bc

ผู้ร้ายสวมรอยรัก

book_age18+
334
ติดตาม
1K
อ่าน
ล้างแค้น
love-triangle
จบสุข
ใช้กำลัง
ดราม่า
วิทยาลัย
like
intro-logo
คำนิยม

"ถ้าพริกเมา อ้ายจะไม่ปล้ำพริกเหมือนผู้ร้ายในข่าวใช่ก่อเจ้า?" น้องพริกถาม หลังถูกผมมอมด้วยน้ำอัดลมผสมเหล้าจนเมามายและเพราะรู้ว่าเธอชอบคนดี ผมจึงตอบกลับไปอย่างหนักแน่น "ไม่ค่ะ!" ไม่ได้ลงจากเตียงแน่นวล!

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
บทที่ 1
ฮักปี้ดูสักครั้งบ่ลวงบ่หลอก (รักพี่ดูสักครั้ง พี่ไม่หลอกเธอหรอกนะ) ฮักเจ้าพัลวันบ่กลิ้งบ่กลอก (รักเธอจนวุ่นวายไปหมด พี่พูดจริงนะไม่ได้โกหก) ฮักนักเหลือไผ ฮักจ๊าดนักแม่เอย! (พี่รักเธอมากกว่าใคร รักม๊ากมากบอกตรง!)   กรุงเทพมหานคร หอพักรวม A เวลา 16.25 นาฬิกา [ตั๋วถึงกรุงเทพแล้วก๊ะ?] “ถึงแล้ว” [แล้วฮู้ก่อ ว่าหอพักตั๋วไปตางใด] “เจ้า พริกถึงแล้วแม่ แม่บ่ต้องเป็นห่วงเน้อ พริกบ่ใจ้ละอ่อนน้อยแล้วหนา” [ดีแล้ว งั้นแม่วางสายก่อนเน้อ] “เจ้า…” ฉันรีบกดวางสายหลังจากรับคำผู้เป็นแม่จบ รีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าสะพายส่วนปากก็พูดกับใครอีกคนตรงหน้า “พูดต่อได้เลยค่ะ” “ค่ะ…วิวจากห้องนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้ชัดมาก แถมนี่ก็เป็นชั้น 5 บรรยากาศจะดีกว่าชั้นล่างๆ อีกนะคะ… มาค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะพาได้ดูวิวตรงระเบียง” “ค่า!” ฉันชื่อ ‘พริก’ ค่ะ ตอนนี้เพิ่งมีโอกาสได้ห่างจากอ้อมอกแม่ มาเผชิญโลกกว้างเพียงคนเดียว พื้นเพฉันเป็นคนเจียงใหม่โดยแท้ แต่ที่ต้องระหกระเหินเข้ามาในเมืองกรุงแบบนี้ก็เพราะ ในอดีตฉันเคยสัญญากับแฟนสุดที่รักเอาไว้ว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับเขา ซึ่งตอนนี้ฉันก็ทำได้แล้วค่ะ ต้องของเท้าความนิดหนึ่ง ฉันน่ะมีแฟนที่รักมากๆ อยู่คนหนึ่ง เขาชื่ออ้าย ‘ก็อต’ ค่ะ อ้ายก็อตย้ายมาเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนเอกชนประจำเมืองเชียงใหม่ เราทั้งคู่ก็เลยมีโอกาสได้เจอกัน จริงๆ แล้วการพบกันของเรามันมีอะไรมากกว่านั้น ยิ่งกว่าเรื่องราวในนวนิยายที่เคยอ่านเสียอีก เราประทับใจกันและกันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นและฉันพูดได้เต็มปากเลยว่าเราคือรักแรกของกันและกัน แต่แล้ววันดีคืนดี อ้ายก็อตก็ต้องย้ายออกไปตอนมัธยม 5 เทอม 2 อย่างปุบปับ เนื่องจากธุรกิจทางบ้าน (เรื่องนี้เขาไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฉันฟังหรอกนะ) ถึงเราจะต้องอยู่ไกลกัน แต่ก็ไม่เคยมีช่วงไหนเลยที่อ้ายก็อตจะไม่ติดต่อกลับมา ถ้าจะมีก็มีแค่ช่วงหลังๆ นี่แหละที่เขายุ่งๆ เราจึงคุยกันผ่านข้อความแชทมากกว่าที่จะโทรหากัน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีการส่งโฮมวิดีโอแลกหน้ากันผ่านทางเมล์บ้างเพื่อแก้ความคิดถึง... “สรุปว่าชอบไหมคะ?” ฉันสะดุ้งจากภวังค์ความคิด เหลือบมองหน้าคนดูแลตึกซึ่งกำลังชี้นิ้วออกไปนอกระเบียง “หอพักนี้ถึงจะเป็นหอพักรวม แต่ว่าอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของทุกอย่างเลยนะคะ และถ้าน้องเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย F จากหอพักเดินด้วยเท้าไปมหาวิทยาลัยไม่ถึง 10 นาที” “ค่ะ! หนูเอาห้องนี้ค่ะ!” จริงๆ แล้วต่อให้คนดูแลหอไม่พรีเซ้นต์สรรพคุณของหอพัก ยังไงฉันก็ตัดสินใจจะเข้าพักอาศัยที่นี่อยู่แล้วล่ะ “งั้นเราไปทำสัญญาเช่าที่ชั้นล่างกันเลยไหมคะ” “ค่า!” คิดภาพไม่ออกเลยว่า ถ้าอ้ายก็อตรู้ว่าฉันมาถึงเมืองกรุงแล้ว เขาจะทำหน้ายังไง... หลังจากนั้น 45 นาที ฉันพาตัวเองกลับมาห้องพักเดิม หลังจากทำสัญญาเช่าห้องเสร็จ ร่างกายถูกดูดด้วยเตียงนุ่มๆ ตรงหน้าทันที ดีหน่อยที่หอพักแห่งนี้ค่อนข้างดูดีแถมยังมีเฟอร์นิเจอร์ให้ครบครัน แม้ไม่ได้เตรียมอะไรมา สายตาเหลือบมองข้าวของเครื่องใช้ที่ขนมาจากบ้าน ซึ่งยังถูกวางกองเอาไว้กลางห้อง ถ้าไม่นับเรื่องการเรียนหรือการเตรียมตัวสอบที่ผ่านมา ก็คงเป็นการใช้เวลาเดินทางจากเชียงใหม่มาเมืองกรุงเกือบๆ 10 ชั่วโมง นั่นแหละที่ทำร่างกายฉันอ่อนเพลียอย่างสุดๆ เหนื่อยอะไรแบบนี้นะ… ปี๊บ! ปี๊บ! แม้แต่เรี่ยวแรงที่อยากจะหยิบโทรศัพท์มาเปิดข้อความยังแทบจะไม่มีเลย แย่จริงๆ อ้ายก็อต :: อยู่ไหน ทำไมวันนี้หายไปเลย ถึงไม่เหลือเรี่ยวแรงแค่ไหนก็ตามแต่พอเห็นชื่อของคนที่ส่งข้อความมา พลังกายที่เหมือนจะหายไปถูกเติมเต็มขึ้นมาใหม่ รีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งตอบข้อความเขากลับไปทันที พริก :: หนูทำธุระอยู่ค่ะ อ้ายล่ะ อยู่ไหน? เอ๊ะ!? หรือว่าฉันจะบอกเขาดีนะ ว่าตอนนี้ถึงกรุงเทพแล้ว ดีล่ะ งั้นบอกเลยก็แล้วกันเผื่อเขาจะดีใจ คิกๆ อ้ายก็อต :: พี่ยุ่งๆ กับงานมหาวิทยาลัย เอาไว้ค่ำๆ คุยกันนะ ตอนแรกก็คิดจะบอกเขานั่นแหละ แต่ขณะที่นิ้วกำลังจิ้มพิมพ์ข้อความ อ้ายก็อตดันตอบข้อความกลับมาเสียก่อน จำต้องตอบกลับด้วยข้อความอื่นแทน พริก :: หนูจะรอนะคะ อ้ายก็อตยุ่งกับงานของมหาวิทยาลัยอีกแล้ว... ช่วงหลังมานี่เขาเป็นแบบนี้ตลอดเลย เพราะแบบนี้ยังไงล่ะ ฉันถึงเลือกที่จะคุยกับเขาผ่านข้อความแชทมากกว่าโทรหา ไม่อยากกวนเวลาทำงาน ยังไงเสียเขาก็ไม่เคยทิ้งฉันให้ต้องเหงาอยู่แล้ว เมื่อการพูดคุยผ่านข้อความแชทเสร็จสิ้นลง ฉันซึ่งไม่มีอะไรทำอยู่เลยล้มลงนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง แต่พอดูเวลาบนหน้าปัดโทรศัพท์ ฉันก็ต้องพบว่า นี่มันก็เย็นมากแล้ว โครกกกกกก~ แถมท้องก็ยังมาร้องอีก! งั้นลงไปดูลาดเลาร้านรวงข้างล่างตึกสักหน่อยดีกว่า เขาว่ากันว่าอาหารคนกรุงเทพฯ มีแต่ของแปลกๆ ด้วยสิ วันแรกในกรุงเทพฯงั้นเหรอ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว… ตอนแรกก็ตั้งใจจะลงมาดูลาดเลาสภาพแวดล้อมรอบๆ เผื่อได้ของกินติดไม้ติดมือขึ้นห้อง แต่พอก้าวเท้าพ้นอาณาเขตหอพักมาเท่านั้นแหละ แม่ญิ๋งชาวเหนืออย่างฉันก็ต้องถึงกับลมจับ บริเวณโดยรอบมันเป็นอย่างที่ผู้ดูแลหอบอกจริงๆ นั่นแหละว่าหอพักแห่งนี้อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของทุกอย่าง ไม่ว่าจะห้างสรรพสินค้า ร้านเหล้า ผับ อาจเพราะช่วงที่ฉันเดินมาถึงนั้นเป็นช่วงบ่าย เลยมองอะไรๆ ไม่ค่อยออกนักนึกว่าเป็นตึกราบ้านช่องธรรมดา  แต่ในช่วงเวลานี้ไม่ว่าจะแสงสีของไฟประดับร้านหรือแม้แต่เสียงเพลงจังหวะตึบๆ มันทำให้ฉันมองทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น รวมไปโรงแรมม่านรูดติดไฟกระพริบล่อเป้าซึ่งเปิดเรียงกันเป็นคิวยาวเหยียดตลอดแนวด้วยเช่นกัน… โค้วววววว ธัมโมสังโฆ หยังมานักหยังอี้ล้ำเหลือ! ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างนึกหวาดหวั่น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการอยู่ท่ามกลางจุดศูนย์กลางของอบายมุขจะทำให้ฉันรู้สึกขนลุกซู่ซ่าได้ขนาดนี้ ยิ่งได้เห็นเด็กวัยรุ่นรุ่นราวคราวเดียวกันเดินกอดเอวกับเข้าโรงแรมด้วยแล้วยิ่งรู้สึกผิดผีขนาด! เท้าเริ่มก้าวเข้าดงอบายมุก สายตากวาดมองหาร้อนขายอาหารตามสั่งข้างทาง โดยพยายามไม่สนใจโรงแรมม่านรูดที่ติดไฟดิสโก้เหมือนร้านคาราโอเกะใกล้ทางขึ้นดอยล่อพวกแมงหวี่แมงวันให้เข้าไปใช้บริการ อาจเพราะฉันไม่เคยเห็นแสงสีระกานตาแบบนี้มาก่อนก็ได้ แม้จะพยายามไม่สนใจ แต่สุดท้ายแสงไฟกระพริบๆ หน้าโรงแรมที่ขนาบสองข้างทางก็ดึงดูดสายตาฉันเข้าจนได้ และตอนนั้นเองสายตาก็ดันเหลือบไปเจอะเข้ากับชายหญิงคู่หนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขายังแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาอยู่เลย หากแต่สถานที่ที่พวกเขาพากันเดินเข้าไปน่ะ มันดันเป็นโรงแรมม่านรูดเสียอย่างงั้น ตัวผู้หญิงน่ะถูกตัดออกไปจากสายตาฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะตอนนี้ที่ฉันสนใจอยู่ก็คือ นักศึกษาชายซึ่งมีใบหน้าคุ้นตาเหลือเกิน หน้าเหมือนกับคนที่ขึ้นว่าเป็นแฟนฉันอย่างอ้ายก็อตไม่มีผิด! ครั้นจะเดินตามพวกเขาเข้าไปในโรงแรมด้วย คนอื่นอ่านจะมองไม่ดี ถ้าเขาคิดว่าจะเข้าไป 3P คงยิ่งแล้วไปใหญ่ เพราะงั้นฉันเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความทันที พริก :: อ้ายก็อต ตอนนี้อยู่ไหนเจ้า? หลังจากส่งข้อความไป ฉันก็ยืนรอการตอบกลับของข้อความอยู่ราวๆ ห้านาทีด้วยใจที่เต้นแรงอย่างลุ้นระทึก ซึ่งบอกเลยว่าการที่อ้ายก็อตเงียบไปแบบนี้ มันผิดปกติเอาเสียมากๆ แต่ถ้าจะฟันธงว่าผู้ชายที่เห็นเมื่อกี้เป็นอ้ายก็อตไปเลยก็คงไม่ได้ ในเมื่อบนโลกนี้ยังมีคนที่หน้าตาคล้ายกันซุกซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง คงจะไม่ใช่อ้ายก็อตหรอกมั้ง… หลายชั่วโมงต่อมา… ต่อให้จะไม่กล้าฟันธงว่าผู้ชายที่เจอหน้าโรงแรมม่านรูดเป็นอ้ายก็อตก็เถอะ แต่นี่มันก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว นับตั้งแต่ตอนนั้น จนฉันซื้อข้าวกลับมาที่หอและจัดข้าวของภายในห้องจนเสร็จ ยังไม่ยักจะมีวี่แววว่าอ้ายก็อตจะตอบข้อความกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว! ครั้นจะโทรไปหาถ้าหากว่าเขากำลังยุ่งอยู่มีหวังโดยดุแน่ๆ ดังนั้นหน้าที่ของฉันจึงทำได้แค่รอต่อไปเท่านั้น แต่พอนึกถึงสถานการณ์ที่เจอขึ้นมา ในหัวก็อดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ นี่มันก็ 4 ปีแล้วนะที่ฉันไม่ได้เจอกับอ้ายก็อตตัวเป็นๆ เลย แถมที่นี่ก็ยังเป็นเมืองกรุง มีแต่สาวปากแดง นุ่งสั้นเต็มไปหมด ไหนจะอบายมุขมากมายที่ล้อมเป็นด่านแบบรอบหอพักของฉันอีก ถ้าถูกอ้ายก็อตนอกใจจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย… ปี๊บ! ปี๊บ! เสียงเตือนข้อความที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้องพัก ทำฉันดีดตัวผึงลุกขึ้นจากเตียง รีบก้มดูข้อความที่ได้รับมาทันที อ้ายก็อต :: เพิ่งทำงานของมหา’ลัยเสร็จ อ้ายก็อต :: เหนื่อยอ่ะ ขอกอดทีสิ เห็นดังนั้น ฉันจึงพิมพ์ตอบกลับไปทันทีอย่างร้อนรน พริก :: อ้ายก็อตหายไปไหนมา ทำไมไม่ตอบข้อความน้อง พริก :: วันนี้น้องเจอคนที่คล้ายๆ อ้ายก็อตด้วย อ้ายก็อต :: พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ ฉันยู่ปากอย่างนึกขัดใจ ที่จู่ๆ อ้ายก็อตตอบตัดบทแบบนี้ อ้ายก็อต :: ห้ามงอนนะ ถ้ารู้ว่างอน จะตีให้ตัวลายเลย! อ้ายก็อต :: เดี๋ยวคืนนี้พี่โทรหานะคะ คิดถึง แต่แล้วเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นด้วยข้อความน่ารักๆ ได้อยู่เสมอ ต่อให้มันดูเหมือนการตบหัวแล้วลูบหลังก็ตาม แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าอ้ายก็อตเป็นคนน่ารักเสมอต้นเสมอปลาย แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน พอเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว ไอ้ที่เคยรู้สึกไม่สบายใจก็หายวับไปกับตา  แต่ก็ใช่ว่าจะไม่กังวลไปซะทีเดียวหรอกนะ ขนาดฉันเพิ่งมากรุงเทพฯ ครั้งแรกได้เห็นแสงสีเสียงแบบนี้ยังรู้ตื่นเต้นเลย แล้วนับประสาอะไรกับอ้ายก็อตที่อยู่กรุงเทพมาตั้งแต่เด็ก พอคิดแบบนั้นฉันก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง จำต้องรีบขยับตัวลุกจากเตียงเดินออกไปนอกระเบียง เพื่อรับลมด้านนอก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อทำให้ตัวเองสบายใจขึ้นและฆ่าเวลารออ้ายก็อตโทรมาหาไปในตัว จากระเบียงชั้น 5 ฉันสามารถมองเห็นวิวสวยๆ โดยรอบหอพักได้ทั่วตามอย่างที่คนดูแลหอพักบอกจริงๆ คงเพราะแสงสีของสถานบันเทิงล่ะมั้ง ฉันถึงได้รู้สึกว่าโชคดีจริงๆ ที่เลือกห้องของหอพักแห่งนี้นี้ (ไม่นับเรื่องที่หอพักอยู่ท่ามกลางอบายมุขและโรงแรมม่านรูดน่ะนะ) ครืดดดด… เสียงเลื่อนประตูห้องข้างๆ ทำฉันละสายตาจากภาพวิวสวยๆ ตรงหน้าเหลือบมองระเบียงห้องข้างๆ โดยอัตโนมัติ ก่อนต้องพบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมารับลมด้านนอกเหมือนกัน ปากเขาคาบบุหรี่ส่วนมือติดไฟแช็ก ดูไม่ได้สนใจฉันแบบที่ฉันสนใจเขาเลยสักนิด แต่แล้วเหมือนเขาจะรู้ตัว ถึงได้หันขวับมามองฉันด้วยท่าทางสงสัย วินาทีที่เราสบสายตากันโลกทั้งใบก็คล้ายกับหยุดหมุน แม้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปีเราจะไม่ได้พบหน้ากัน แต่ไม่ว่าจะแววตา จมูก ริมฝีปากหรือคิ้วนั่น ดูอย่างไรก็ใช่แน่ ถ้าไม่นับเรื่องสีผมที่เขียวเหมือนเปลือกมะนาวจนเข็ดฟันนั่นล่ะก็นะ “อ้ายก็อต!” -GOLF TALK- “อ้ายก็อต!”  เสียงหวานซึ่งเต็มไปด้วยความตกใจเคล้าความดีใจ ทำผมซึ่งกำลังเสพสุขกับสารนิโครตินในมือสะดุ้ง จนต้องรีบเหลียวมองเธอด้วยแปลกใจ อีกทั้งชื่อที่เธอใช้เรียกยังฟังคุ้นหูอย่างสุดๆ “หืม?” ผมคำรามหืมในลำคอ พลางใช้มือคีบบุหรี่ออกจากปาก เมื่อคนตัวเล็กจากระเบียงห้องข้างๆ ถามขึ้นเป็นหนที่สองอย่างนอบน้อมและดูลังเล “อะ...เอ่อ ขอโทษเน้อ ตั๋วใจ้อ้ายก็อตก่อ?” ผมหรี่ตา มองหน้าเธอซึ่งยืนลุ้นคำตอบอย่างใจจดใจจ่อเพื่อสำรวจไปทั่วไปหน้าเรียวสวย แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความหวังที่อีกฝ่ายใช้มองมาทำผมรู้ได้แทบจะทันทีว่าเธอเป็นใคร และนั่นมันทำผมอดยิ้มไม่ได้ “ตั๋วใช่…ปี้ก็อตก่อ?” เธอถามอีกครั้งแม้น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยอย่างลังเล หากแต่บนหน้าสวยยังปรากฏรอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง นี่มันก็ผ่านมาตั้ง 4 ปีแล้วนะ เธอยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เหมือนเสียจนผมรู้สึกหมั่นไส้จนแทบอยากจะอาเจียน... “พี่ไม่ได้ชื่อก่อค่ะ…” คนตัวเล็กตรงหน้าชะงักเงิบไปเมื่อได้รับคำตอบ “แล้วก็ไม่เคยปี้กับคนชื่อก็อตด้วย” นัยน์ตากลมคู่นั้นของเธอกำลังลอกแลกอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะเธอกำลังรู้ตัวว่าได้ทักคนผิดก็ได้ บ่อยครั้งที่ผมถูกเพื่อนรุ่นเดียวกันหรือคนแปลกหน้าทักผิดเรียกว่า ‘ก็อต’  ก็ในเมื่อไอ้ก็อตน่ะ มันคือน้องชายฝาแฝดของผมเอง ส่วนผมน่ะชื่อ ‘กอล์ฟ’  ไอ้ก็อตแฝดน้องของผมเป็นเด็กที่ฉลาดตั้งแต่เกิด มันมักได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง ทั้งที่มันก็เกิดวันเดียวกับผมแท้ๆ แต่ความดีความชอบทุกอย่างที่มันได้ไปจากครอบครัว ดันแตกต่างจากผมซึ่งเป็นแฝดพี่นัก ไม่ว่าจะความฉลาด หรือความรักที่ได้จากพ่อกับแม่ ด้วยความที่เป็นเช่นนั้น ผมจึงตัดสินใจออกมาอยู่เพียงลำพัง นับตั้งแต่พ่อกับแม่ตัดสินใจบินไปทำงานที่ต่างประเทศ พูดง่ายๆ ก็คือ บ้านเป็นของมัน หอพักแห่งนี้เป็นของผมนั่นแหละ ซึ่งผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ผม ‘เกลียด’ ไอ้ก็อตมากกว่าอะไรบนโลก รวมถึงสิ่งที่มันรักอย่างผู้หญิงข้างห้องคนนี้เช่นกัน... “คะ คือ… หนูไม่ได้หมายความแบบนั้น” เสียงเล็กกล่าวขึ้น ด้วยท่าทีเขินอาย คราวนี้เธอไม่ได้พูดสำเนียงแปลกๆ แบบคนเหนือใส่อีกแล้ว  อันที่จริงแล้วผมก็พอฟังภาษาเหนือออกบ้างบางคำนะ อย่างเช่น ตั๋ว ที่น่าจะมีความหมายว่านายหรือคุณ อีกอย่างตอนที่ได้ยินเธอพูดสำเนียงแบบนั้นแล้ว มันก็อดนึกถึงรุ่นพี่ที่ตัวเองรู้จักไม่ได้ หมอนั่นมั่นชื่อ ‘ซี’ พี่ซีคือเพื่อนสนิทร่วมคณะ ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าบ้านมันอยู่ทางเหนือเหมือนกัน ที่ดูตลกกว่าสำเนียงแปลกๆ ของผู้หญิงคนนี้ซึ่งดันคล้ายกับสำเนียงของเพื่อนผมแล้ว เธอเองก็เป็นอีกคนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดีในฐานะของ ‘แฟนน้องชาย อีกด้วย เพราะผมกับไอ้ก็อตเป็นพี่น้องกัน เรื่องของมันกับผู้หญิงคนนี้จึงเป็นเรื่องที่ผมรับรู้มาโดยตลอดนับตั้งแต่วันแรกที่มันเริ่มคบหากับเธอ เมื่อหลายปีก่อนไอ้ก็อตแสดงความเอาแต่ใจขอพ่อกับแม่ย้ายไปเรียนที่จังหวัดทางภาคเหนือ มันก็เลยปิ๊งรักกับผู้หญิงบนดอยคนนี้ขึ้นมา ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเธอคนนี้น่าจะชื่อ ‘พริก’ หรืออะไรนี่แหละ… ไอ้ก็อตน่ะซื่อสัตย์ต่อผู้หญิงคนนี้มาก ทั้งที่อยู่ห่างกันร่วมหลายปี แต่มันก็ไม่ยักจะมีผู้หญิงคนอื่น วันๆ พูดหาแต่เธอคนนี้อยู่คนเดียว ฟังแล้วมันก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ และการที่เธอมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ นั่นแปลว่าคำสัญญาระหว่างน้องชายผมกับเธอเป็นอันสำเร็จ “คือหนูจะถามว่า คุณใช่อ้ายก็อตหรือเปล่าน่ะค่ะ” เสียงหวานๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างมีมารยาทด้วยภาษากลาง คำพูดของเธอปลุกผมจากภวังค์ความคิดให้กลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ท่าทางลังเลแต่สายตากลับมีความหวังแบบนั้นน่ะ ผมเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก “ทำไมไม่พูดภาษาเหนืออีกล่ะคะ น่ารักดีออก” ผมพูดพลางดับบุหรี่ลงกับราวกับระเบียง ขณะสายตามองสำรวจไปทั่วใบหน้าเรียวสวยของคนตรงหน้าอย่างพิจารณา “หนะ หนูกลัวว่าพี่จะฟังไม่ออกน่ะค่ะ” “ฟังออกสิคะ ทำไมจะฟังไม่ออก” ซะที่ไหนกันล่ะ!? “จริงเหรอคะ?” เธอถามย้อนผมอย่างลังเล ผมก็เลยพยักหน้าส่งๆ กลับไป การกระทำแบบนั้นทำให้บทสนทนาระหว่างเราเงียบลงทันที หญิงสาวตรงหน้ายังคงอยู่ในอาการเกร็งเคล้าความลังเลไม่เปลี่ยน อาจเป็นเพราะว่าผมไม่พูดอะไรออกไปอีกล่ะมั้ง เธอจึงเบนสายตาปรายมองออกไปในที่ไกลๆ คล้ายกับจะหยุดบทสนทนาระหว่างเราลงดื้อๆ จู่ๆ เธอที่เงียบไปชั่วขณะหนึ่งก็พูดขึ้นอีกครั้ง “คือหนูสัญญากับแฟนไว้น่ะค่ะ ว่าจะตามเขาเข้ามาเรียนในกรุงเทพ…” แต่สายตาไม่ได้มองมาทางผมหรอกนะ “หนูเองก็ไม่ได้เจอหน้าแฟนมานานแล้ว พอเห็นใครคล้ายเขาก็คิดว่าเป็นเขาไปซะหมด” เห็นไหมล่ะ เธอทำตามสัญญาที่ไว้กับไอ้ก็อตอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ พอได้ฟังอย่างงั้นแล้ว จากที่รู้สึกเฉยๆ ผมดันมีความรู้สึกอื่นเพิ่มเติมเข้ามาแทน อย่างเช่นอารมณ์หมั่นไส้… ความรู้สึกเหล่านั้นประดังประเดเข้าใส่กายผมชนิดที่หยุดไม่ได้ จนกลายเป็นแรงผลักดันให้ผมว่าประโยคหนึ่งขึ้นมา “ใจร้ายจังเลยนะคะ” ผมยิ้มนิดๆ เท้าแขนลงกับขอบระเบียง และเป็นฝ่ายหันมองเธอด้วยตัวเอง ขณะที่ปากก็พูดไปตามความคิดซึ่งผุดเข้ามาในหัวเหมือนดอกเห็ด “แค่พี่แกล้งจำไม่ได้นิดหน่อย หนูก็ลืมพี่แล้ว…” “เอ๊ะ!?”  เป็นอย่างที่คิด คนฟังดูตกใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ฟัง ผมเลยพูดออกไปอีกครั้งเพื่อแสดงความยินดีอย่างเสแสร้งและหลอกลวง “ยินดีด้วยนะคะที่สอบผ่าน” เห็นได้ชัดว่าเธอดูตกใจอย่างสุดๆ หลังได้ฟังทุกถ้อยวจี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประโยคหลัง “ในที่สุดเราก็ได้เจอกันสักทีนะคะ…” “พะ พี่ ไม่สิ... อะ อ้ายคือ…”  น้ำเสียงเธอดูตื่นเต้นและปลื้มปริ่มไปในคราวเดียวกัน ผมจึงไม่รอช้าอาศัยจังหวะในตอนนั้นหันไปมองเธอตรงๆ และพูดออกไปเต็มปากเต็มคำพร้อมด้วยรอยยิ้มใจดีราวกับเทพบุตรมาจุติ “นี่พี่ก็อตเองไง ตั๋วจำเค้าไม่ได้อ่อ?”

editor-pick
Dreame - ขวัญใจบรรณาธิการ

bc

อ้อนรักหนุ่มบริหาร R18+

read
23.2K
bc

หวานใจยัยขี้อ่อย

read
7.9K
bc

ฮูหยินแม่ทัพมากวาสนา

read
9.7K
bc

Bad love Mafai รักร้ายนายมาเฟีย

read
13.2K
bc

My virgin guy! ภารกิจอันตรายท้าชนหัวใจนายเวอร์จิ้น

read
5.0K
bc

พันธนาการร้ายซ่อนรัก

read
2.2K
bc

JUST A TOY จะร้ายหรือจะรัก

read
3.1K

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook