แต่มันคงไม่มียาแก้เสียใจกับสิ่งที่มันได้เกิดขึ้นไปแล้ว หลิวเยี่ยนจือจึงทำได้แค่เพียง ยกยิ้มไปให้กับเขาอย่างอ่อนโยนแทน
"ก็ทำอันใดก็ได้ เพื่อที่จะให้ชีวิตนี้มันดีขึ้น แล้วลมอะไรหอบพระองค์มาถึงที่นี่กัน หรือว่าทนคิดถึงหม่อมฉันไม่ไหว จนต้องเสด็จมาหาถึงตำหนักร้างที่อยู่ห่างไกลผู้คนแห่งนี้ด้วยพระองค์เอง"
"หึ!!! เปิ่นหวาง แค่เพียงจะมาดูว่าเจ้าอกแตกตายไปหรือยังต่างหาก แต่ก็ต้องผิดหวังที่เจ้ายังไม่ตาย อย่างที่เปิ่นหวางต้องการเสียนี่"
"คงต้องทำให้พระองค์ทรงผิดหวังเสียแล้ว เพราะสตรีชั่วช้าเช่นหม่อมฉัน อย่างที่ได้กล่าวไปแต่แรก แม้แต่นรกก็คงจะไม่ต้องการ"
"รู้ตัวก็ดีแล้ว แต่เปิ่นหวาง ขอบอกกับเจ้าไว้ก่อน หากเจ้าคิดทำสิ่งใดที่เป็นการทำร้ายถิงเอ๋อร์ของเปิ่นหวางแล้วละก็ เปิ่นหวางจะทำให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย"
"เพคะ หม่อมฉันไม่คิดทำอะไรคนของพระองค์เป็นแน่ เพราะมันเปลืองสมองของหม่อมฉันเกินไป ที่คิดแต่จะแก่งแย่งบุรุษเช่นพระองค์ ตอนนี้หม่อมฉันตาสว่างแล้ว ในคืนนั้นพระองค์ลงทุนทำถึงเพียงนั้น หม่อมฉันยอมแพ้แล้วเพคะ พระองค์ทรงสบายพระทัยได้เลย หมดแล้วใช่หรือไม่ สิ่งที่พระองค์จะกล่าวกับหม่อมฉันถ้างั้นทูลเชิญเสด็จกลับไปได้แล้ว เพราะหม่อมฉันจะได้รับสำรับเช้านี้เสียที เพราะยังมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย เชิญเสด็จ ไม่ส่งนะเพคะ" กล่าวได้เพียงเท่านั้น หลิวเยี่ยนจือก็ไม่ได้หันไปให้ความสนใจกับชินอ๋องอีก
นางหันไปจัดสำรับของตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ และเดินผ่านเขาไปเหมือนกับว่าบุรุษผู้นั้นเป็นเพียงอากาศธาตุสำหรับนางเสียอย่างนั้น
ชินอ๋องเฉินเทียนอี้หันไปจ้องมองนาง ที่ทำเหมือนกับเขาเป็นอากาศธาตุอย่างเคืองโกรธ แต่ในขณะที่นางกำลังจะเดินผ่านเขาไปนั้น กลิ่นหอมของอาหารก็ได้โชยเข้ามาในจมูกทำให้เขาถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
ความหิวเข้ามาจู่โจมอย่างกะทันหัน ทำให้เขาเดินตามนางไปอย่างไม่รู้ตัว
หลิวเยี่ยนจือได้แต่แปลกใจ กับพฤติกรรมนี้ของเขา จนอดไม่ได้ที่จะถามเขาออกไปอย่างสงสัย
"พระองค์กำลังจะทำสิ่งใดเพคะ แล้วตามหม่อมฉันมาทำไม เหตุใดถึงยังไม่เสด็จกลับไปอีก ต้องการที่จะมาจับผิดอันใดหม่อมฉันอีก พระองค์ทรงวางใจเถิด หม่อมฉันมิได้คิดที่จะทำร้ายสตรีที่พระองค์รักผู้นั้นอย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่หม่อมฉันต้องการในตอนนี้คือ ต่างคนต่างอยู่ อย่าได้ข้องเกี่ยวกันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว"
แต่เสี่ยวจิ่วกลับยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างพอใจ เพราะนางได้เห็นถึงสายตาของชินอ๋องเฉินเทียนอี้ ที่เอาแต่จ้องมองไปยังสำรับอาหารอย่างไม่วางตา เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ นางก็เคยเป็นมาก่อนถึงได้เข้าอกเข้าใจมันเป็นอย่างดี
แผนการเชื่อมสัมพันธ์ให้ทั้งสองคน ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นจึงได้เกิดขึ้น
"ท่านอ๋องทรงเสวยพระกระยาหารมาหรือยังเพคะ พอดีว่าพระชายากำลังจะเสวยพระกระยาหารพอดี หากท่านอ๋องไม่ทรงรังเกียจ จะลองชิมฝีมือ ในการทำอาหารของพระชายาดูก็คงไม่เสียหายอันใด"
"เสี่ยวจิ่วคนอย่างท่านอ๋องเฉินเทียนอี้ คงไม่ลดตัวลงมาเสวยอาหารพร้อมกันกับสตรีที่เขารังเกียจเช่นข้าหรอก เจ้าอย่าได้พยายามเลย" หลิวเยี่ยนจือใช้น้ำเสียงเย็นชากล่าวออกไป โดยที่ไม่หันไปมองหน้าชินอ๋องเลยแม้แต่น้อย
หากเขามาเสวยอาหารกับนาง คงทำให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วกระมัง เขาเกลียดนางถึงเพียงนั้น แล้วจะยอมมานั่งทนมองหน้ากันเพื่อสิ่งใด
"ก็ดีเหมือนกันเปิ่นหวางจะได้สังเกตถึงพฤติกรรมผิดปกติของเจ้าไปด้วย งั้นก็จัดสำรับให้กับเปิ่นหวางเพิ่มอีก 1 ที่ก็แล้วกัน" กล่าวเสร็จชินอ๋อง ก็ได้นั่งลงไปบนโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าเขากำลังรอเวลานี้อยู่มาเนิ่นนาน
หลิวเยี่ยนจือได้แต่ตกใจ จนขนลุกขนชันกับพฤติกรรมเช่นนี้ของเขา ไม่ใช่ว่าเขารู้สึกรังเกียจนางมากไม่ใช่หรือ แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่เขาจ้องมองไปที่อาหารบนโต๊ะ นางก็เข้าใจถึงเหตุผลทั้งหมดในทันที
เหตุใดนางจะไม่รู้เล่าว่าบุรุษผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่เหตุใดเขาถึงได้ไม่กล่าวมันออกมาตรงๆ
ก็แค่บอกว่าอยากลองชิมฝีมืออาหารที่นางทำ หากเขากล่าวมาตรงๆ เขาจะตายหรือไง...
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของทั้งสองคนจบลงอย่างรวดเร็ว เพราะใช้เวลาเพียงไม่นาน ชินอ๋องเฉินเทียนอี้ก็กวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงท้อง อย่างรวดเร็ว ซึ่งการกระทำ ที่เสียกิริยาเช่นนี้ของเขา เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก และนี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรก ที่เขาได้หลุดกิริยาเช่นนี้ออกมาให้กับผู้อื่นได้เห็น
หลิวเยี่ยนจือไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา นางเพียงนั่งยิ้ม อยู่บนโต๊ะ และเก็บตะเกียบของตนเองลง เพราะไม่มีสิ่งใดเหลือให้นางได้ทานอีกแล้ว
"อือ ที่เจ้าบอกว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมายในตอนแรกนั้นคือสิ่งใดกัน" ชินอ๋องเฉินเทียนอี้ เมื่อได้รู้ว่าตนเองได้หลุดกิริยาเช่นมันออกไปเขาจึงได้พูดถึงหัวข้อสนทนานี้ขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนความอายของตนเอง
"หม่อมฉันกับเสี่ยวจิ่ว แค่เพียงจะตกแต่ง ตำหนักแห่งนี้ให้น่าอยู่ขึ้นเพียงเท่านั้น เพราะถึงอย่างไร หม่อมฉันก็คงต้องอาศัยอยู่ในตำหนักแห่งนี้ไปจนตลอดชีวิต หากคิดที่จะอยู่ที่นี่"
"ถือว่าเป็นการตอบแทนสำหรับอาหารเช้าในวันนี้ เปิ่นหวางไม่ชอบติดค้างผู้ใดเพราะฉะนั้นเปิ่นหวางจะให้ บ่าวไพร่ในตำหนัก มาช่วยเจ้าอีกแรงก็แล้วกัน แต่อย่าคิดว่าการกระทำนี้ จะทำให้เปิ่นหวางรู้สึกพึงใจในตัวเจ้าเสียล่ะ"
"หม่อมฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นอยู่แล้ว"
"คิดเช่นนั้นได้ก็ดี"
แต่แทนที่ชินอ๋องเฉินเทียนอี้ จะเสด็จกลับตำหนักของตนเอง หลังจากที่ได้ให้บ่าวไพร่มาช่วยเหลือตกแต่งตำหนักของหลิวเยี่ยนจือแล้วเขากลับรั้งอยู่ที่นี่ทั้งวันร่วมกันกับนางเสียอย่างนั้น
ซึ่งหลิวเยี่ยนจือเอง ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับการมีตัวตนของเขา ณ ที่แห่งนี้นางทำเพียงแค่จัดแจงและออกคำสั่ง ให้บ่าวไพร่ทำตามในสิ่งที่นางต้องการ จนล่วงเวลาไปจนถึงเที่ยงวัน จึงได้ให้เสี่ยวจิ่วไปตระเตรียมอาหารอย่างง่ายๆ เพื่อเอาไว้รับรองทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ รวมทั้งบุรุษอย่างชินอ๋อง ที่ในตอนนี้ยังคงไม่ยอมเสด็จออกไปที่ไหน
นี่เขาจะจับตาดูพฤติกรรมของนางจริงๆ เช่นนั้นหรือ?
หรือว่าเขาจะมีเหตุผลอย่างอื่น ที่ยังคงปักหลักอยู่ที่แห่งนี้
หากจะว่าเขามีความพิศวาสตนเอง ก็คงเป็นไปไม่ได้ แล้วเขายังมีเหตุผลอันใดอีก หลิวเยี่ยนจือ ได้แต่คิดเหตุผลมากมายขึ้นมา เพื่อถามคำถามนี้กับตนเอง
เพราะนางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดบุรุษผู้นี้ ถึงได้ทำตัวแปลกประหลาดไปจากทุกวัน จนในที่สุดคำถามของนางก็ได้รับความกระจ่าง
เมื่อเสี่ยวจิ่วได้ยกสำรับอาหารเที่ยงเข้ามา สายตาของชินอ๋องเฉินเทียนอี้ ก็ได้จ้องมองไปที่อาหารเหล่านั้น ด้วยดวงตาเป็นประกาย
ที่แท้ก็ตะกละนี่เอง
สำรับอาหารเที่ยงในวันนี้เป็นอาหารง่ายๆ นางได้ให้เสี่ยวจิ่วนำเนื้อแห้งหมักพิเศษของนาง มาทอดให้กรอบ โดยกลิ่นหอมของมัน ลอยมาเข้าจมูก ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ยกเข้ามาด้านในเสียด้วยซ้ำ
อาหารอีก 2 อย่างก็คือส้มตำและต้มยำกระดูกหมู ที่มีรสชาติเผ็ดร้อน นางเชื่อว่าบุรุษผู้นี้ คงจะไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติอาหารทั้ง 3 อย่างนี้มาก่อนเป็นแน่ เพราะมันเป็นอาหารที่นางได้สอนเสี่ยวจิ่วด้วยตนเอง
ในครั้งแรกที่เสี่ยวจิ่วได้ลิ้มลอง รสชาติของอาหารนี้นางถึงกับร้องไห้ออกมาเพราะรสชาติที่เผ็ดร้อนของมัน แต่มิว่าอย่างไร นางก็ยัง คงชอบมันมากที่สุดอยู่ดี
"นี่คือสิ่งใด"
"นี่คืออาหารที่หม่อมฉันคิดค้นขึ้นมาด้วยตนเอง นี่เรียกว่าส้มตำ และต้มยำ กระดูกหมู แต่รสชาติออกจะเผ็ดร้อนไปเสียหน่อย หม่อมฉันคิดว่าอาหารเหล่านี้ คงไม่เหมาะสมกับพระองค์อย่างแน่นอน เดี๋ยวหม่อมฉันจะให้ แม่ครัวทำอาหารชุดใหม่มาให้กับพระองค์ก็แล้วกัน"
กล่าวจบหลืวเยี่ยนจือก็ทำทีว่า จะเดินออกไปทำตามที่นางได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นเหตุให้ชินอ๋องเฉินเทียนอี้ ต้องรีบหยุดการกระทำของนางอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ความสนใจของเขาทั้งหมด ได้ไปตกอยู่ที่อาหารเบื้องหน้า เขาจึงจะต้องรีบหยุดการกระทำของนางเสียก่อน ที่เขาจะไม่ได้ ลิ้มลองอาหารแปลกใหม่นี้
"ไม่ต้องเสียเวลาให้ยุ่งยาก เปิ่นหวางสามารถรับสำรับอาหารชุดนี้ได้" ชินอ๋องไม่รอช้า รีบนั่งลงมาจัดการอาหารยังเบื้องหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการรับประทานอาหารของเขานั้น เร็วจนทำให้หลิวเยี่ยนจือ จ้องมองเขาตาไม่กระพริบ เพราะนางมิคาดคิดว่าบุรุษผู้นี้ จะมีสถานการณ์เช่นนี้กับผู้อื่นด้วย
ในขณะที่รับประทานอาหารชินอ๋องก็ต้องเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามกรอบหน้าเป็นระยะ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมือลงได้
หลิวเยี่ยนจือยังคงรับประทานอาหารร่วมกันกับเขาอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพื่อไม่ทำให้เขารู้สึกเขินอาย
เมื่อได้รับสำรับอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ได้มาเริ่มงานที่คั่งค้างไว้ ให้แล้วเสร็จ เพราะหลิวเยี่ยนจือต้องการที่จะอาศัยโอกาสนี้ ใช้บ่าวไพร่ของเขาอย่างคุ้มค่า เพราะนางเชื่อว่าในวันหน้า เขาคงไม่ใจดีกับนางเช่นนี้อีกเป็นแน่
ความใกล้ชิดสนิทสนมตลอดทั้งวันของพวกเขา ทำให้ชินอ๋อง รู้สึกว่าสตรีอย่างหลิวเยี่ยนจือ ก็ไม่ได้เลวร้ายอันใด นางเป็นเพียงสตรีธรรมดา ที่มีความเป็นกันเอง และยังมีจิตใจงดงาม
ซึ่งในข้อนี้ เขาแทบจะไม่อยากเชื่อกับความคิดของตนเอง ว่าเขาจะสามารถคิดเช่นนี้กับนางได้
สตรีที่มีจิตใจดีงามเช่นนั้นหรือ นางคู่ควรหรือ
นี่เขาคงบ้าไปแล้วเป็นแน่
มิหนำซ้ำเขายังคิดว่านางช่างงดงามยิ่งนักในวันนี้
ร่างอันบอบบางของนาง ที่คอยสั่งการบ่าวไพร่ ให้จัดการทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ และยังมีเสียงหัวเราะเป็นระยะ ในขณะที่เหล่าบ่าวไพร่ทำงานผิดพลาด ไร้ซึ่งคำด่าทอหยาบคายอย่างเช่นที่เขาเคย ได้เห็นมาอย่างเช่นกาลก่อน
มันจึงทำให้หัวใจของเขา รู้สึกหวั่นไหว อย่างไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างน่าประหลาดใจ วันนี้ทั้งวันเขาไม่สามารถละสายตาออกไปจากตัวนางได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเพราะยิ่งได้ใกล้ชิดกับนางเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาได้เห็นในอีกมุมมองหนึ่งของนาง
ความเป็นธรรมชาติของนาง ทำให้ในบางครั้ง เขาถึงกับยิ้มไปกับนางด้วยอย่างไม่รู้ตัว