือผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในใจเขา กลับมาที่หลินเจียวเจียว ครั้งนี้เธอลองทำซาลาเปา หนึ่งร้อยลูก ไส้ผัก ห้าสิบลูก ไส้เนื้อ ห้าสิบลูก ยังมีเกี๊ยวไส้เนื้ออีก ไส้เน้นๆ ให้มันรู้ไปว่าจะขายไม่ได้ ถ้าเกิดขายไม่ได้จริงไก็แจกให้ชาวบ้านกิน หลินเจียวเจียวคิดว่าเธอเองก็ไม่ได้ลงทุนอะไรนอกจากแรงแค่นิดหน่อย ขายได้ก็ดีขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไรให้ได้รู้ว่าทำแล้วจะได้ไม่เสียใจที่หลัง ที่มัวแต่คิดว่าทำไมฉันถึงไม่ทำ “เอาละเด็กๆ ไปล้างตัวแล้วมาดื่มนมนอนได้แล้วพรุ่งนี้เราต้องไปขายของกันแต่เช้า ลูกๆ สู้ไหม” “สู้ค่ะ/สู้ครับ” สองแฝดตอบ “น่ารักที่สุดเลย ไปจ๊ะไปล้างตัวก่อนนะ จะได้มาดื่มนมและเข้านอน” เด็กน้อยทั้งสองคนรีบไปล้างตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ทั้งสองพี่น้องกลัวที่นอนสกปรกเลยคิดว่าเปลี่ยนชุดใหม่ดีกว่า หลินเจียวเจียวก็เห็นด้วยที่ลูกทั้งสองคนนั้นรักสะอาด เมื่อทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็มาดื่มนมที่แม่ชงให้ ก่อนจะเข้าห้องไปนอน หลินเจียวเจียวเมื่อเห็นว่าลูกน้อยทั้งสองคนเข้าห้องไปแล้ว เธอก็คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตและสิ่งที่ท่านเทพพาไปเจอ เวลาเหลือเพียงสี่เดือนเท่านั้นที่สามีเธอจะบาดเจ็บกลับมา เธอไม่สามารถที่จะเปลี่ยนอะไรได้มากนอกจากป้องกันไม่ให้มันร้ายแรง เธอตั้งใจว่าตอนที่ส่งของไปให้สามีเธอจะใส่เสื้อกันกระสุนไปด้วยหลินเจียวเจียวแอบเห็นว่ามีร้านขายในห้างสรรพสินค้า เธอคิดว่าห้างในอนาคตมีทุกอย่างจริงๆ แม้กระทั่งร้านขายอาวุธ แต่เธอจะบอกกับสามียังไงถ้าเกิดเขาถาม อย่างมากก็บอกซื้อมาจากตลาดมืดเพราะที่นี่มีขายทุกอย่างจริงๆ เช้าวันถัดมา หลินเจียวเจียวเตรียมของทุกอย่างไว้ในรถเข็น เด็กน้อยทั้งสองคนรู้เวลาไม่ต้องให้แม่เข้ามาปลุก “เด็กๆ มาทานโจ๊กกันก่อนนะ เสร็จแล้วเราจะได้เดินทางกัน” หลินเจียวเจียวบอกลูกน้อยทั้งสองคน จากนั้นสามคนแม่ลูกก็กินอาหารเช้ากันอย่างอร่อย หลินเจียวเจียวไม่ใช่ไม่ตื่นเต้น แต่เธอตื่นเต้นมากเลยละ ถ้าเธอเป็นคนดีหรือว่าไม่เคยสร้างศัตรู หลินเจียวเจียวจะไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ แต่นี่หันไปทางไหนก็เจอคู่อริ แต่ช่างมันเธอขายของด้วยความบริสุทธิ์ใจใครจะคิดอะไรก็ช่างไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร ใช้เวลาไม่นานในการเดินทางมาถึงตลาดที่หมู่บ้านข้างๆ จะว่าเป็นหมู่บ้านข้างๆ ก็ไม่เชิง เพราะมันเป็นรอยต่อของสองหมู่บ้าน “คุณป้าคะไม่ทราบว่าฉันจะตั้งร้านขายตรงนี้ได้ไหมคะ หรือว่าต้องติดต่อใคร” หลินเจียวเจียวถามป้าคนที่ขายตะกร้า “ตั้งได้เลยหนู เดี๋ยวจะมีคนมาเดินเก็บค่าที่เอง แล้วนี่หนูขายอะไรเหรอกลิ่นหอมเชียว” คุณป้าขายตะกร้าถามด้วยรอยยิ้ม “ฉันขายซาลาเปาคะ มีเกี๊ยวด้วยนะคะ” หลินเจียวเจียวตอบพลางจัดร้านไปพลาง ไม่นานสามคนแม่ลูกก็จัดร้านเสร็จ หลินเจียวเจียวตั้งหม้อนึ่งซาลาเปากับเกี๊ยว กลิ่นอาหารของเจียวเจียวลอยคลุ้งไปหมด บ่งบอกได้เลยว่ามีเนื้ออยู่ด้วยแน่นอน แต่พอเห็นว่าใครเป็นคนขายแต่ละคนอยากจะซื้อแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปเพราะชาวบ้านส่วนมากรู้ชื่อเสียงของหลินเจียวเจียวดี เธอและลูกน้อยตั้งร้านมาเกือบชั่วโมงแล้วแต่ยังไม่มีใครเข้ามาซื้อ “ใครจะกล้าซื้อชื่อเสียงฉาวโฉ่ขนาดนั้น” นั่นไงมันต้องมีเรื่องให้ได้ตลอดเลยสินะ หลินเจียวเจียวคิดในใจก่อนจะหันไปมองเจ้าของเสียง ********************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม