ความไม่ทุกข์ไม่ร้อนอันใดของนาง ที่แสดงออกมาในช่วงนี้ ถึงกับทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ในไม่อีกกี่เดือนข้างหน้า เขาก็จะตกแต่งชายารองเข้ามาในตำหนักแล้ว แต่เหตุใดนางถึงได้ไม่มีความทุกข์ใจใดๆ ให้เห็นเช่นนี้
และยังสายตาในขณะที่นางจ้องมาที่ตน ก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาสามารถสัมผัสมันได้จากสายตา หลงใหลเทิดทูน แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ดั่งคนแปลกหน้าก็ไม่ปาน ทำให้เขารู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาควรจะรู้สึกดีใจไม่ใช่หรือ เหตุใดเขาถึงต้องรู้สึกใจหายเช่นนี้ด้วยเล่า?
นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลายๆ วันนี้ เขาได้มาอยู่ที่ตำหนักของนาง เพื่อที่จะทดสอบสิ่งที่มันกำลังรบกวนจิตใจของเขาอยู่ในตอนนี้นั่นเอง
แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า นางช่างเป็นสตรีที่มีฝีมือมากผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการปรุงอาหารตกแต่งจวนร้างแห่งนี้ ให้กลายเป็นจวนที่ร่มรื่นน่าอยู่ ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเอง ก็ยังชอบจะมาที่นี่บ่อยๆ เพราะมันให้ความรู้สึกที่สบายใจ เขาเองก็ไม่แน่ใจ ว่ามันเกิดจากสถานที่ หรือว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในตำหนักนี้กันแน่ ที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น
"หลิวเยี่ยนจือนั่นเจ้ากำลังให้บ่าวไพร่ทำสิ่งใด" ชินอ๋องเฉินเทียนอี้ก้มลงไปใกล้นางอย่างใคร่รู้ และในจังหวะที่นางหันกลับมา เพื่อที่จะตอบคำถามของเขา จึงทำให้จมูกของนางไปชนเข้ากับใบหน้าของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ด้วยความตกใจหลิวเยี่ยนจือจึงรีบถอยหลังออกมา จนทำให้ซวนเซจะหงายหลังล้มลง ดีที่ได้มือหนาของชินอ๋องประคองตัวของนางเอาไว้ได้ทัน
แต่ด้วยร่างกายของทั้งคู่ในตอนนี้อยู่ใกล้กันมาก จนทำให้พวกเขาสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกันได้
ชินอ๋องสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มที่มันกำลังดันหน้าอกแกร่งของเขาอยู่ ทันใดนั้นเขาก็รีบปล่อยมือที่ประคองนางไว้ออก เหมือนกำลังจับสิ่งของร้อนลวกมือ
"โอ๊ย!!! นี่พระองค์ทรงเป็นบ้าหรือไร ปล่อยลงมาได้หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ" หลิวเยี่ยนจือด่าทอการกระทำนั้นของเขา พร้อมกับลูบบั้นท้าย ของตัวเองไปมาด้วยความเจ็บปวด
"หึ!!! " ชินอ๋องตอบนางเพียงเท่านั้น ก็ได้หันหน้าหนีไปอีกทางอื่น
จึงทำให้หลิวเยี่ยนจือไม่ทันได้เห็นใบหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงใบหูของเขา
"ในเมื่อพระองค์ทำหม่อมฉันเจ็บ พระองค์ก็ต้องรับผิดชอบ พาหม่อมฉันไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ขาดเหลือ"
"เหตุใดเปิ่นหวางต้องทำเช่นนั้น ข้าวของเครื่องใช้อันใด หากขาดสิ่งใดก็ไปเบิกได้ที่พ่อบ้านเก๋อ ไม่เห็นต้องออกไปซื้อเองให้ลำบาก"
"หึ!!! เฉินเทียนอี้ พระองค์ทรงคิดว่าหม่อมฉันจะสามารถสั่งการคนของพระองค์ได้เช่นนั้นหรือ นี่ถ้าหากว่าไม่มีสินเดิมของเจ้าสาวที่ติดตัวมา เกรงว่าป่านนี้หม่อมฉันคงได้ไปเป็นขอทาน อยู่ข้างถนนแล้วกระมัง" หลิวเยี่ยนจือกล่าวออกมาอย่างเหลืออด พร้อมกับตะคอกใส่ชินอ๋องเฉินเทียนอี้อย่างไม่ไว้หน้า ก่อนที่นางจะกล่าวออกไปโดยไม่คิดปิดบังสิ่งใดอีก
"ค่าใช้จ่ายแม้แต่อีแปะเดียว ตั้งแต่มาอาศัยอยู่ในตำหนักแห่งนี้ ก็ไม่เคยได้รับ อาหารการกินที่พระองค์ทรงได้เสวยในหลายๆ วันมานี้ ก็เป็นของหม่อมฉันทั้งนั้น ชีวิตความเป็นอยู่ ไม่ได้ต่างอันใดกับบ่าวไพร่ มิหนำซ้ำยังต้องมาเลี้ยงดูผู้ที่เป็นใหญ่ในตำหนักแห่งนี้อีก เกรงว่าคงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหม่อมฉันคงจะสิ้นเนื้อประดาตัวเป็นแน่"
หลิวเยี่ยนจือพรั่งพรูความในใจของตัวเองออกไปอย่างมากมาย จนไม่ทันได้สังเกตใบหน้าอันมืดครึ้มของชินอ๋องที่กำลังจ้องมาที่นางอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"หลิวเยี่ยนจือ นี่เจ้าหาว่าเปิ่นหวางมาอาศัยเจ้า จนทำให้เจ้าลำบากเช่นนั้นหรือ"
"มิผิด"
"เจ้า!!!
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจ้องมองหน้ากันอย่างดุเดือด โดยไม่มีผู้ใดยอมใครอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงหวานใส ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
"ท่านอ๋องเพคะ" เหอ เฟยถิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาของนาง มีน้ำตาคลออยู่ที่ นัยน์ตา คล้ายว่ามันจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ
ในขณะที่นางเดินทางมาถึงยังตำหนักแห่งนี้ ภาพที่นางมองจากระยะไกลก็คือพวกเขากำลังจ้องมองตากันอย่างหวานซึ้ง จึงทำให้นางอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจกับความสัมพันธ์ของพวกเขา
มือทั้งสองข้างที่กำลังประสานกัน ถูกกำเอาไว้แน่นเมื่อนางได้เห็นภาพนั้น ด้วยอารมณ์ที่หวั่นไหว จึงทำให้น้ำเสียงของนางในขณะที่กล่าวออกไปสั่นเครือด้วยความเสียใจ
"ถิงเอ๋อร์เจ้ามาที่นี่ได้เช่นไร"
"คือ...หม่อมฉัน"
แต่ยังไม่ทันที่เหอเฟยถิงจะได้ตอบคำถามอะไรไปมากกว่านี้ หลิวเยี่ยนจือก็ชิงพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน "ตำหนักของเปิ่นหวางเฟย อยู่ไกลถึงเพียงนี้ คุณหนูเหอยังสามารถตามมาถึงที่นี่ได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเสียจริง นี่ถ้าไม่บอกให้ทราบมาก่อน เกรงว่าเปิ่นหวางเฟย คงคิดว่าคุณหนูเหอ มีคนสนิทคอยเป็นหูเป็นตาอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้เป็นแน่"
"มิใช่เช่นนั้นเสียหน่อย"
"เป็นกระหม่อมเองที่พาคุณหนูเหอมายังที่ตำหนักนี้" ประโยคนี้เป็นพ่อบ้านเก๋อเป็นผู้กล่าวออกมา นั่นจึงทำให้หลิวเยี่ยนจือยกยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
"ออ ที่แท้ก็เป็นพ่อบ้านเก๋อเองหรอกหรือที่..."
หลิวเยี่ยนจือจ้องมองไปที่ พ่อบ้านเก๋อและเหอเฟยถิงสลับกันไปมา เมื่อพวกเขาเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ก็รู้สึกลนลานทำตัวไม่ถูก
เกรงว่าการมาของเหอ เฟยถิงในวันนี้ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้ชินอ๋องมักจะมาขลุกตัวอยู่ที่ในตำหนักของนางแทบจะทุกวัน
จึงเป็นเหตุให้บางคนรู้สึกร้อนใจ ถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดนี้ของพวกเขาเป็นแน่ เหอเฟยถิงคงได้ซื้อตัวของพ่อบ้านเก๋อ ไปเป็นคนของตัวเองเรียบร้อยแล้วกระมัง จึงได้มาถึงที่นี่ อย่างไม่เกรงคำครหาใดๆ เช่นนี้
แม้นแต่ชินอ๋องเองเฉินเทียนอี้ก็รู้สึกไม่ต่างกันถึงข้อสงสัยนี้ เขาใช้ตาคมของตนเอง ประเมินถึงความเป็นไปได้ของเรื่องราวที่เกิดขึ้น
"เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง ที่รบเร้าให้พ่อบ้านเก๋อพามาที่นี่" ในขณะที่นางกล่าวออกมา น้ำตาก็ได้ไหลออกมาจากหน่วยตาเป็นทางภาพหญิงสาวที่กำลังร้องไห้อยู่นี้ ช่างชวนให้น่าสงสารจับใจ
หลิวเยี่ยนจือได้แต่แสยะยิ้มขึ้นมาอย่างรู้ทัน
ใช้แผนสาวงาม ผู้น่าสงสาร เพื่อละลายใจบุรุษ เช่นนั้นหรือ
หากบุรุษผู้นั้นไม่โง่เง่าจริงๆ คงจะดูออก แต่ก็พูดเถิดบุรุษที่โง่เขลาเบื้องหน้านางผู้นี้ ถึงอย่างไรก็คงจะดูไม่ออก เพราะความหลงทำให้เขาตามืดบอด ไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริงใดๆ ได้
และก็เป็นอย่างที่นางได้คาดการณ์เอาไว้ ชินอ๋องรีบเข้าไปซับน้ำตาให้กับเหอ เฟยถิงอย่างอ่อนโยน
"เจ้าจะร้องไห้เสียใจไปไย ในเมื่ออีกไม่นานตำหนักแห่งนี้ ก็จะมีเจ้าเป็นนายหญิงที่มีอำนาจใหญ่สุดอยู่แล้ว เจ้าต้องการที่จะไปที่ใดในตำหนักแห่งนี้ก็ย่อมได้เสมอ"
"พระองค์อย่าได้ทรงตรัสเช่นนั้นเลย หม่อมฉันจะแต่งเข้ามาในตำหนักแห่งนี้ด้วยฐานะชายารองเพียงเท่านั้นจะสามารถมีอำนาจสูงสุดเหนือชายาเอกได้เช่นไร"
"อำนาจอยู่ที่ตัวของเปิ่นหวาง เปิ่นหวางต้องการที่จะให้ผู้ใดมีอำนาจสูงสุดในตำหนักแห่งนี้ก็ย่อมได้ ผู้ที่สมควรจะเป็นนายหญิงในตำหนักแห่งนี้ มีเพียงเจ้าเท่านั้น ผู้อื่นอย่าได้หวัง"
"ท่านอ๋อง" เหอเฟยถิงร้องออกมาอย่างตกใจ คล้ายกับไม่เชื่อหูของตนเองพร้อมกับชำเลืองมองไปที่หลิวเยี่ยนจือ ด้วยสายตาอ่อนน้อมน่าสงสาร
หลิวเยี่ยนจือก็กำลังจ้องมองนางอยู่เช่นกัน หากมีรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม ในตอนนี้คงต้องยกให้เหอเฟยถิงผู้นี้กระมัง
อย่าลืมว่านางเคยเป็นผู้ใดมาก่อน ผู้เข้าแข่งขันในการประกวดนางงามรอบสุดท้ายเชียวนะ แค่เพียงแสดงท่าทีน่าสงสารอ่อนน้อมถ่อมตนเวลาอยู่ต่อหน้าบุรุษเช่นนี้ อย่าคิดว่านางจะทำไม่ได้ เพียงแต่สำหรับนางแล้วบุรุษผู้นั้นสมควรที่นางจะแสดงท่าทีเช่นนั้นออกไปหรือไม่ต่างหาก
"ในใจของเปิ่นหวางมีเพียงเจ้า อย่าได้คิดมากอันใดเลย" ชินอ๋องประคองนางเข้าสู่อ้อมกอดของตนเองอย่างหวงแหน
ภาพของทั้งสองคนที่กำลังประคองกอดกันอย่างรักใคร่นั้น ทำให้หลิวเยี่ยนจือ รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาที่กลางอกอย่างแปลกประหลาด นางรู้สึกเจ็บจนหายใจไม่ออก ทั้งๆ ที่นางไม่ได้รู้สึกชอบพอกับบุรุษผู้นี้ แล้วเหตุใดอาการเจ็บปวดทรมานนี้ ถึงได้เกิดขึ้นกับนางกัน หรือว่ามันจะเป็นเพราะจิตสำนึกของร่างนี้เช่นนั้นหรือ
ฉับพลันหลิวเยี่ยนจือก็ได้รู้สึกว่า ทุกอย่างได้มืดสนิทลง พร้อมกับเสียงร้องอย่างตกใจของเสี่ยวจิ่ว หลังจากนั้น นางก็ไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้อีกเลย
"พระชายา"
แต่แทนที่บุรุษที่อยู่ใกล้ นางอย่างชินอ๋องเฉินเทียนอี้จะเข้ามาดูอาการของนางที่นอนสลบอยู่บนพื้น เขากลับจ้องมองมาที่นางอย่างเย็นชา โดยไร้ซึ่งท่าทีจะช่วยเหลือใดๆ
"ช่างมารยาสาไถยเสียจริงๆ "
"ท่านอ๋องจะไม่ทรงไปตรวจดูอาการของนางสักหน่อยหรือ หม่อมฉันว่าพระชายา น่าจะเป็นลมไปจริงๆ หาได้เสแสร้งอันใดไม่"
"หึ!!! แม้แต่ปลายเล็บเปิ่นหวางก็ไม่คิดจะแตะต้องสตรี ชั่วช้าผู้นี้ พวกเจ้าประคองนางเข้าไปในตำหนัก แล้วหาหมอมาดูอาการของนาง หากว่านางไม่เป็นอันใด เปิ่นหวางจะสั่งลงโทษนางให้หนัก เพราะเปิ่นหวางเกลียดสตรีที่ชอบเสแสร้งเช่นนี้นัก"
"ถิงเอ๋อร์พวกเราก็กลับตำหนักกันเถิด หากหมอมาตรวจดูอาการของนางได้ความว่าเช่นไร ก็ให้ไปรายงานให้กับเปิ่นหวางทราบด้วย" ถึงแม้นว่าชินอ๋องจะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ไม่รู้เหตุใดในหัวใจของเขาถึงได้รู้สึก หน่วงๆ อย่างแปลกประหลาด เมื่อเห็นว่านาง เป็นลมล้มลงไปที่พื้น เขาเกือบจะก้าวเข้าไปประคองนางเสียแล้ว ดีที่เขายังยั้งมือไว้ทันเสียก่อน หาไม่แล้วถิงเอ๋อร์คงจะเข้าใจผิดเป็นแน่
ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยนี้มันคืออันใดกัน?
เมื่อกลับมาถึงยังตำหนัก ภาพใบหน้าที่ซีดเผือดของหลิวเยี่ยนจือ ก็ลอยเข้ามาในหัวเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่สามารถสลัดภาพนั้นออกไปได้ มันจึงได้สร้างความหงุดหงิดให้กับเขาไม่น้อย