ท้องฟ้าในไร่ยังปกคลุมด้วยความมืดมิด แม้แต่เรือนพักทั้งหลังก็มีเพียงหลอดไฟนีออนหลอดยาวเพียงหลอดเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนปารวี อากาศเย็นทำให้คนในห้องหลับสบาย
ปัง! ปัง! ปัง! เสียงทุบรัวเคาะห้องอย่างไม่เกรงใจในวันเริ่มงานวันแรก หญิงสาวงัวเงียตื่นขึ้นมา สอดมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์มากดดูเวลา
“ตีสี่! เคาะหาอะไรแต่เช้า...คนจะนอน” หญิงสาวเดินออกมาแง้มบานกระจกมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญ พอรู้ว่าเป็นใครเธอก็เปิดประตูออกมาอย่างโมโห
“นาฬิกาไม่มีหรือไง...สะกดคำว่ามารยาทเป็นไหม”
“ก็เพราะว่ามีนาฬิกา...ถึงได้ถ่อมาตามถึงนี่ งานในไร่เขาเริ่มกันตั้งแต่...ตีสี่ทุกวัน”
“แต่ฉันเป็นนักเคมี โรงงานยังไม่เดินไลน์ผลิตด้วยซ้ำ” หญิงสาวยืนค้ำประตูเถียง
“ใครบอกว่าฉันรับเธอมาทำงานที่โรงงานอย่างเดียว ในสัญญาก็บอกชัดเจนว่าเป็นผู้ช่วย...ให้เวลา 5 นาทีในการแต่งตัว ฉันรอที่รถ...ถ้าเกินแม้วินาทีเดียว ฉันจะมาแต่งให้เอง” ชายหนุ่มสั่งเสียงเข้ม แล้วก็หันหลังเดินออกไปรอที่รถอย่างที่บอก
“ฮะ”
“นี่คือคำสั่งเจ้านาย” ชายหนุ่มย้ำเสียงเข้ม แล้วหันหลังกลับไปรอที่รถ
หญิงสาวหน้าย่น บ่นอุบอิบเดินกลับไปแต่งตัว
ชายหนุ่มขับรถมาถึงกลางไร่ เสียงเบรกดังเอี๊ยด คนที่นั่งมาคู่กับเขาศีรษะโขกกับคอนโซลหน้ารถ เพราะเธอไม่ทันคิดว่าเขาจะหยุดรถกะทันหัน
โอ๊ย! เสียงของหญิงสาวร้องออกมาเบาๆ ยกมือลูบศีรษะป้อยๆ หากไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ ชายหนุ่มก็ขอโทษขึ้นมาก่อน
“ขอโทษ รีบไปหน่อย” ชายหนุ่มบอกและก้าวลงจากรถไป ทั้งที่ตัวเขาแอบซ่อนยิ้มเสียด้วยซ้ำ ไม่ได้มีอาการของคนรู้สึกผิดแม้แต่นิด หญิงสาวทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าก้าวตามเขาลงจากรถไป
ชายหนุ่มยื่นแฟ้มที่เขาเพิ่งรับจากหัวหน้าคนงานมาส่งให้เธอพร้อมกับสั่ง
“เช็กจำนวนของพวกนี้ว่าครบตามจำนวน แล้วยกมันขึ้นรถ” วันแรกของการเริ่มงานของปารวี เธอไม่รู้เลยว่างานของเธอคือผู้ช่วยจริงๆ อย่างที่เขาบอก งานแรกที่เขาสั่งให้เธอทำ...คนโดนสั่งถึงกับหันกลับไปมองหน้าเพื่อความแน่ใจในคำสั่ง
“มองอะไร...หรือว่าต้องให้ทวน”
“นั่นมันเป็นงานของคนงานผู้ชายนะ...แล้วฉันก็ตำแหน่งผู้ช่วย ไม่ใช่คนงาน” หญิงสาวถามกลับ นึกถึงชุดที่เธอใส่มา คงดูไม่จืดหากต้องปีนขึ้นปีนลงรถคันสูงขนาดนั้น เขาแกล้งเธอชัดๆ
ชายหนุ่มพยักหน้าเหมือนเข้าใจที่เธอบอก พร้อมกับเปิดแฟ้มหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมายัดใส่มือให้หญิงสาว
“อืม! ใช่...เธอมาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วย แต่ตอนนี้...ก็เป็นผู้ช่วยนายเข้มกับนายปลั่งไง หรือถ้ายังจะเถียงอีก ก็กรุณาอ่านสัญญาให้ชัดเจน...รวมถึงท้ายสัญญานี่ด้วย ที่เซ็นไปแล้วมีผลทางกฎหมายทั้งนั้น แล้วงานที่สั่งชิ้นแรกก็ให้เสร็จก่อนหกโมงเช้านะ” ชายหนุ่มยักไหล่ตอบกลับอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับเดินผิวปากไปยังคนงานอีกกลุ่มที่ตัดดอกไม่อยู่ หญิงสาวได้แต่ข่มเก็บอารมณ์เดือดพล่านไว้ข้างใน
“โรคจิต!” หญิงสาวสบถเบาๆ ตามหลัง แต่ก็เข้าหูเขาจนได้
“อะไรนะ”
“เปล่า” ปารวีปฏิเสธ ทั้งที่ขัดใจ แต่ก็ยอมทำตามที่เขาสั่ง แม้จะทุลักทุเลและใช้เวลานานกว่าปกติ แต่เธอก็ทำได้จนเสร็จ
หลังจากที่เธอทำงานชิ้นแรกที่เขาสั่งเสร็จ หญิงสาวกำลังจะหย่อนตัวลงนั่งบนตอไม้พักขา ทว่าเสียงพญามัจจุราชก็ดังขึ้นมาก่อน เหมือนเขาติดจีพีเอสติดตัวเธอเสียอย่างนั้น “อู้งานหรือ...คนมาจากเมืองนอกเมืองนาเงินเดือนสูงกว่าคนงานเป็นสิบเท่า แต่ก็เอาเปรียบคนงานที่รายได้ไม่กี่ร้อยต่อวัน”
‘ฮึ่ม...มันจะมากไปแล้วนะ’ หญิงสาวเข่นเขี้ยวในใจ
“แล้วเจ้านายจะให้ดิฉันทำอะไรอีกล่ะคะ...รอรับบัญชาค่ะ” หญิงสาวเหน็บแนม รีบใช้มือยันตัวลุกขึ้น
“ไปเอาข้าวที่บ้านให้หน่อย...หิวแล้ว” คำสั่งที่สองทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วมองอีกครั้ง เขาก็ยักคิ้วตอบอย่างกวนประสาท คนโดนคำสั่งเป่าลมออกจากปากพรืด แบมือขอกุญแจรถ
“ขอกุญแจรถด้วยค่ะ”
“เดินไป...รถฉันต้องใช้ตรวจงานอีกหลายที่” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงราบเรียบ ใบหน้าไม่ได้บงบอกอารมณ์ ทว่าแววตาพราวระริกพอใจ
หญิงสาวจำต้องเดินไปตามคำสั่ง กำหมัดแน่นด้วยความโมโหที่เธอตามเกมเขาไม่ทัน มองเห็นบ้านอยู่บนเนินสูงลิบ กะด้วยสายตาคงไม่ต่ำกว่ากิโลเมตร “แกล้งฉันอย่างนี้...อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข นายต้องโดนมากกว่าฉัน...เตรียมตั้งรับไว้เลย”
‘ต้องมาเอาอาหารให้เจ้านายด้วย นี่มันผู้ช่วยหรือคนใช้ส่วนตัวกันแน่...ชักไม่แน่ใจแล้ว...ปารวี’
แม่นิ่มกำลังเคี่ยวแกงฮังเลในหม้ออยู่ในครัวกับใบบัวสาวใช้ เมื่อเห็นปารวีมายืนอยู่ข้างหลัง นางจึงพักทัพพีวางไว้ แล้วหันกลับมามองผู้หญิงตรงหน้า อาการหอบน้อยๆ กับเหงื่อที่ซึมออกมาทั้งหน้าบอกให้รู้ว่าเธอคงเหนื่อย และเดินมาไกลพอสมควร
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อปารวีจะมาเป็นผู้ช่วยพ่อเลี้ยงธามส์ คือ รวีมาเอาข้าวไปให้พ่อเลี้ยงค่ะ” ปารวียิ้มรับแหยๆ เข้ามายกมือไหว้พร้อมกับแนะนำตัวเองกับแม่บ้านอย่างนอบน้อม แม่นิ่มดูการแต่งตัวของเธอถึงกับแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าพ่อเลี้ยงจะเป็นคนรับผู้หญิงคนนี้มาทำงาน การแต่งตัวทำให้นางรู้สึกไม่ถูกชะตาและพาลไม่ชอบหน้าปารวีตั้งแต่แรกเห็น
“หา!...จริงหรือคะที่คนสวยๆ อย่างคุณ จะมาทำงานที่ไร่” ใบบัวตื่นเต้นที่มีคนสวยๆ มาอยู่ในไร่
“แสดงว่าคุณรวีไม่ใช่สวยอย่างเดียว ต้องเก่งมากด้วยแน่ๆ ไม่อย่างนั้นพ่อเลี้ยงคงไม่รับมาเป็นผู้ช่วย ขนาดคุณเมธาวีขอไปเป็นผู้ช่วยพ่อเลี้ยงยังไม่ยอมเลย” ใบบัวว่า
“น้อยๆ หน่อยนังใบบัว คุณอย่าไปเชื่ออะไรกับลมปากนังใบบัวนะคะ คุณไปทานข้าวเถอะ พ่อเลี้ยงบอกไว้แล้ว ว่าคุณจะมา มีเกี๊ยวกุ้งสำหรับคุณ หรือจะรับข้าวกับแกงฮังเลก็ได้”
แม่นิ่มค้อนใบบัวปรามๆ ทั้งที่ไม่ชอบหน้าหญิงสาว แต่ก็ไม่วายบอกหญิงสาวอย่างสุภาพ
“ขอเกี๊ยวกุ้งดีกว่าค่ะ” ปารวีตอบอย่างอ่อนน้อม
“พ่อเลี้ยงฝากบอกคุณว่าให้ตามไปที่ท้ายไร่แปลงชาก่อนสิบโมง” แม่นิ่มบอกหญิงสาวต่อ หลังจากส่งชามเกี๊ยวกุ้งลงบนจานรองให้หญิงสาว
“คะ!” หญิงสาวอุทานเสียงสูง พร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือดูเวลา ตอนนี้ก็จะเก้าโมงแล้ว
เหมือนแม่นิ่มจะเดาอาการหญิงสาวออก นางรีบอธิบายเพื่อไขความกระจ่างให้เธอต่อทันที
“คือพ่อเลี้ยงเพิ่งทานข้าวเสร็จและขับรถออกไปเมื่อครู่ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ พร้อมกับยื่นมือไปรับชามเกี๊ยวกุ้งจากแม่บ้านสูงวัย แล้วเดินออกไปที่โต๊ะ ทว่าไม่ทันที่หญิงสาวจะย่อตัวลงนั่ง หญิงสาวอีกคนที่เดินเข้ามาใหม่ก็ร้องขัดขึ้นมาก่อน
“ที่ตรงนั้นมันที่ประจำของฉัน หล่อนไปนั่งที่อื่น” ปารวีเหลือบมองคนที่เดินเข้ามาใหม่นิดหนึ่ง ผู้หญิงในชุดกระโปรงพริ้วหวาน วางอำนาจอย่างนี้คงหนีไม่พ้นคนสำคัญของเจ้าของบ้าน