ปารวีขยับตัวเดินข้ามไปนั่งเก้าอี้อีกฝั่งตัดรำคาญ
เมธาวีหันมามองหน้าปารวีอีกครั้ง เหมือนไม่ค่อยพอใจที่หญิงสาวตรงหน้า เธอแกล้งเดินชนข้อศอก...ชามเกี๊ยวกุ้งในมือของหญิงสาวเอียงน้ำกระฉอกโดยไม่ทันที่ปารวีจะได้ระวังตัว น้ำแกงร้อนๆ ราดบนมือและขาของของเธอเป็นทางยาว ความร้อนของน้ำอุณหภูมิหลายองศาซึมผ่านผ้าเนื้อบางอยากรวดเร็ว อีกทั้ง...กางเกงขาสั้นที่เธอสวมอยู่ตอนนี้ก็ไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลยแม้แต่สักนิดเดียว
ปารวีจ้องหน้าคนทำ...เธอรู้ว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุแน่นอน แต่คนทำกลับไม่สำนึกและขอโทษ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้ง ยังดีที่เกี๊ยวกุ้งที่เธอถืออยู่ มันหกออกเพียงแต่น้ำซุปเท่านั้น
“คุณ...” ปารวียังไม่ทันพูดจบประโยค เมธาวีก็แทรกขึ้นมาก่อน
“รู้เอาไว้ว่าเธอมาในฐานะอะไร ส่วนฉันอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็ห้ามยุ่งกับพี่ธามส์” เมธาวีจิกตามองประซิบบอกให้ได้ยินเพียงแค่สองคน แล้วก็สะบัดหน้าพรืดเดินออกจากตรงนั้นไป
หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย มองตามคนออกไปอย่างไม่ชอบใจ วางชามลงที่โต๊ะ ก่อนที่จะหยิบกระดาษมาเช็ดจัดการกับตัวเอง ด้วยผิวขาวอมชมพูของเธอทำให้มองเห็นรอยแดงได้ชัด อาการแสบร้อนที่มือกับต้นขามีมากขึ้นเช่นกัน จังหวะที่ใบบัวหันกลับมาเห็นเข้าพอดี
“ตายแล้ว! ขาคุณรวีแดงไปหมดเลย โดนลวกได้อย่างไรคะ” แม่นิ่มกับใบบัวไม่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตา
“อุบัติเหตุนิดหน่อยจ้ะ ที่นี่พอจะมียาทาน้ำร้อนลวกหรือเปล่า”
“ยาไม่มีหรอกค่ะ แต่ที่หลังบ้านมีว่านหางจระเข้ เดี๋ยวหนูจะไปเก็บมาให้นะคะ คนที่ไร่โดนน้ำร้อนลวกก็ใช้ว่านหางจระเข้ทุกคน”
“ขอบใจมากจ้ะ” ปารวียิ้มให้เด็กใบบัว เธอนึกขอบคุณความมีน้ำใจของเด็กสาวตรงหน้าจริงๆ
ว่านเจลเย็นๆ ถูกวางแปะลงบนผิวแดงของหญิงสาว แม่นิ่มเห็นหญิงสาวเก้กังจึงลงมือช่วยทำแผลให้ด้วยตัวเอง
“ขอบคุณมากค่ะ อาการแสบลดลงไปเยอะแล้วค่ะ”
หลังจากที่ทายาเสร็จเรียบร้อยเธอก็หันไปขอบคุณแม่บ้านกับเด็กใบบัว ก่อนที่เธอจะรีบก้าวออกจากบ้านไปท้ายไร่ตามคำสั่งเจ้านาย
“คราวหน้าต้องระวังให้มากกว่านี้นะ อยู่ในไร่อันตรายรอบตัว สัตว์เลื้อยคลาน กิ่งไม้หรือแม้กระทั่งหนาม เตรียมชุดการแต่งกายป้องกันไว้ก่อนก็ดี” แม่นิ่มบอกเป็นเชิงสอนกรายๆ ดูจากการแต่งการของหญิงสาวก็ไม่ค่อยถูกตานางมากนัก
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ มองชุดตัวเองแล้วส่งยิ้มปูเลี่ยน เธอมีชุดไม่เหมาะกับงานในไร่จริงๆ
แต่จะว่าเธอผิดหมดก็ไม่ถูก ชุดทำงานที่เธอเตรียมมาสามารถทำงานในออฟฟิศได้ หากเจ้านายไม่กลั่นแกล้ง
“คุณแม่บ้านชื่อแม่นิ่มใช่ไหมคะ...พอดีคุณก้องหล้าบอกมา รวีต้องขอบคุณมากสำหรับอาหารมือนี้ ขอบใจใบบัวด้วยนะที่หายามาให้ สมุนไพรไทยนี่ใช้ได้ผลดีจริงๆ”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ ฉันเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้เอง” แม่นิ่มตอบเสียงเนิบนาบ
คล้อยหลังปารวีใบบัวก็เดินมากระซิบบอกแม่นิ่ม
“ป้า...เมื่อกี้หนูเห็นชัดๆ ว่าคุณเมธาวีตั้งใจแกล้งคุณรวี”
“แกอย่าไปยุ่งเรื่องของนายให้มาก ไปล้างจาน” แม่บ้านดุเด็กใบบัว
ปารวีเดินตากแดดเหงื่อท่วมมาถึงท้ายไร่ตามคำสั่งของเจ้าของไร่ เธอไม่ได้กลัวเขา...แต่ว่าเธอก็ไม่ชอบให้ใครมาค่อนแคะดูแคลน แล้วมองอย่างหยันเหยียดเหมือนที่เขาทำ ต้นขากับมือเริ่มเห่อแดงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อโดนแดดจัด เห็นได้อย่างชัดเจนตัดกับผิวนวลอมชมพูของเธอ อาการแสบร้อนที่มีมากขึ้นกับเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจากรูขุมขน
แต่พอเธอเดินมาถึง...อาการปวดแสบปวดร้อนเมื่อครู่ไม่ได้เทียบกับกองไฟที่สุมใจเธอตอนนี้ ใบหน้าที่ไม่เคยโดนแดดจัดแดงก่ำ และใบหน้าของเธอยิ่งเพิ่มเม็ดสีบนใบหน้ามากขึ้น เมื่อได้รู้...
“พ่อเลี้ยงไม่ได้มาที่นี่ครับ...ปกติเวลานี้น่าจะอยู่สำนักงานกลางไร่ เพราะพ่อเลี้ยงจะมาตรวจงานในไร่แค่ตอนเช้ากับตอนเย็นเท่านั้น” เสียงของหนึ่งในคนงานรายงาน
หญิงสาวแทบลมจับเมื่อรู้ชะตากรรมของตัวเอง นี่เธอต้องเดินฝ่าเปลวแดดกลับอีกครั้งจริงหรือนี่
สายตาผู้ชายนับสิบคู่กำลังจับจ้องอยู่ที่เรียวขาขาวผ่องของเธอ หญิงสาวกวาดสายตามองรอบๆ เธออยู่ตรงนี้ต่อคงไม่เป็นผลดีกับตัวเองมากนัก ยิ่งที่พักอยู่ห่างและพักอยู่คนเดียวด้วยแล้ว เธอยิ่งต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม
แต่คำว่า...สำนักงานที่คนงานบอก มันหมายถึงเธอต้องเดินอีกนับกิโลเมตร กางเกงขาสั้นกับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่เธอสวมไม่เหมาะกับการเดินชมไร่สักนิด
หญิงสาวหันกลับไปมองต้นทางอย่างชั่งใจ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงอย่างไรเธอก็ต้องไปจากตรงนี้ รู้ว่าเขาต้องการจะแกล้ง แต่ก็อย่าให้เขาตราหน้าได้ว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
พ่อเลี้ยงธามส์นั่งจิบกาแฟอย่างมีความสุขในสำนักงาน ต่างจากก้องหล้าที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ตรงหน้ามีของเขาแฟ้มเอกสารหลายแฟ้ม เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เมธาวีก็เดินเข้ามา
“พี่ธามส์คะ” เธอร้องทักเสียงหวาน เดินปรี่เข้าไปหาพ่อเลี้ยงหนุ่ม ไม่สนใจเพื่อนร่วมห้องอีกคนสักนิด
“มีอะไรหรือเปล่าเมธาวี” พ่อเลี้ยงหนุ่มถามอย่างแปลกใจ ปกติเขาจะรักษาระยะห่างกับเพื่อนน้องสาวคนนี้เอาไว้เสมอ เพราะเขาเดาอาการของเธอออก และไม่อยากให้เรื่องราวเกินเลยบานปลายไปมากกว่าคำว่าพี่น้อง
“เมนี่คิดว่าเมนี่ควรจะเริ่มงานเสียทีค่ะ พี่ผ่านมาเมนี่เห็นพี่ธามส์เครียดมามาก ให้เมนี่ได้ช่วยแบ่งเบานะคะ” เมธาวีพยายามเดินเข้ามาใกล้พ่อเลี้ยงธามส์กว่าเดิมจนเกือบจะถึงตัว แต่ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบ แล้วเดินเลี่ยงออกไปอีกฝั่งของห้องทำงาน โยนลูกไปให้ก้องหล้าแทน
“อ๋อ! พร้อมแล้วหรือ พี่คิดว่าเมนี่อยากพักต่ออีกสักวันสองวัน งานในส่วนของเมนี่ขึ้นตรงกับนายก้อง ให้นายก้องแจ้งรายละเอียดก็แล้วกันนะ”
พ่อเลี้ยงหนุ่มบอกเมธาวีเสียงนุ่ม ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าก้องหล้า “ก้องฉันไปดูคนงานตัดดอกไม้ก่อนนะ เจอกันตอนเย็น” พ่อเลี้ยงธามส์สั่งเพื่อนและเดินเลี่ยงออกไปทันที ทิ้งให้เมธาวีหงุดหงิดที่ต้องอยู่กับก้องหล้า
หลายปีที่ผ่านมาเธอพยายามเข้าใกล้พ่อเลี้ยงธามส์ เธอทำตัวอ่อนหวานน่ารักอย่างที่เขาชอบ ตั้งแต่ตอนที่เขายังมีมัดมุก จนกระทั่งตอนนี้...ฟ้าช่างเป็นใจให้เธอ เขาอกหักและเธอนี่แหละจะเป็นคนดามใจและเดินเคียงข้างไปกับเขา
หลังจากที่พ่อเลี้ยงธามส์เดินออกไปแล้ว ก้องหล้าหันมาคุยกับเมธาวีในเรื่องงานที่พ่อเลี้ยงหนุ่มฝากไว้อย่างรู้ใจเพื่อนหนุ่ม
“เมธาวี!...พี่จะให้เธอไปดูแลการตลาดในส่วนของไร่ชานะ ตามที่พี่เคยบอกเราไปนั่นแหละ ช่วงนี้พ่อเลี้ยงไม่ค่อยได้เข้าไปดูไร่ชาเท่าไร ถ้าได้คนเก่งอย่างเมธาวีมาช่วยคงจะดีมาก พี่เชื่อในความสามารถของเธอ” ก้องหล้าพอจะรู้ว่าเมธาวีคิดอย่างไรกับเพื่อนของเขา และเขาก็รู้ใจเพื่อนของเขาดีว่าไม่ต้องการให้เมธาวีมาวุ่นวายมากนัก
“แต่ว่าเมนี่อยากไปช่วยที่โรงงานมากกว่านะคะ หรือให้เมนี่เป็นผู้ช่วยพ่อเลี้ยงก็ได้ แล้วให้แม่คนที่มาใหม่อะไรนั่นไปทำที่ไร่ชาแทน เมนี่รู้จักกับพ่อเลี้ยงมานาน น่าจะรู้ใจทำงานกันได้ง่ายกว่า”
“พี่ว่าเมนี่ไปช่วยไร่ชาแหละดีแล้ว มีคนเก่งๆ ไปช่วย ธามส์คงหายห่วงไปเยอะ อีกอย่างที่โรงงานช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีอะไรมาก พี่ดูแลคนเดียวได้” อีกคนรู้แกวดักทางไว้ได้เสียก่อน
พอรู้อย่างนั้นเมธาวีก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะเธอถือว่าเป็นเพื่อนรักของน้องสาวเจ้าของไร่