INTRO
“พิมดำๆ ทางนี่ ส่งมา!”
“เออ ส่งบอลมาเว้ย”
“แม่ง! เล่นไม่เป็น! ก็ไม่น่าจะมาเล่น โธ่เว้ย~”
ไม่ต้องแปลกใจ นั่นเป็นเสียงเด็กผู้ชายที่อายุโตกว่าฉันแค่สองสามปีกำลังพากันบ่นที่ฉันไม่ยอมส่งบอลให้ ก่อนหน้านี้พวกนั้นกำลังเล่นเตะบอลตามประสาผู้ชายกัน แต่อีฉันมันห้าวจ้า เสนอหน้าขอไปเล่นด้วย หญิงหนึ่งเดียวในหมู่ชายหกคน แล้วไอ้ที่พวกนั้นเรียก ‘พิมดำๆ’ ก็นั่นชื่อฉันเอง เฮ้อ~ที่ลงท้ายด้วยดำ ก็เพราะผิวฉันตอนนี้มันออกจะเข้มไปสักหน่อย ก็แค่สีน้ำผึ้งไหม้จากการโดนแดดก็เท่านั้น ไม่ได้ดำปี๋เป็นถ่านสักหน่อย พวกนั้นมันเวอร์ เรียกฉันสะดำไม่ดูผิวตัวเองเล๊ย~ไม่ต่างกับฉันสักนิด
ในวัยแปดขวบถือว่ากำลังน่ารักอยู่ แม่ตั้งชื่อให้ว่าพะพิม แต่ใครๆก็เรียกว่า พิมดำ อันที่จริงก็เพราะมีเด็กผู้หญิงข้างบ้านอีกคนชื่อพิมเหมือนกัน อายุเท่ากัน แตกต่างกันก็ตรงที่คุณเธอ ผิวขาว อ้วนจ้ำม้ำ ส่วนฉันตัวผอม ผิวเข้ม เพื่อไม่ให้สับสน ทุกคนจึงเรียกฉันว่า ‘พิมดำ’ แล้วเรียกอีกคนว่า ‘พิมอ้วน’
เด็กบ้านนอกเกิดเขตภาคใต้ นอกจากผิวคล้ำแล้ว นิสัยยังแสบซ่า แก่นยิ่งกว่าเด็กผู้ชาย ไปบ้านไหนเขาก็ต้องเอือมระอา เพราะไอ้ความอยู่ไม่สุขเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปนี่แหละ ทำให้ฉันต้องย้ายบ้านอยู่บ่อยครั้ง...ไม่จริงหรอก!! ความจริงแล้วฉันอยู่กับแม่แค่สองคน ส่วนพ่อตายไปตั้งแต่ฉันยังแบเบาะ เลยไม่มีความจำเกี่ยวกับพ่อเท่าไหร่ ตอนนั้นฐานะทางบ้านของเราค่อนข้างยากจน ต้องอาศัยไปตามบ้านญาติหลายๆที่ และบ้านที่อยู่ได้นานที่สุดก็น่าจะเป็นบ้านยายแบม เป็นน้องสาวห่างๆของคุณตา บ้านของเธอก็ใหญ่พอสมควร มีสองหลังติดกัน มีสี่ห้องนอน ยายแบมใจดีให้ฉันกับแม่อาศัยอยู่ห้องหนึ่ง ตอนนั้นแม่ทำงานเป็นเสมียนในโรงไม้ พอเลิกงานก็กลับมารับจ้างปลอกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ส่งให้โรงงานใกล้บ้าน รายได้เพียงเล็กน้อยก็หมดไปกับค่าเทอมของฉันสะส่วนใหญ่ ไอ้เรามันก็เด็กอยู่อะเนอะจะไปคิดอะไรได้ นอกจากเล่นสนุกไปวันๆ
ในช่วงสงกรานต์ปีแรกในบ้านยายแบมจะสนุกสนานกันมาก เป็นวันรวมญาติก็ว่าได้ และมีครอบครัวหนึ่งที่เดินทางมาจากกรุงเทพ เธอชื่อป้าปุ้ย ไม่ได้เป็นญาติอะไรกันหรอก แค่ป้าปุ้ยเคยเป็นเด็กที่ยายแบมเคยเลี้ยงไว้ในบ้าน พอโตเป็นสาวก็ได้แต่งงานกับลุงจอม แล้วพากันย้ายไปหากินที่จังหวัดอื่น จนปักหลักได้ที่กรุงเทพ ที่ฉันเรียกป้าปุ้ยก็เพราะเธออายุเยอะกว่าแม่ก็เท่านั้นเอง เธอเดินทางมาด้วยรถกระบะสองตอน ต่อเติมหลังคาด้านหลังไว้สำหรับขนย้ายเครื่องไม้เครื่องมือทำมาหากิน การมาครั้งนี้เธอพาลูกชายมาด้วยนั่นคือ พี่เอก และไอ้เอ็ม เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเด็กกรุงเทพ และเมื่อเทียบสีผิวกันแล้ว สองพี่น้องนั่นผิวคล้ำยิ่งกว่าฉันสะอีก เจอกันครั้งแรกก็เหมือนจะไม่มีอะไร แต่เปล่าเลย
ไอ้เอ็มอายุเท่าฉัน เป็นไม้เบื่อไม้เมากัน เพราะมันนิสัยขี้แกล้ง เล่นกับฉันอย่างกับเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งด่า ผลักกันแรงๆจนอีกฝ่ายล้มได้แผลได้เลือด นั่งท้ายกระบะเล่นสงกรานต์กันไม่วายต้องแย่งปืนฉีดน้ำกัน หรือไม่ก็แย่งขัน มีจังหวะหนึ่งฉันถีบมันตกรถกระบะด้วยนะ คิดแล้วก็ขำดี ส่วนพี่เอกเหรอ? เจอกันครั้งแรกเขาอายุ13 ไม่ค่อยพูดค่อยจาหรอก น่าจะเพราะโตกว่า แถมยังทำหน้าบึ้งเหมือนไม่เต็มใจจะมาด้วย ถ้าจำไม่ผิดพวกเราคุยกันแค่สองสามคำเองมั้ง และสองพี่น้องก็ยังเรียกฉัน ‘พิมดำ’ ตามเด็กคนอื่นๆด้วยนะ ให้ตาย! ถ้าอย่างฉันเรียกว่า ‘ดำ’ แล้วอย่างสองพี่น้องนั่นคงเรียกว่านิโกรล่ะ
แต่ก็อย่างว่า...เข้าใจอารมณ์เด็กบ้านนอกใช่ไหม? ได้นั่งท้ายรถกระบะขับรอบเมือง เล่นสาดน้ำถือว่าสนุกสุดๆแล้วล่ะ ต่อให้ลูกชายเจ้าของรถจะเรียกหรือจะทำอะไร ฉันก็ยอมทั้งนั้น จนกลายเป็นว่าทุกๆปีฉันจะรอคอยวันสงกรานต์ตลอด รอคอยการมาของครอบครัวป้าปุ้ย รอคอยได้เล่นน้ำ...
“นี่พิมดำ ไปตักน้ำในคลองมาดิ๊” ไอ้เอ็มเอ่ยกับฉัน ในตอนที่รถกระบะขับมาถึงคลองใหญ่นอกเมือง น้ำในแท้งค์ของพวกเราหมดเกลี้ยงไม่เหลือสักหยด ก็ถ้าเล่นน้ำแต่ไม่มีน้ำมันจะไปสนุกอะไรกัน
“ไปเอาเองดิ” ฉันนั่งกอดอกแผ่หลาบนพื้นกระบะ ถ้าคนอื่นให้ไปตัก ฉันก็พอจะฝืนใจไปทำ แต่นี่เป็นไอ้เอ็ม...เรื่องอะไรฉันจะทำ!
ทว่า...
“เดี๋ยวพี่ไปตักให้” พี่เอกเอ่ยแทรกพร้อมกับถือถังใบเล็กลงไปจากรถ ว่าแล้วก็ตักจ้วงเอาน้ำคลองมาใส่ในแท้งค์ ให้ตาย! มันไม่ใช่น้ำสีใสๆหรอกนะ แต่เป็นสีน้ำตาลเหมือนน้ำใบไม้แห้งทับถมกันมานาน แถมมีกลิ่นตุๆอีก ฉันยืนมองตาปริบๆ คิดในใจ ‘ไอ้คนต่อไปที่โดนน้ำพวกเราสาดคงซวยแน่’ ถามว่าสำนึกหรือเห็นใจคนที่จะโดนสาดไหม? ตอบเลยว่าไม่! รู้สึกสะใจด้วยซ้ำ คว้าถังอีกใบลงไปช่วยพี่เอกตักอีกแรง และในตอนนั้นไอ้เอ็มมันเห็นฉันเผลอ จู่ๆมันก็มาถีบเอวฉันจากด้านหลัง ฉันกำลังจะหน้าคะมำ พี่เอกที่ยืนอยู่ข้างๆก็คว้าแขนฉันไว้ แต่ไม่ทันแล้ว! เพราะขอบคลองที่พวกเรายืนอยู่มันเป็นตะไคร่ พากันลื่นไถลตกลงไปในคลองดังตูมใหญ่ โชคยังดีที่น้ำสูงแค่หัวเข่าคนตัวโตกว่า ฉันนั่งอยู่บนตัวเขาสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะก้มมองชุดตัวเองที่กลายเป็นสีน้ำตาลเหมือนสีน้ำคลอง ส่วนมือก็เลอะไปด้วยขี้ดินขี้โคลน บนหัวพี่เอกมีดินเลอะอยู่ ฉันถึงกับหัวเราะออกมาดังลั่นตามประสาเด็ก เขาเลยหัวเราะตาม นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เขามีลักยิ้มและเขี้ยวเล็กๆด้วย เขาดูเป็นมิตรกว่าตอนทำหน้าบึ้งเป็นไหนๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า อีพิมดำตัวดำฮ่าฮ่า” แล้วไอ้เสียงหัวเราะที่ดังสอดประสานจากริมคลอง ก็ต้องทำให้ฉันหยุดชะงัก ไอ้คนที่พึ่งถีบฉันลงมา มันกำลังหัวเราะดังลั่น ด้วยความหมั่นไส้ ฉันจึงโกยดินจากใต้น้ำ ปาใส่หน้ามัน และฝีมือฉันก็แม่นด้วยนะ โดนหน้าไอ้เอ็มไปเต็มๆ ทำให้มันเลอะไปทั้งตัว สงครามริมคลองของพวกเราก็เกิดขึ้น ทั้งสาดน้ำบ้าง สาดโคลนบ้าง ทั้งสามก็ต่างเล่นกันสนุกสนาน พี่เอกเป็นฝ่ายฉันมาช่วยกันรุมไอ้เอ็มจนมันต้องยอมแพ้ แล้วพวกเราก็ขนน้ำใส่แท้งค์ต่อ พากันไปเล่นรอบเมืองอีกครั้ง ก็เพราะเหตุการณ์นั้นทำให้ฉันได้คุยกับพี่เอกมากขึ้น เรื่องที่คุยก็เป็นแค่เรื่องตามประสาเด็กและส่วนใหญ่ฉันมากกว่าที่คุยเยอะ
สามปี...แค่สามปีเท่านั้นแหละ หลังจากนั้นป้าปุ้ยก็มากับลุงจอมแค่สองคน ไร้เงาลูกชาย พวกนั้นไม่มาอีกเลย อาจเพราะโตๆกันแล้ว เลยไปสนุกสนานแบบตัวใครตัวมันล่ะมั้ง สงกรานต์ของฉันก็เปลี่ยนไป ฉันไปเล่นกับเพื่อน แล้วค่อยๆลืมเรื่องวัยเด็ก ลืมเรื่องสองพี่น้องนั่น...ลืมไปเลยว่าหน้าตาเป็นยังไง...
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ฉันก็ย้ายออกจากบ้านยายแบม เพราะยายพิส ยายแท้ๆของฉันขายสวนยางร้อยกว่าไร่ มาทำบ้านชั้นเดียวห้าหลังให้เช่า ส่วนแม่ก็ทำซักอบรีดอยู่กับบ้าน ฐานะการเงินดีขึ้น แม่ไม่ต้องทำงานเยอะอีก อาศัยเก็บค่าเช่าไว้ใช้จ่ายในบ้าน จะกินจะซื้ออะไรก็ไม่ขัดสนเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้เรียกว่าเสือนอนกินก็ได้ เพราะเงินค่าเช่าสามารถเลี้ยงชีพพวกเราสามคนได้อย่างสบายๆ
ปัจจุบัน วันหนึ่งในช่วงกุมภาพันธ์...
“พะพิมๆ สงกรานต์ปีนี้ป้าปุ้ยจะมานอนบ้านเรานะ” แม่เอ่ยกับฉันตอนที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ
“อือฮึ” ฉันตอบกลับด้วยอาการสะลืมสะลือ เพราะพึ่งตื่น พอมานั่งบนชักโครก สมองเริ่มทำงาน ทบทวนเรื่องที่แม่พึ่งพูดเมื่อตะกี้
“แม่!! ว่าอะไรนะ” ฉันแหกปากตะโกนถามแม่ที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ
“บอกว่าป้าปุ้ยมานอนบ้านเราไง”
“อ้าว!! ทำไมต้องมานอนบ้านเล็กๆเราด้วย เขามีเงินไม่ใช่เหรอ ให้ไปนอนรีสอร์ทหรือไม่ก็บ้านยายแบมสิ”
“บ้านยายแบมเต็มแล้ว บ้านเราพอเบียดๆกันได้ จะให้เขาไปนอนที่อื่นทำไม เปลืองเงินเปลืองทองเปล่าๆ”
“....” ฉันจะพูดอะไรได้ ก็ในเมื่อเจ้าของบ้านตัดสินใจอนุญาตไปแล้ว เฮ้อ~
บ้านหลังนี้ก็มีแค่สองห้องนอน ปกติฉันนอนคนเดียวห้องหนึ่ง ส่วนอีกห้องแม่กับยายนอนด้วยกัน ในเมื่อมีแขกมา ไม่วายฉันต้องเสียสละห้องตัวเองให้แขกแน่ๆ ‘น่าเบื่อชะมัด~ปีนี้ชวนเพื่อนไปเที่ยวค้างคืนต่างจังหวัดก็ได้ จะได้ไม่ต้องเจอแขก’