“นู พู ทา ม่า ด้า ค่า!”
เสียงหัวเราะพรืดดังขึ้นมาจากประตูห้องทันทีที่หลังสิ้นเสียง
เสียงหัวเราะที่ว่านั่นทำฉันตวัดหางตามองเจ้าของห้องที่ดูจะสะใจเสียเต็มประดา อย่าว่าแต่เขาเลยผู้หญิงที่เอาแต่ยืนรออยู่นอกประตูห้องก็ด้วย
จำเป็นไหมที่ต้องมาพูดอะไรแบบนี้ จำเป็นไหม!?
“จะว่าไปห้องกอล์ฟก็ดูสะอาดขึ้นจริงๆ ด้วย…” เสียงเล็กพูดขึ้นอีกครั้งท่ามกลางเสียงหัวเราะในช่วงนั้น ขณะเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องอย่าพิจารณา ก่อนหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าฉันในท่ากอดอก ซึ่งนั่นตามมาด้วยคำพูดชมเชยสั้นๆ “เธอทำงานบ้านสะอาดดีนี่…”
พุทโธ! ธัมโม! สังโฆ ง่าวแต้ๆ สาวเมืองกรุง!
“ก็ดี ฉันจะเชื่อว่าเธอเป็นกะเหรี่ยงก็ได้ แต่อย่าให้ฉันรู้แล้วกันว่าเธอยุ่งแฟนฉันเข้าใจไหม…ว๊ายย!” คำพูดไม่น่าฟังของหญิงสาวตรงหน้าถูกทำให้เงียบ เมื่อคนตัวใหญ่ที่ยืนเฝ้าอยู่บริเวณประตูห้อง จ้ำเท้าเดินไหวใช้มือกระชากแขนเธออย่างแรง
“พอได้แล้วแอล” เธอชื่อแอลนั่นคือสิ่งที่ฉันรับรู้จากเสียงเรียกของอ้ายกอล์ฟ “ออกไปได้แล้ว ฉันอยากพักผ่อน”
“พักอะไรอ่ะกอล์ฟ เมื่อคืนกอล์ฟก็ไม่มาหาแอลตามสัญญา… โอ๊ยย กอล์ฟแอลเจ็บ!” ยิ่งเธอหวีดเสียงแสดงความเอาแต่ใจ อ้ายกอล์ฟก็ยิ่งใช้กำลังบีบบังคับดึงร่างเธอให้ออกไปจากห้อง
“พรุ่งนี้เจอกันที่ม.” แถมเขายังพูดตัดบททันทีที่สามารถลากเธอกลับไปที่ประตูห้องได้สำเร็จ
ตอนนี้ผู้หญิงซึ่งถูกเรียกว่า ‘แอล’ ไม่ได้มองฉันหรอก แต่เธอกำลังจดจ้องความสนใจไปที่อ้ายกอล์ฟ แต่ไม่ใช่กับผู้หญิงอีกคนซึ่งดูลักษณะนอบน้อมและอ่อนหวานกว่า เธอคลี่ยิ้มน่ารักส่งมาให้เมื่อเรามีโอกาสได้สบตากัน พานให้ต้องยิ้มรับไปแบบไม่ต้องสงสัย
ตึง!!
เสียงกรีดร้องตามประสาคนขี้เหวี่ยงและเสียงทุบประตูห้องดังรัวๆ อยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะเริ่มเงียบไปในที่สุด อ้ายกอล์ฟดูจะไม่สนใจผู้หญิงสองคนนั้นเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังรีบเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ครู่สั้นๆ เขาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมทั้งเหลือบมองฉันเหมือนรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้อง
“มองอะไรคะ?” พอถูกเขามองตรงๆ แบบนี้ ฉันเลยพลั้งปากถามออกไป
“อยากมองเมีย มองไม่ได้เหรอ?”
ฉันเบ้ปากเมื่อได้ยินคำพูดขี้โกงแบบนั้น รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เพราะไม่อยากฟังคำพูดเห็นแก่ตัวที่เขาจะสามารถเอามาใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา
“พริกเป็นแฟนอ้ายก็อตค่ะ” โดยไม่ลืมพูดปฏิเสธความสัมพันธ์ที่เขายัดเยียดมาให้ไปด้วย ทว่า...
“แล้วไง?” เขาดันหยุดทุกการเคลื่อนไหวของฉันด้วยคำพูดประโยคเสมือนไม่ยี่ระต่อสิ่งใด
ฟึ่บ!
ตึก! ตึก! ตึก!
ต่อให้ไม่ต้องหันไปมองฉันก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร เสียงฝีเท้าของเจ้าของห้องกำลังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่อยากจะหนีข้อต่อรองระหว่างเราแท้ๆ แต่เท้าดันไม่เป็นใจ ยืนหยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหวแม้ว่าอีกฝ่ายจะเดินเข้ามาใกล้ก็ตามที
“พริกเคยได้ยินประโยคนี้ป่ะ?” ฝ่ามือของอ้ายกอล์ฟแตะลงที่หัวไหล่ ตามมาด้วยแรงบังคับเล็กน้อยให้ฉันหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ อีกครั้ง สีหน้าของเขาตอนนี้ดูจริงจังเหมือนมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาเมื่อครู่เป็นอย่างมาก ด้วยท่าทางดังกล่าวมันก็เลยทำให้ฉันอดหวั่นวิตกกับสิ่งที่เขาพยายามจะพูดไม่ได้
“พริกเป็นแฟนไอ้ก็อตเรื่องนี้พี่รู้ แต่สำหรับพี่แล้วพริกน่ะ…” ใจสั่นมันสั่นเมื่อเขาเงียบลงในช่วงท้ายประโยค ถ้าให้เดาเขาคงจะพ่นคำพูดเห็นแก่พรรค์นั้นออกมาอีกแน่ๆ ทว่า สิ่งที่คนใจร้ายแสดงให้เห็นต่อสายตาตอนนี้ คือ ภาพของผู้ชายตัวสูงท่าทางเจ้าเล่ห์ที่ชอบใช้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นข้อผูกมัดและต่อรอง กำลังยื่นเต้นในท่าเวฟได้อย่างน่าไม่อาย โดยที่ปากของเขาได้ฮัมเพลงๆ หนึ่งออกมาด้วย
“Oh my เมีย~ Oh my เมีย เบเบ้~”
“อ้ายกอล์ฟ!” รู้ไหมฉันไม่รู้จะพูดอะไรตอบท่าทางดังกล่าวของเขากลับไปเลยสักนิด นอกจากชักสีหน้าแสดงความไม่พอใจให้กับท่าทางน่าหมั่นไส้ขัดจากรูปลักษณ์และนิสัยดังกล่าวเท่านั้น
“หนูทำงานเสร็จหมดแล้ว ขอตัวนะคะ!”
“เดี๋ยวดิเฮ้ย! ยังซักกางเกงในให้พี่ไม่เสร็จเลยนะ!”
หูน่ะได้ยิน แต่ฉันไม่ฟังคำรั้งแกมสั่งของเขาหรอก เท้าทั้งสองรีบพาตัวเองก้าวยาวๆ ตรงไปที่ประตูห้อง เพื่อพาตัวเองออกจากผู้ชายหลากหลายอารมณ์คนนี้สักที เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็ดูห่วงใย เดี๋ยวก็ก็ดูทะเล้น
แบบไหนที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเขากันแน่ ดูไม่ออกเลย…
นับตั้งแต่พาตัวเองกลับมาที่ห้องได้สำเร็จ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ฉันเผลอหลับไป ตื่นอีกทีก็เพราะเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือที่ดังไม่หยุด จนต้องสะดุ้งจากความฝันงัวเงียลุกขึ้นมากดรับสาย
“ฮัลโหล…”
[อะไรนี่น้องพริกนอนอยู่เหรอคะ?]
“อือ…”
[นี่มันจะสองทุ่มแล้วนะ ทำไมนอนยาวแบบนี้ล่ะ ตื่นไปล้างหน้าได้แล้ว เดี๋ยวก็ปวดหัวหรอก] ฉันปล่อยให้สมองว่างๆ ของตัวเองเริ่มประมวลเสียงของปลายสาย และพอรับรู้ได้ว่าเขาเป็นใครก็รีบดีดตัวผึงขึ้นจากที่นอนทันที ส่วนปากก็พูดออกไปเสียงดังฟังชัด
“หนูตื่นแล้ว!”
[คราวหน้าคราวหลังอย่านอนตอนเย็นๆ อีกนะ เดี๋ยวไม่สบาย] พอได้ฟังอ้ายก็อตพูดเตือนด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแบบนี้ มันก็อดยิ้มเล็กยิ้มน้อยไม่ได้
“เจ้า...ฮู้แล้ว แล้วนี่อ้ายก็อตยะหยังอยู่กา?”
[พี่เพิ่งจะออกมาจากหอพักพี่ชายน่ะ แวะเข้าไปเอาของมา]
หอพี่ชาย หรือว่าห้องอ้ายกอล์ฟ!?
“อะ อ๋อเหรอคะ…” ฉันแสร้งตอบรับส่งๆ รู้สึกลังเลกับความรู้สึกตัวเองซึ่งกำลังเกิดข้อสงสัย แต่ก็ไม่นานหรอกสุดท้ายฉันก็แพ้ต่อความอยากรู้ของตัวเอง จนต้องง้างปากถามออกไปเพื่อลองใจ “แล้วอ้ายก็อตได้อู้อะหยังกับปี้ชายบ้างหรือเปล่า?”
[หืม น้องพริกถามทำไมคะ?] พอโดนเขาย้อนฉันก็เลยแถ
“หนะ หนูถามตามมารยาทเฉยๆ เอง”
[ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่ก็แค่บอกไอ้กอล์ฟไปว่าวันจันทร์จะไปหาน้องพริกที่คณะ] คำตอบของเขาหลังจากฟังคำกลบเกลื่อนของฉัน ทำเอาใจเต้นตึกตักผิดจังหวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำถามประโยคท้าย [วันจันทร์พี่ไปหาพริกที่คณะได้ไหม?]
“ดะ ได้เจ้า!” แน่นอนว่าฉันเองก็รีบรับปากกลับไปแบบไม่ต้องคิด
ใครมันจะไปปฏิเสธกันล่ะ ในเมื่อการที่ฉันพยายามพาตัวเองมาเรียนที่กรุงเทพฯแบบนี้ มันก็เป็นเพราะว่าฉันอยากเจอเขานั่นแหละ
[ดีล่ะ งั้นเช้าวันจันทร์เรามาเจอกันที่หน้าตึกวิศวฯ นะคะ พี่จะรอ]
“อื้อ!” ยิ่งได้ยินคำเชิญชวนแบบนั้น ฉันก็ยิ่งเก็บรอยยิ้มของตัวเองไม่อยู่ไปใหญ่ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเหมือนกับว่าสิ่งที่รอคอยมาตลอด 4 ปี กำลังจะเป็นผล ฉันกำลังจะได้พบหน้าเขาแล้วจริงๆ…
คืนนั้นฉันนอนคุยกับอ้ายก็อตต่ออีกราวๆ เกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่เขาจะขอวางไปอาบน้ำ เพราะอีกฝ่ายสัญญาว่าจะโทรเข้ามาใหม่ก็เลยยอมวางสายก่อนเพราะไม่อยากกวนเวลาส่วนตัว
ฉันนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงของตัวเองฆ่าเวลาและอดคิดถึงเหตุการณ์ระหว่างเราที่จะเกิดขึ้นในวันจันทร์ไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น แถมยังรู้สึกมากกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะได้มาเรียนกรุงเทพฯ เสียอีก เพราะอยากให้ตัวเองมีสติมากกว่านี้ฉันจึงตัดสินใจลุกออกจากเตียงเดินตรงไปที่ระเบียงห้อง กระทำการเลื่อนเปิดบานประตูอย่างเงียบเชียบที่สุดโดยไม่ให้ผู้ชายนิสัยร้ายกาจข้างห้องรู้ตัว สายตาแอบชำเลืองมองแสงไฟห้องข้างๆ เพื่อดูลาดเลาไปพลางๆ
ห้องอ้ายกอล์ฟในตอนนี้ปิดไฟจนมืดสนิท เหมือนกับว่าเจ้าของห้องไม่อยู่หรือไม่ก็นอนไปแล้ว เมื่อทางสะดวกฉันก็เลยโผตัวเข้าใส่ราวกั้นระเบียง จับแน่นหมายจะสูดอากาศในช่วงหัวค่ำให้เต็มปอด ทว่า
แช็ก! แช็ก!
เสียงจุดไฟแช็กที่ดังแทรกความเงียบขึ้นมาดันหยุดทุกการเคลื่อนไหวของฉันลงได้อย่างเฉียบพลัน พานให้ต้องรีบตวัดหางตามองไปยังต้นเสียงอย่างนึกหวาดระแวง เพราะพื้นที่บริเวณระเบียงห้องข้างๆ มันมืด สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาฉันตอนนี้จึงมีเพียงจุดสีแดงวาบของเปลวไฟ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกนัยๆ ว่ามีใครอีกคนกำลังยืนอยู่
“แหม อารมณ์ดีจังเลยนะ… น่าอิจฉาจริงๆ” แถมคำพูดคำจาชวนหาเรื่องนั่นก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาเป็นใคร
โอเค! อาจเพราะฉันตาเซ่อเองก็เลยทำให้มองไม่เห็นเจ้าของห้องที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางความมืด เมื่อตอนแรกฉันไม่เห็นตอนนี้ฉันก็ขอเนียนต่อไปก็แล้วกัน
“พูดด้วยไม่พูดด้วย แถวนี้เรียกหยิ่งนะ”
ทั้งที่ฉันเลี่ยงที่จะเสวนาด้วยแท้ๆ แต่เขาก็ยังสามารถพูดจาหาเรื่องได้ไม่หยุด
“พริกไม่อยากอารมณ์เสีย อ้ายกอล์ฟอย่าหาเรื่องทะเลาะกับหนูได้ไหม?”
“นี่ชวนคุย ใครบอกชวนทะเลาะ” ก็ไอ้คำพูดยียวนกวนประสาทแบบนี้นี่แหละที่เขาเรียกว่าหาเรื่อง “ไปทำอะไรมาอารมณ์ดี? หรือเป็นเพราะพี่เต้น Ma เมียให้ดู?”
“อย่ามาพูดบ้าๆ นะ!” ฉันขัดเสียงแข็งแต่คราวนี้ฉันหันขวับมองเขาด้วยไปด้วย
“ไม่ใช่แล้วอะไรอ่ะ?” ส่วนอ้ายกอล์ฟที่ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นไม่เสียหมดก็ยังไม่หยุดต่อปากต่อคำ
อะไรกัน! เขาเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงล่ะ?
“ไม่ต้องรู้หรอกค่ะ” แม้จะแอบคิดว่าเขาน่าจะรู้อยู่แล้ว แต่ปากก็ยังพูดเฉไฉทำเป็นกั๊ก
“เรื่องที่จะได้เจอกับไอ้ก็อตวันจันทร์ทำให้อารมณ์ดีขนาดนั้นเชียว?” เห็นไหมล่ะ สุดท้ายเขาก็ต้องคายสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมา
“มันก็เรื่องของหนู อ้ายกอล์ฟไม่เกี่ยว”
“เกี่ยวสิ…” เขาแทรกเสียงเพียงสั้นๆ ก่อนเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสริมออกมา “ก็ในเมื่อพริกเป็นของพี่ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับพริก พี่ถือว่าพี่เกี่ยวหมดนั่นแหละ”
“อย่ามาโมเมเน้อ!”
“โมเมที่ไหน?” ต่อให้พยายามต่อว่าเขายังไง สุดท้ายเขาก็พูดจาดที่ดูเหนือกว่าออกมาได้อยู่ดี “ไม่รู้เหรอว่าพี่อ่ะเป็นคนขี้หึงมาก แล้วพี่ก็โคตรไม่ชอบที่ต้องเห็นเมียนัดเจอกับผู้ชายคนอื่น…”
“…”
“โดยเฉพาะกับผู้ชายที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของพี่เอง” ฉันยังคงนิ่ง เงียบ ไม่พูดตอบโต้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดจาเอาแต่ใจไม่หยุด ต่อให้ไม่พูด สุดท้ายพี่กอล์ฟก็ยังเป็นฝ่ายพูดออกมาเองอยู่ดี
“พี่ไม่ให้พริกไปเจอมัน ได้ยินชัดนะ” เขาคงระดับเสียงของตัวเองไว้ รวมไปถึงท่าทางที่ดูสบายๆ ขณะพ่นควันสีขี้เถ้าให้ลอยฟุ้งไปในอากาศ แถมยังกล่าวเสริมแกมขู่ “พูดครั้งเดียว หวังว่าจะเข้าใจ…”
“แต่พริกนัดกับอ้ายก็อตไว้แล้ว…” ดื้อ คำนี้คงเหมาะกับฉันจริงๆ เพราะไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดหรือบีบบังคับให้ฉันทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบได้ ต่อให้คนตรงหน้าจะสามารถใช้เรื่องผิดพลาดระหว่างเราเป็นข้อต่อรองหรือแม้ว่าเขาจะหน้าตาเหมือนคนรักของฉันก็ตาม
จากมุมมืดของระเบียงข้างห้อง ฉันมองไม่ค่อยถนัดนักหรอกว่าพี่กอล์ฟจะทำสีหน้าอย่างไร ระหว่างเราตอนนี้มีแค่ความเงียบ และการที่เขาเงียบมันก็ทำให้ฉันใจเต้นได้อย่างน่าแปลก เหมือนกับฉันกำลังลุ้นสิ่งที่จะหลุดออกมาจากปากเขานั่นแหละ ทว่า
Rrrrr
มันกลับไม่เป็นแบบนั้น เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน แสงไฟของหน้าจอที่สว่างขึ้นขณะถูกมือหนาหยิบขึ้นมาดูเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอ ทำฉันสามารถเห็นสีหน้านิ่งๆ ขณะปากคาบบุหรี่ของอ้ายกอล์ฟได้ชัดเจน แต่ก็แค่ครู่เดียว
“ว่าไงพี่ซี…อืม…ผมอยู่ที่ห้อง แล้วพี่ล่ะ….ว่างไหมผมมีเรื่องอยากคุยด้วยพอดี” สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตอบโต้ฉันกลับมา แต่เลือกสนใจคนที่โทรเข้ามาในช่วงเวลาขณะนั้นมากกว่า
ไม่ใช่แค่ไม่สนใจแต่อ้ายกอล์ฟยังรีบดับบุหรี่หันหลังเดินกลับเข้าห้องด้วยความรีบร้อน ราวกับว่าคนที่โทรมาสำคัญอะไรนักหนา ฉันจับใจความที่เขาคุยไม่ค่อยนัดนัก แต่ที่ได้ยินชัดในตอนนั้นมีเพียงชื่อวลีสั้นๆ ที่อ้ายกอล์ฟใช้เรียกปลายสาย
‘ซี’ เขาคือใครกันนะ คนสำคัญของอ้ายกอล์ฟงั้นเหรอ…