หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเราก็ไม่ได้มีปากมีเสียงกันต่ออีก หลังจากอ้ายกอล์ฟกลับเข้าไปในห้อง ส่วนฉันเองก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนั่นก็เพื่อเฝ้ารอนับเวลาถอยหลัง
อีกนิดเดียว อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็จะได้เจออ้ายก็อตแล้ว…
เช้าวันต่อมา…
ชุดนักศึกษาซึ่งถูกซื้อเตรียมเอาไว้ ถูกบรรจงหยิบขึ้นมาแต่งกายจนเรียบร้อย ฉันเช็กความเรียบร้อยของตัวเองอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ยิ่งภาพสะท้อนผ่านกระจกเงาแสดงให้เห็นว่าหน้าของฉันตอนนี้มีเครื่องสำอางค์อ่อนๆ ด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งเขินตัวเอง
เพราะเป็นคนไม่ค่อยแต่งหน้า นอกจากว่าจะมีงานหรือกิจกรรมที่จำเป็นจริงๆ ฉันจึงรู้เขินนิดๆที่ต้องเห็นสีสันอ่อนๆบนใบหน้าตัวเองยามนี้ และนี่เป็นคงครั้งแรกเลยล่ะที่ฉันตัดสินใจแต่งหน้าไปเรียน เหตุผลก็เพราะวันนี้มันเป็นวันพิเศษ ฉันจึงอยากให้ทุกๆ อย่างที่เคยเป็นดูเหนือความคาดหมายทั้งหมด ลิปกลอสสีชมพูอ่อน ถูกหยิบขึ้นมาทาเคลือบบนผิวปากที่แห้งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนทุกย่างเป็นอันเสร็จ
ฉันเช็กความเรียบร้อยภายในห้องเป็นหนสุดท้าย ก่อนคว้ากระเป๋าผ้าสีขาวเดินออกจากห้องพัก ทุกเสียงฝีเท้าที่เดินออกห่างจากห้องพัก มันทำให้ฉันตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่น ถ้าพูดกันจริงๆ หากไม่นับรวมวันแรกที่มาถึง ฉันก็แทบไม่ได้ออกจากห้องไปไหนเลย ของกินที่พกมาและซื้อมาตั้งแต่วันแรกอย่างมาม่าคัพมันก็เพียงพอแล้ว
รู้สึกเหมือนกำลังจะได้ออกผจญภัยแฮะ…
บรื้นน บรื้นนน
เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มไปทั่วบริเวณ วินาทีที่ฉันพาตัวเองลงมาที่หน้าหอ และต้องพบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังบิดเร่งเครื่องยนต์ขนาดเล็กออกไปจากบริเวณหน้าหอพักตั้งแต่เช้า ฉันไม่เห็นหน้าเขาหรอกเพราะอีกฝ่ายสวมหมวกกันน็อกใบใหญ่ปิดบังหน้าตา
แต่นั่นน่ะไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกสนใจได้มากเท่ากับโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่กำลังกดเบอร์โทรออกด้วยชื่อ ‘อ้ายก็อต’ หรอกนะ ฉันเงี่ยหูฟังเสียงตอบรับผ่านหูโทรศัพท์ขณะเท้าเดินก้าวไปตามทางถนน เลี้ยวออกไปยังฟุตบาทเพื่อพาตัวเองไปที่มหาวิทยาลัย
ตอนนี้ที่ฉันเป็นกังวลก็คือ ปลายสายดันไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉันนี่สิ
[ตู๊ดดดด… ตู๊ดดดดดด…]
หรือว่าเขาจะยังไม่ตื่นกันนะ…
ตึก... ตึก...
เพราะหอพักอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยเพียงนิดเดียว ซึ่งฉันใช้เวลาเดินไปถึงที่หน้ามหาวิทยาลัยไม่ถึง 10 นาที ด้วยซ้ำ พอเริ่มเข้าเขตพื้นที่ของมหาวิทยาลัย สิ่งที่พบเห็นได้ในช่วงเวลานั้นก็คงเป็นนักศึกษามากหน้าหลายตาทยอยพากันเดินเข้าไปด้านใน บ้างก็มาเดี่ยว บ้างก็อยู่กันเป้นกลุ่ม ต่างจากฉันที่กล้าๆ กลัวๆ เพราะไม่มีเพื่อนเลยสักคน
โชคดีที่ตอนนั้นโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาเสียก่อน ฉันจึงรีบหยิบขึ้นมากดรับสายแบบไม่ดูเบอร์ และหวังให้ใครก็ตามในสายช่วยลดอาการประหม่าให้ในทกก้าวที่ต้องเดินเข้าไปยังสถานศึกษาแห่งใหม่
“ฮัลโหล…”
[เมื่อกี้น้องพริกโทรหาพี่เหรอคะ?] เสียงอู้อี้ของผู้ชายที่ดังผ่านสาย ทำฉันรีบลดโทรศัพท์ดูชื่อของคนที่โทรเข้ามาทันที ‘อ้ายก็อต’ พอเห็นชื่อ ฉันก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเสียงของเขาที่ฟังดูแปลกไปคล้ายกับคนเป็นหวัด
“อ้ายก็อตไม่สบายเหรอคะ?” และอดถามออกไปไม่ได้
[ใช่ค่ะ จามมาหลายวันแล้ว]
“อ้ายก็อตอ่ะอู้ให้พริกดูแลสุขภาพ แต่กลับไม่ยอมทำ น่าตีจริงๆ เลย” ฉันพูดแบบห่วงๆ ขณะเท้าเริ่มพาตัวเองเดินเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัยลึกขึ้นเรื่อยๆ ส่วนปากก็ชวนอ้ายก็อตคุยไปด้วย “แล้วนี่อ้ายก็อตจะมาตอนไหนเจ้า”
[ตอนนี้พี่อยู่ตรงที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ค่ะ อยู่ใกล้ๆ กับตึกวิศวฯ เลย]
“เอ๊ะ!?”
[เอ๊ะอะไรกันล่ะคะ น้องพริกเดินมาหาพี่ที่หน้าตึกวิศวฯ สิ เดี๋ยวพี่พาไปเข้าคณะ] พอได้ยินแบบนั้นฉันก็อดยิ้มแก้มแทบแตกไม่ได้ [มาถูกหรือเปล่าคะ? ถ้าไม่ถูกก็ลองดูป้ายบอกทางแถวๆนั้นก็ได้]
“ดะ ได้เจ้า!”
[ดีค่ะ งั้นเดี๋ยวพี่เดินไปหาหนู หนูก็เดินมาหาพี่ เจอกันที่ตึกวิศวฯ คนละครึ่งทางเนอะ]
“ค่า!” ฉันรับปากด้วยความรู้สึกดีใจ เท้ารีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งคลำทางตามป้ายบอกสถานที่ภายใน หูฉันได้ยินเสียงหอบหายใจของอ้ายก็อตซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังวิ่ง พอได้ยินแบบนั้นฉันเองก็เลยเปลี่ยนเป็นวิ่งอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อหวังย่นระยะทางของการพบกันให้สั้นที่สุด
ตึก! ตึก! ตึก!
“หนะ หนูมาถึงหน้าตึกวิศวฯ แล้วค่ะ..แฮ่ก..” ด้วยความที่อยากพบหน้ากันมากๆ มันก็เลยพานให้ฉันทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว พร้อมหัวใจที่เริ่มเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก และอดคิดไม่ได้ว่าถ้าได้เจอหน้ากัน ถึงตอนนั้นฉันควรจะทำอย่างไรดี
ควรจะกอดเข้าให้สมกันที่ไม่ได้กอดมานานหรือเปล่า อ่า… ตื่นเต้นจัง
[เดินเข้ามาในตึกเลยค่ะ พี่กำลังวิ่งไปหา แฮ่ก…] เมื่อได้รับคำตอบจากปลายสาย ได้ฟังน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกเหมือนๆ กันแบบนั้น ฉันก็ยิ่งเร่งความไวของฝีเท้าเดินลัดเลาะตึกคณะวิศวฯ เข้าไปเพื่อหมายที่จะได้พบ ส่วนปากก็คอยพูดบอกพิกัดของตัวเองไปด้วย
“ตอนนี้หนูอยู่ตรงทางเดินทาง อ้ายก็อตล่ะคะ… แฮ่ก…”
[ใกล้จะถึงหัวมุมแล้วค่ะ หัวมุมตรงทางเดินนั่นแหละ…] คำพูดของเขาทำฉันหยุดเท้าลงโดยชะงัก เงยหน้ามองไปสุดทางเดินก่อนพบว่ามันคือมุมของตัวอาคารเหมือนอย่างที่คนรักบอกในสาย จากตรงนี้ระยะห่างของเราเหลืออีกเพียงไม่ถึง 10 เมตรด้วยซ้ำ
เพียงแค่ไม่กี่เมตรฉันก็ได้พบกับเข้าแล้ว หัวใจฉันเหมือนจะหลุดออกมานอกอก ยิ่งมอง ยิ่งลุ้น ว่าเมื่อไหร่เขาจะเดินหลดจากหัวมุมอาคารมาให้เจอหน้า ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งทนไม่ไหว จนต้องเป็นฝ่ายก้าวเท้าเดินไวเพื่อไปพบหน้าเขาเสียเอง ทว่า
ตึก! ตึก! ตึก!
ฟึ่บ! หมับ!
“อื้อ!” วินาทีที่ตั้งใจจะก้าวเท้าพุ่งตัวออกไปเพื่อพบเจอกับคนรัก จู่ๆ กลับมีมือของใครอีกคน พุ่งเข้ารวบตัวฉันจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว แรงกระชากมหาศาลดังกล่าวดึงตัวฉันที่ไม่ทันระวังเข้าไปหลบอยู่ในซอกเล็กๆ ระหว่างช่วงตัวอาคาร
และตอนนั้นเอง ท่ามกลางสถานการณ์ที่น่าตกใจดังกล่าวมีเสียงหนึ่งของใครอีกคนทักขึ้น
“จำไม่ได้เหรอ ว่าเมื่อคืนพี่สั่งพริกไว้ว่ายังไง?” ฉันทำตาโตด้วยความตกใจเพราะจำเสียงแกมสั่งนั่นได้เป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นก็พยายามเหลือบมองเจ้าของคำถาม
อ้ายกอล์ฟกอดรัดกายฉันจากด้านหลังแน่นขึ้น เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามีในการดึงตัวฉันให้เข้าไปอยู่ด้านในสุดของซอกเล็กๆ ในลักษณะให้หันหน้าออก
“อื้อ! อ่อย อู๋ อ๊ะ!” ฉันพยายามดิ้นขลุกขลักต้านแรงดังกล่าวของเขาและหวังว่าตัวเองจะเป็นอิสระในไม่ช้า หรือถ้าหากโชคดีหน่อย ฉันก็หวังว่าให้อ้ายก็อตหรือใครก็ได้สักคนผ่านมาเจอเราทั้งคู่ในตอนนี้สักที
“บอกแล้วไงว่าไม่ให้เจอ ไม่เข้าใจหรือไง?” อีกหนที่อ้ายกอล์ฟกระซิบถามข้างหู จนรับรู้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่เขาโน้มหน้าเป่ารดลงมา หัวใจฉันเต้นโครมครามไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไร ยิ่งเมื่อคนใจร้ายค่อยๆ ลดมือเลื่อนต่ำลงมาตามต้นขา ฉันก็ยิ่งบอกความรู้สึกของตัวเองไม่ถูก
“พูดดีๆ ไม่ฟัง หรือว่าอยากให้ต้องใช้กำลัง?” เขายังคงกระซิบขู่ฉัน ไม่สนแม้กระทั่งว่าโทรศัพท์ในมือของฉันกำลังค้างสายกับอ้ายก็อตน้องชายของตัวเองหรือไม่
[พริก… อยู่ไหนแล้ว พี่ไม่เห็นพริกเลย แฮ่ก… แฮ่ก…] ฉันได้ยินเสียงแว่วของคนในสายลอดผ่านโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ แม้จะพยายามจะขยับตัวเพื่อส่งเสียงร้องให้เขาได้ยินก็ดูจะยากไปหมด
“อะ… อื้อ!” ยิ่งฉันพยายามส่งเสียงร้อง ฝ่ามือหนาก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักกดปิดปากฉันหนักหน่วงมากขึ้นเท่านั้น และในตอนนั้นเอง
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงฝีเท้าหนักๆ ของใครคนหนึ่งซึ่งฟังดูสอดคล้องกลับปลายสาย กระตุกใจฉันให้วูบสั่น เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังจากที่ไกลๆ ก่อนเริ่มดังใกล้เข้ามาทุกขณะ…
[พริก! ยังมาไม่ถึงเหรอ… ทำไมเงียบไปล่ะ!?] ฉันได้ยินเสียงแว่วของอ้ายก็อตลอดผ่านหูโทรศัพท์ ติดอยู่เพียงนิดเดียวที่ปากดันขยับพูดไม่ได้ จนกระทั่ง
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
สายลมเบาๆ ที่พัดมาจากด้านนอกพร้อมด้วยเสียงฝีเท้าของผู้ชายตัวสูงในชุดนักศึกษา ได้วิ่งผ่านทางเข้าซอกเล็กๆ ไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่ฉันก็ยังสามารถมองเห็น ท่าทางที่ดูเหน็ดเหนื่อยจากวิ่ง หรือแม้แต่จะเป็นมือของเขาซึ่งกำลังถือโทรศัพท์เพื่อคุยกับฉัน
“เซ่อชะมัด ไม่น่าเชื่อว่าไอ้ก็อตจะตาถั่วขนาดนี้…” เสียงพึมพำของคนใจร้าย ทำฉันสะดุ้งเล็กน้อยจากภาพที่เห็น ก่อนตามมาด้วยประโยคสั้นๆ ราวกับจะถามความเห็น “เนอะเมีย…”
ฟึ่บ!
ฉันสะบัดตัวออกห่างจากเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แรงทั้งหมดที่ฉันมีแต่เพียงอย่างเดียวหรอก ด้วยแรงแค่นั้นหากเขาไม่ยอมปล่อยฉันคงไม่มีโอกาสดิ้นหลุดได้แน่ๆ อ้ายกอล์ฟขยับยิ้มทันทีเมื่อเห็นเหยื่อของตัวเองเป็นอิสระ ฉันเองก็มองเขาเช่นกันก่อนหลุบตาลงไปที่โทรศัพท์ก่อนตัดสินใจเลื่อนขึ้นมาแนบกับหูอีกครั้ง ใจสั่นมันสั่นด้วยความหวาดหวั่นเพราะกลัวปลายสายจะได้ยินสิ่งที่อ้ายกอล์ฟพูด
[ตู๊ดดดด ตู๊ดดดดด…] ไม่รู้จะเรียกโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่เวลานี้ปลายสายได้ตัดสายทิ้งไปแล้ว…
“ยังคิดจะออกไปเจอมันอยู่อีกไหม?” คำถามสั้นๆราวกับจะลองใจถูกพ่นถามขึ้น เมื่อคนตัวใหญ่ตรงหน้าจับสังเกตฉันผ่านสีหน้าได้ ฉันไม่กล้าตอบเขา เพราะตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายตรงหน้ามันหลากหลายความรู้สึกไปหมด บอกไม่ถูกเลยว่าฉันกำลังรู้ยังไงแน่
ทั้งหวาดหวั่น หวาดกลัว แต่ในขณะเดียวกันอ้อมกอดที่เขาใช้บังคับให้ฉันอยู่นิ่งกับที่นั่น มันก็เหมือนจะเป็นอ้อมกอดที่ฉันคุ้นเคยด้วยเช่นกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกกับเขาแบบนั้น ทั้งที่เราก็เพิ่งจะเคยเจอกันไม่กี่วัน หรืออาจเป็นเพราะสัมผัสทางกายที่เขาฝากไว้ที่ตัวฉันกันแน่
ฟึ่บ! ตึก! ตึก!
สุดท้ายฉันก็ไม่ตอบอะไรอ้ายกอล์ฟกลับไปจริงๆ แต่เลือกจะก้าวเท้าถอยห่างจากเขามา ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปในที่สุด ครั้งนี้น่าแปลกที่อ้ายกอล์ฟไม่ได้ใช้กำลังบังคับฉันให้อยู่กับที่ แต่เขาเลือกที่จะปล่อยฉันสู่อิสระอย่างง่ายๆโดยไม่ได้ใช้กำลังหรือคำพูดข่มขู่เป้นหนที่สอง
วินาทีที่เท้ากำลังจะก้าวออกจากซอกระหว่างตึกเล็กๆ หางตาฉันก็เหลือบมองคนใจร้ายที่อยู่ด้านในสุดของช่างทางแคบ แม้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาไม่ถึง 5 วินาที แต่ฉันก็ยังเห็น...
อ้ายกอล์ฟไม่ได้แสดงท่าทางน่ากลัวหรือทำสีหน้าใจดูสะใจกับเรื่องที่เกิด เขายืนเอนหลังพิงนาบไปกับผนัง ใช้มือหนาเลื่อนขึ้นลูบหน้าตัวคล้ายกับกำลังเครียด หรือเป็นกังวลอะไร นอกจากนั้นฉันเองยังรู้สึกได้ถึงความเศร้าสร้อยที่แผ่ออกจากท่าทางของเขาด้วยเช่นกัน
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้สนใจเขาไปมากกว่าใครอีกคนที่ฉันอยากเจอหน้าหรอกนะ เท้าทั้งสองข้างกำลังวิ่งย้อนไปตามทางเดินในคณะ สายตากวาดมองหาเป้าหมาย ส่วนมือก็พยายามกดโทรหาเบอร์อ้ายก็อตไปด้วย หากแต่สิ่งที่รอฉันกลับมานั้นมันดันเป็นเสียงเครื่องตอบรับอัตโนมัติ ไม่ใช่เจ้าของเบอร์อย่างที่ควรจะเป็น
[ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…]
อ้ายก็อต โกรธฉันงั้นเหรอ…
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
ตุบ!
เพราะไม่ดูทาง ทำให้ฉันที่ก้มหน้าก้มตาวิ่งชนเข้ากับใครคนหนึ่งที่บริเวณทางเดิน
“ขอโทษเจ้า เฮาบ่ได้ตั้งใจ้” เพราะแตกตื่นและตกใจ ฉันก็เลยหลุดพูดภาษาบ้านเกิดออกไป พลางรีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“บ่เป็นหยัง คราวหน้าคราวหลังก็ผ่อทางบ้างเน้อ” คำตอบที่ได้รับกลับมา ทำฉันรีบเงยหน้ามองเจ้าของสำเนียงการพูดซึ่งฟังดูคล้ายกันแทบจะทันที เขาคือผู้ชายตัวสูง หน้าตาดูตี๋ๆ แต่ดูดีเหนือความคาดหมาย เขาแต่งกายด้วยชุดนักศึกษา หากแต่ไม่มีเข็มตราหรือลักษณะพิเศษที่บ่งบอกว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
“ตั๋วเป็นคนเมืองก่อ?” มันกลายเป็นนิสัยส่วนตัวไปแล้ว เวลาที่ได้พบกับใครที่พูดภาษาสำเนียงเดียวกัน ผู้ชายตรงหน้าตอบกลับเพียงพยักหนัก ก่อนตามมาด้วยคำถาม
“ตั๋วชื่อพริกใช่ก่อ?” และนั่นแหละที่ดูจะประหลาดที่สุด ที่ชายแปลกหน้าคนนี้ดันรู้ชื่อของฉัน แม้วันนี้มีแต่เรื่องน่าตกใจหลายๆ อย่างให้ฉันได้เผชิญ ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังย้อนถามเขากลับไปตามมารยาทอยู่ดี
“ใช่เจ้า แล้วตั๋วล่ะ” คนตัวสูงตรงหน้าหรี่ตาลงเล็กน้อย เขากำลังใช้นัยน์ตาคู่นั้นมองสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างพินิจพิจารณา ก่อนให้คำตอบวลีสั้นๆ
“ซี”