เมื่อกลับมาถึงบ้านหลินเจียวเจียวให้ลูกทั้งสองคนล้างตัวแล้วเปลี่ยนชุดใหม่ จากนั้นเธอก็เข้าไปชงนมให้ลูกน้อยทั้งสองคนดื่ม ดื่มนมเสร็จก็ให้นอนพักผ่อน เธอคิดว่าเด็กอายุเท่านี้ควรที่จะพักผ่อนให้เต็มที่และกินให้อิ่ม เธอรู้สึกว่าการได้ดูแลลูกๆ และคนที่เธอรักนั้นมันมีความสุขมากแค่ไหน
เช้าวันถัดมา
หลินเจียวเจียวตื่นมาทำอาหารให้ลูกน้อยตั้งแต่เช้า วันนี้เธอทำไข่ตุ๋น ต้มจืดหมูสับ แล้วยังทำแกงไก่ไว้อีกหม้อ สามอย่างนี้เธอดูว่ามันน่ากินเลยลองดู อาหารแต่ละอย่างที่เธอทำ เธอดูจากหนังสืออาหารมีหลายเชื้อชาติที่มีในห้างสรรพสินค้า ตั้งแต่เธอกลับมาเกิดใหม่เธอรู้สึกว่าเธออ่านหนังสืออะไรเธอก็สามารถจำได้หมด แม้เธอจะอ่านผ่านตาเพียงครั้งเดียว นี่อาจจะเป็นพรที่ท่านเทพมอบให้เธอก็ได้
หลินเจียวเจียวนั่งคิดว่าวันนี้เธอต้องทำอะไรบ้าง อย่างแรกเลยเธอจะเข้าไปหาพี่ชายใหญ่ และจะไปหาสหายที่สหกรณ์เพื่อเอาพวกแป้งทาหน้าลิปสติก และที่ขาดไม่ได้เลยคือสบู่ไปให้กับสหายเธอลองใช้ดู เธอเชื่อว่าของในห้างสรรพสินค้านั้นต้องเป็นของดี ในยุคนี้ของเธอคงไม่ดีแบบนี้แน่ๆ เธอนั่งคิดไปก็ยิ้มไป จะไม่ให้เธอมีความสุขได้ยังไงในเมื่อมันคือเงินทั้งนั้น ในเมื่อตอนนี้ยังไม่สามารถค้าขายแบบอิสรเสรีอย่างในอนาคตที่คุณตาพาเธอไปดู แต่ก็เอาแบบนี้ละกัน ดีเธอมีมิติไม่อย่างนั้นคงจะลำบากในการขนของแน่ๆ
เมื่อเด็กน้อยทั้งสองคนเห็นว่าแม่เจียวเจียวนั่งยิ้มอย่างมีความสุขถามขึ้นอย่างสงสัย
“แม่ขาแม่นั่งยิ้มอะไรคะ” ซ่งเหมยจูถามแม่ของเธอ
“แม่มีความสุขมาก ที่มีลูกๆ น่ารักทั้งสองคนไง มาให้แม่กอดหน่อย” หลินเจียวเจียวอ้าแขนทั้งสองข้างเพื่อจะรับร่างเด็กน้อยทั้งสองคนเข้ามาในอ้อมกอด เมื่อเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมกอดของแม่แล้วก็ยิ้มแย้มอย่างยินดี เพราะนี่คือสิ่งที่เด็กน้อยทั้งสองคนโหยหามาตลอด
“วันนี้ลูกทั้งสองคนห้ามดื้อกับคุณยายนะ แม่จะไปซื้อของมาทำซาลาเปาไว้ขาย ลูกๆ ทั้งสองคนอยากไปขายของกับแม่ที่ตลาดไหม”
“ไปค่ะ/ไปครับ”
“หนูจะไปช่วยแม่ขายซาลาเปา บ้านเราจะได้มีเงินเยอะๆ ไงคะ พ่อจะได้ไม่ต้องทำงานเยอะจะได้มีเวลามาหาพวกเราบ่อยขึ้น” ซ่งเหมยจูเมื่อพูดถึงบิดาก็ทำหน้าเศร้าลงทันที นานแล้วที่พ่อไม่ได้กลับมาบ้าน เธออยากจะบอกพ่อเหลือเกินว่าตอนนี้แม่เป็นคนใหม่แล้วและก็ดีกับเธอและน้องมากด้วย ซ่งเหมยจูรู้เพียงว่าพ่อของเธอนั้นเป็นทหาร หนึ่งปีจะกลับมาบ้านเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
“เอาอย่างนี้ไหมแม่จะซื้อเนื้อมาเยอะๆ และขนมที่เก็บได้นานๆ เรามาทำเนื้อตากแห้งส่งไปให้พ่อกันดีไหมลูก เวลาพ่อกินจะได้คิดถึงเราแล้วรีบกลับมาหาลูกๆ ไง” หลินเจียวเจียวเห็นว่าลูกๆ เริ่มจะทำหน้าเศร้าเมื่อพูดถึงพ่อของพวกเขา เธอเลยหาเรื่องอื่นมาพูดเพื่อให้เด็กน้อยทั้งสองคนอารมณ์ดีขึ้น
“ดีค่ะ หนูจะช่วยแม่ทำด้วย พ่อจะต้องมีความสุขแน่ๆ เลย” ซ่งเหมยจูยิ้มอย่างดีใจ
“ผมช่วยด้วยครับ” ซ่งจื้อผิงรีบยกมืออีกคน เขาต้องการที่จะไปช่วยแม่และพี่สาวขายของด้วยเหมือนกัน
“ลูกแม่ทั้งสองคนเก่งมากเลยกล้าหาญตั้งแต่เด็ก แถมรู้ความอีกด้วย” หากเป็นเด็กบ้านอื่นคงจะคิดเรื่องวิ่งเล่น แต่ลูกเธอทั้งสองกลับคิดที่จะช่วยเธอหาเงินเข้าบ้าน มันน่าภูมิใจที่สุด
“ตื่นกันรึยังเด็กๆ ยายมาแล้ว” จางย่าเจียวส่งเสียงเข้ามาก่อนตัว
“ตาก็มานะ/ลุงรองก็มา” สองพ่อลูกไม่มีใครยอมน้อยหน้า ต่างก็ส่งเสียงเรียกหลานทั้งสองกันจ้าละหวั่น
“สวัสดีค่ะคุณตาคุณยายลุงรอง” ซ่งเหมยจูพอเห็นว่าใครเข้ามาก็รีบกล่าวอย่างดีใจ
“สวัสดีครับทุกคน” ซ่งจื้อผิงยังเป็นเด็กน้อยที่ประหยัดคำพูดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือส่งรอยยิ้มให้กับทั้งสามคน
“ทุกคนมาก็ดีแล้ว หนูฝากเด็กๆ ด้วยนะคะพ่อแม่ พี่ชายรองฉันฝากลูกด้วยนะแล้วจะรีบกลับ” หลินเจียวเจียวไม่อยากไปสายเดี๋ยวจะไม่ทันเกวียนที่เข้าไปในเมือง
“เดินทางดีๆ นะลูก” จางย่าเจียวบอกกับลูกสาว
หลินเจียวเจียวเมื่อออกมาจากบ้านพร้อมกับตะกร้าสะพายหลังก็รีบเดินไปที่คนอื่นๆ ยืนรอขึ้นเกวียนของหมู่บ้าน ก็เจอเข้ากับซูเย่วอิงและแม่ของเธอ หลินเจียวเจียวคิดว่าวันนี้เธอก้าวเท้าข้างไหนออกมาจากบ้าน ถึงต้องเจอกับสองแม่ลูกนี่
“ต๊าย ตาย วันนี้ลมอะไรหอบหลินเจียวเจียวคุณนายภรรยาทหารแบกตะกร้ามารอขึ้นเกวียนละเนี่ย” แม่ของซูเย่วอิงพูดขึ้นย่างเสียงดัง
“ไม่มีลมอะไรหอบฉันหรอกป้าซู เพียงแค่ฉันอยากจะเข้าไปซื้อของในเมืองแล้วก็จะแวะไปหาพี่ใหญ่ก็เท่านั้น ส่วนภรรยานายทหารที่ป้าพูดถึง ฉันหลินเจียวเจียวก็ขอน้อมรับค่ะ เพราะสามีฉันเป็นทหารจริงๆ แต่คำว่าคุณนายฉันไม่ขอรับนะสามีฉันเป็นแค่ทหารธรรมดา แต่ในอนาคตอาจจะเป็นผู้พันหรือนายพลก็ได้ ใครจะไปรู้ แต่ว่านะป้า ฉันนี่มีวาสนาเนอะถึงได้เป็นภรรยานายทหาร ไม่เหมือนบางคนที่เอาตัวเองใส่ตะกร้าวางไว้ถึงเตียงแต่เขากลับไม่สนใจมองเลย ถ้าฉันเป็นญาติหรือพ่อแม่ของผู้หญิงคนนั้นเวลาออกจากบ้านฉันคงเอาปี๊บคลุมหัวแน่ๆ เพราะฉันอายกับการกระทำของเธอคนนั้น ป้าซูคิดเหมือนฉันไหม” มีเหรอที่หลินเจียวเจียวจะยอมให้คนอื่นมาว่ากระทบ อย่าลืมสิในอดีตเธอเป็นนางร้ายประจำหมู่บ้านเชียวนะ
“กรี๊ด นังหลินเจียวเจียวแกกล้าว่าฉันเหรอ” ซูเย่วอิงรับไม่ได้ที่หลินเจียวเจียวว่ากระทบเธอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็เถอะ
“อย่าร้อนตัวสิ ฉันเอ่ยชื่อเธอสักคำรึยัง ซูเย่วอิง”
“และการที่เธอกรีดร้องโวยวาย ก็แสดงว่าคนที่ฉันพูดถึงคือเธอหรอกเหรอ ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย ว๊ายตกใจหมดเลยฉันก็คิดอยู่ตั้งนานว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร อิอิ” หลินเจียวเจียวพูดเสร็จก็ไม่คิดจะสนใจสองแม่ลูกที่กำลังโมโหอยู่
“แกอย่าคิดนะว่าพี่เฉินหยางจะรักจะชอบแก เขาแต่งงานกับแกเพราะต้องรับผิดชอบเพียงเท่านั้น”
“โอ๊ะ ไม่รู้นะเนี่ยว่าเธอไปเป็นพยาธิในท้องของสามีฉัน ถึงได้รู้ดีขนาดนี้ แต่ก็นะถ้าเธอคิดจะแย่งเขาไปก็ช่วยกรุณาดูหนังหน้าของตัวเองด้วย การที่ฉันไม่ใช่คนดีหรือปากร้ายยังไง ฉันก็ทำให้เห็นซึ่งๆ หน้า ดีกว่าคนบางคนต่อหน้าแสนจะเรียบร้อยแต่ลับหลังยิ่งกว่าฉันอีก”
“กรี๊ด แก แก”
“หยุด! ถ้าไม่หยุดแม่ตบคว่ำตรงนี้จริงๆ นะ หัดเกรงใจคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ตรงนี้บ้าง ร้องโหยหวนยังกะผีขอส่วนบุญ มิน่าล่ะอายุขนาดนี้แล้วยังไม่มีใครมาสู่ขอ” หลินเจียวเจียวรำคาญเสียงกรีดร้องที่ดังยิ่งกว่าโทรโข่งอีก ไม่รู้ว่าบ้านนี้เลี้ยงลูกกันยังไง ป้าซูก็เหมือนกันบทจะดีก็ดี บทจะกัดแขวะก็พูดจาแขวะเธอซะอย่างนั้น อยากรู้จริงว่าบ้านนี้มีใครปกติไหม
เมื่อเกวียนประจำหมู่บ้านมาถึง ชาวบ้านที่ยืนรอก็ทยอยขึ้นเกวียนเพื่อที่จะเข้าไปในเมือง พอถึงที่หมายคนขับเกวียนก็จะบอกเวลากลับหมู่บ้านหากว่าใครมาไม่ทันเวลา คนนั้นก็จะเดินกลับหรือไม่ก็จ้างเหมาเกวียนเล่มอื่นไป
หลินเจียวเจียวคิดจะไปหาพี่ชายที่โรงงานเป็นอันดับแรกเลย เธอเตรียมขนมหลายอย่าง อย่างละกล่องเพื่อที่จะเอาฝากให้พี่ชายลองชิม พอมาถึงเธอก็บอกยามว่ามาหาพี่ชายที่ชื่อหลินต้าจิน พร้อมกับมอบขนมให้หนึ่งกล่องเพื่อเป็นน้ำใจที่เขาไปตามพี่ชายใหญ่มาให้ ไม่นานพี่ชายใหญ่วิ่งออกมาหน้าตาตื่น
“เจียวเจียวน้องมีอะไรหรือเปล่า หรือว่าที่บ้านเกิดเรื่อง ไม่สิหรือว่าบ้านสามีมาหาเรื่องน้องอีก” หลินต้าจินถามน้องสาวด้วยอาการตกใจ ปกติแล้วน้องสาวของเขาไม่เคยมาที่นี่
หลินเจียวเจียวเมื่อเห็นอาการลุกลี้ลุกลนของพี่ชายใหญ่ เธอก็ขำพรืดขึ้นมาว่า
“พี่ใหญ่ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่เอาขนมมาฝากเท่านั้น ขนมนี่ฉันทำเองพี่ลองกินดู แบ่งเพื่อนๆ ก็ได้นะ”
“เอาตรงๆ เจียวเจียว พี่ไม่เชื่อหรอกว่าเราจะเอาเพียงแค่ขนมมาให้พี่กิน” หลินต้าจินไม่เชื่อว่าน้องสาวเขามาเพียงเรื่องแค่นี้
“พี่นี่เหมาะที่จะเป็นพี่ชายฉันจริงๆ รู้ทันฉันทุกเรื่องเลย”
“ก็เราเป็นน้องสาวของพี่ จะไม่รู้ทันเราจะให้พี่ไปรู้ทันหมูที่ไหนละ” หลินต้าจินส่ายหัวให้กับน้องสาวคนเดียวของเขา
“คือว่านะพี่ใหญ่ ฉันอยากจะหาเงินไว้ให้ลูกๆ เรียนหนังสือ ขนมนี่ฉันทำเอง ถ้าอร่อยฉันอยากจะให้พี่หาลูกค้าให้ พี่ช่วยฉันได้ไหม” หลินเจียวเจียวบอกจุดประสงค์ที่มาวันนี้
“ได้นะมันได้อยู่ พี่จะลองถามให้ แต่พี่เฉินหยางสามีเราเขาไม่ส่งเงินมาให้เหรอ ถึงต้องมาทำขนมขายแบบนี้ แล้วรู้ไหมว่ามันอันตราย” หลินต้าจินนั้นเป็นห่วงน้องสาวมาก
“พี่เฉินหยางก็ยังส่งเงินมาให้เหมือนเดิมนั่นแหละพี่ ฉันไม่รู้หรอกว่าภายภาคหน้ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันเลยอยากที่จะหาเงินเก็บเอง พี่ก็รู้ว่าฉันเข้ากับบ้านสามีไม่ได้ ถ้าเกิดเขาเลือกครอบครัวของเขา ฉันก็จะยอมหย่าให้โดยดี แต่พี่จะเลี้ยงฉันไหมถ้าฉันเป็นแม่หม้ายหย่าสามี”
“เลี้ยงได้อยู่แล้ว พี่ขอให้เจียวเจียวคิดเพียงแค่ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้เรารู้ไว้ว่าเจียวเจียวยังมีพี่ชายคนนี้อยู่เคียงข้างเสมอ เพราะเจียวเจียวคือแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัว” หลินต้าจินพูดพร้อมกับลูบหัวน้องสาวด้วยความรัก จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการแต่งงานของน้องสาวในครั้งนั้นสักเท่าไหร่ แต่จะให้เขาทำยังไงในเมื่อเป็นความต้องการของน้องสาวคนเดียวที่เขารัก