ดวงจันทรากลางหมู่ดาวพราวระยิบระยับบนท้องฟ้า แสงนวลส่องกระทบใบหน้าคม จมูกรั้นได้รูปผิวเนียนต้องแสงจันทร์ระเรื่อจนสะท้อนให้เห็นเป็นความสวยงามชวนหลงใหล ความงามของหญิงสาวที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติกับสิ่งที่มนุษย์สรรสร้างเติมแต่งขึ้นมา
ปารวียืนเหม่อมองท้องฟ้าสีนิลนิ่งเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง นานเท่าไรก็ไม่รู้..ที่เธอยืนอยู่ตรงนี้ จนเธอไม่รู้เลยว่า ตอนนี้มีร่างสูงของอีกคนมายืนอยู่ข้างๆ
“ยังคิดถึงคำพูดของเพื่อนผมเมื่อบ่ายอยู่อีกหรือ” เจ้าของเสียงนุ่มถามขึ้นมา พร้อมกับเจ้าของเสียงเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เธอ เขากอดอกเงยหน้ามองท้องฟ้า พูดต่อลอยๆ
“ธามส์เพิ่งโดนยกเลิกงานหมั้นมาไม่นาน แล้วตอนนี้ในไร่ก็ยังมีปัญหาเยอะแยะมากมาย ผมรู้ว่ามันพูดกับคุณไม่ดี...ผมต้องขอโทษคุณแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ มันอาจดูเหมือนเป็นคำแก้ตัว แต่ผมยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนเลวร้ายแบบนั้น” คำปลอบโยนเสียงนุ่ม เรียกใบหน้าของปารวีให้หันกลับไปที่มองที่เขา เธอมีเพียงร้อยยิ้มบางๆส่งให้คนที่เดินมาใหม่
ก้องหล้าที่เป็นห่วงหญิงสาวที่ต้องพักคนเดียวก็เลยแวะมาดู เห็นปารวียืนเหม่ออยู่ เขาก็รู้ทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้าต้องมีเรื่องไม่สบายใจ แล้วเขาก็พอจะรู้ว่าเรื่องที่ว่าต้องเกี่ยวกับเพื่อนเขาแน่นอน
“คุณก้องรู้ได้อย่างไรคะ หน้ารวีดูออกง่ายอย่างนั้นเลยหรือ”
“เขาไม่มีความสำคัญมากพอที่จะทำให้รวีคิดถึงหรอกค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไปเสียงเรียบ แหงนหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง ดูเหมือนก้องหล้าเดาความคิดของเธอออก
“ผมเป็นเพื่อนกับธามส์มานาน เพื่อนผมไม่เคยเป็นแบบนี้สักครั้ง แล้วผมเป็นห่วงคุณ ผมก็เลยแวะมาดู เมื่อตอนเย็นผมให้คนงานเอาอาหารมาให้ คุณทานข้าวแล้วนะครับ พอดีผมเพิ่งเสร็จงาน”
หญิงสาวหันกลับมามองชายหนุ่มอีกครั้ง “ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
“คุณ...อยู่ได้แน่นะครับ” ชายหนุ่มล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกงสบายๆ ถามอย่างอาทร
“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับมิตรภาพค่ะ แล้วนั่น...” หญิงสาวชี้ไปยังซากเหล็กที่เขาเอามันมาด้วย
“พอดีผมเห็นว่าบ้านพักอยู่ไกล คนเมืองอย่างคุณมาอยู่...คงไม่ชินกับการเดิน กลัวคุณจะเหนื่อย ผมก็เลยเอามาให้คุณใช้ ถึงแม้ว่ามันต่างจากเศษเหล็กนิดเดียว แต่มันก็ดีกว่าเดินนะครับ เผื่อคุณอยากชมไร่หลังจากเสร็จงาน” ก้องหล้าบอกอายๆ กับของที่เขานำมาให้หญิงสาว เอ่ยถามหญิงด้วยความห่วงใย
“ขอบคุณมากค่ะ...รวีอยู่ได้...อยู่เมืองนอกลำบากกว่านี้ เดินมากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว ในเมื่อรวีเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่ รวีก็ต้องอยู่ให้ได้ ขอบคุณอีกครั้งที่เป็นห่วงรวีนะคะ” เธอตอบกลับไปตามความจริงน้ำเสียงหนักแน่น จนคนฟังยิ้มกระจ่างออกมา
“คุณรวีเข้มแข็งกว่าที่ผมคิดไว้มากนะครับ ขอบคุณนะครับที่มาช่วย”
“คะ” ปารวีเลิกคิ้วถามเสียงสูง
“หมายถึงช่วยมาอยู่ที่นี่ ช่วยโรงงานที่เปิดใหม่ ผมไม่รู้ว่าเพื่อนของผมรับน้องแรงไปนิด ไม่มีเหตุผลที่สุด ผมยิ่งต้องขอบคุณที่คุณทนอยู่ที่นี่ต่อ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ รวีโตมาจากสังคมที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง แม่พาเราไปอยู่เมืองนอกทั้งที่มีเงินไม่มาก ช่วงแรกๆเราสามคนลำบากกันมาก แต่แม่ก็ใจแข็งเหลือเกินไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพ่อสักครั้ง เราสองคนพี่น้องต้องช่วยกันทำงานและดูแลแม่ตั้งแต่ยังเด็กๆ เรื่องแค่นี้สบายมากค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง” ปารวีบอกยิ้มๆ
“แล้วคุณไม่เคยกลับมาเมืองไทยเลยหรือครับ”
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รวีกลับเมืองไทย หลังจากที่ไปอยู่ฝรั่งเศสตั้งแต่เด็ก และไม่เคยคิดว่าการกลับมา ครั้งนี้จะเป็นการมาส่งพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ไม่แม้แต่จะได้กล่าวคำลา” น้ำตาเริ่มนองหน้าและไหลริน
“ผมเสียใจเรื่องพ่อของคุณรวีด้วยนะครับ ถ้าคุณมีอะไรไม่สบายใจคุณก็บอกผมได้นะครับ เราเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหมครับ” ก้องหล้าจ้องหน้าหญิงสาว
“ขอบคุณค่ะคุณก้อง ที่ให้ความอบอุ่น ความเป็นเพื่อน รวมทั้งจักรยานคันนี้ด้วย อย่างน้อยก็ทำให้การมาที่นี่ของรวี มันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก” ปารวียิ้มให้ก้องหล้าอย่างขอบคุณ
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่คุณรวีมองผมเป็นเพื่อนอีกคน ผมก็ดีใจแล้ว”
“ดาวที่นี่สวยนะคะ”
“ครับ สวยมาก... คุณรวีชอบดูดาวหรือครับ” สายตาคนชมดวงดาวไม่ได้ชื่นชมดาวตรงหน้าสักนิด แต่ทว่าแววตาสองดวงที่เปล่งประกายของเขา ตอนนี้มันกำลังจับจ้องที่ดวงดาวสุกใสสองดวงที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก
“ที่จริงรวีชอบดวงจันทร์มากกว่าค่ะ ชอบวันพระจันทร์เต็มดวง ไม่ชอบมองดาว... มองแล้วสงสาร คุณเคยได้ยินเรื่องนิทานของดวงดาวหรือเปล่า”
“ไม่ครับ...เล่าให้ผมฟังบ้างสิ”
“นานมาแล้ว...ครั้งก่อนรอบจักรวาลมีดวงจันทร์สองดวง มีดวงจันทร์ที่เป็นผู้หญิงและดวงจันทร์ที่เป็นผู้ชาย แต่แล้ววันหนึ่งดวงจันทร์ผู้หญิงก็หนีตามดวงอาทิตย์ไป ดวงจันทร์ผู้ชายหัวใจแตกสลายกลายเป็นเสี่ยงๆ และเป็นดวงดาวให้เราเห็นทุกวันนี้ คุณก้องลองสังเกตดูว่า ถ้ามีดวงจันทร์ เราจะไม่เห็นแสงดาว แต่ถ้าวันไหนท้องฟ้ากลางหมู่ดาวระยับมันกลับไร้เงาจันทร์ รวีถึงได้ชอบดวงจันทร์มากกว่า เพราะเวลามองดาวทีไร...รวีรู้สึกเศร้าใจทุกที เพราะอดสงสารดวงดาวไม่ได้”
“มีแบบนี้ด้วยหรือครับ ผมเองเพิ่งเคยได้ยิน ถ้าอย่างนั้น...ผมจะขอมาดูพระจันทร์กับคุณรวีที่นี่บ่อยๆได้หรือเปล่าครับ ผมเองก็ไม่อยากมองดาวหมองเศร้าคนเดียวเหมือนกัน”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ดีเสียอีก...รวีจะได้มีเพื่อนคุยบ้าง”
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจนะ คุณอย่ามารำคาญผมทีหลังก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเย้า แต่คำตอบของคนตรงหน้า มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่เธอส่งผ่านมา แต่สำหรับคนมองอย่างก้องหล้า รอยยิ้มนั้นมันทำให้ใจของเขาแทบละลายเลยทีเดียว
นานนับชั่วโมงที่สองหนุ่มสาวนั่งคุยกัน จากเสียงเศร้าน้ำตานองหน้ากลายเป็นเสียงหัวเราะในที่สุด จากการเล่าประสบการณ์ความฮาและเรื่องโก๊ะๆ แลกเปลี่ยนของสองหนุ่มสาว ทำให้อีกคนที่ยืนพิงต้นไม้ที่แอบมาดู มองอย่างหงุดหงิด
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณรวีจะโก๊ะแบบนี้ แถมยังเฮี้ยวใช่เล่น ผู้ชายคนนั้นคงขยาดคุณไปเลย เล่นทิ้งรอยรักไว้ให้ดูต่างหน้าขนาดนั้น”
“ฮ่าๆๆ คงใช่ค่ะ เขาคนนั้นเกลียดรวีไปเลย ถึงตอนนี้ก็หลายปีแล้ว รวียังจำหน้าเขาไม่ได้ เขาก็คงจำรวีไม่ได้เหมือนกัน สมัยเรียนรวีทั้งเฮี้ยว ทั้งโก๊ะ ทั้งแสบ ทั้งซ่าเลยละค่ะ” สองคนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ทว่าคนยืนมองเริ่มไม่พอใจขึ้นมาทุกที
“ฮึ! ไอ้เรารึก็ห่วง ที่แกล้งแรงไป กลัวจะอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่ที่ไหนได้... มาระริกระรี้อยู่กับผู้ชาย เห็นอย่างนี้แล้วคงอยู่ได้สบาย” เขาสาวเท้าออกไปอย่างหงุดหงิด
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นขัดจังหวะความโมโห แต่เจ้าของเครื่องก็ยังอารมณ์ค้างอยู่ กรอกเสียงตามสายไปแข็งๆ โดยที่ไม่ดูเบอร์ก่อนด้วยซ้ำ
“ฮัลโล...”
“ไปโกรธใครมาอีก ถ้าเป็นลูกค้าโทรมาทำไง เจ้าของไร่เสียงอย่างนี้” คนปลายสายถามขึ้นมา หลังจากที่ได้ยินเสียงพี่ชายกระชากแข็งๆ
“แล้วลูกค้าที่ไหนจะโทรมาตอนสามทุ่ม” ชายหนุ่มถามกลับ เขายังรักษามาตรฐานความแข็งกระด้างในน้ำเสียงไว้คงเดิม
“พี่รวีเป็นไงมั่ง” คนเป็นน้องเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วน้องสามีรษาฟ้องว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
“ก็เพราะว่าพี่รวีไม่ยอมบอกน่ะสิ ถึงได้ถามพี่เนี่ย”
“ก็ดี” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ
“หมายความว่าอย่างไร” อีกคนถามอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ไม่ได้มีหน้าที่รายงานการทำงานของพนักงาน อยากรู้เรื่องของใครก็ถามเอาเอง หรือจะมารับตัวกลับไปพี่ก็ไม่ว่า แต่เราต้องรีบกลับมาช่วยพี่ทำงานตามสัญญา” คนเป็นพี่ทวงคำเดิม
ได้ยินอย่างนั้นรษาก็แทบหาเรื่องวางสายแทบไม่ทัน “โอเคค่ะ รษาไม่กวนแล้ว สวัสดี” หญิงสาวรวบรัดและรีบวางสาย คราวนี้พ่อเลี้ยงธามส์มีสีหน้าพอใจขึ้นมาบ้าง แต่ความโกรธแค้นในตัวน้องเขยก็ไม่จางลงไปสักนิด