มินตราก้าวเข้าไปในบริษัทใหญ่โตของเฮียด้วยความหวังเต็มเปี่ยม และกลับออกมาด้วยหัวใจที่แห้งเหี่ยวเหลือเกิน เฮียไม่อยู่ เฮียไปดูงานต่างประเทศสองอาทิตย์ เธอขอเบอร์เฮียจากประชาสัมพันธ์ แต่เจ้าตัวปฏิเสธขันแข็งว่าไม่มีเบอร์ส่วนตัว เธอเข้าใจนั่นแหละ พนักงานธรรมดาจะมีเบอร์ส่วนตัวของผู้บริหารได้อย่างไร และถึงจะมี เธอก็มั่นใจว่าเจ้าหล่อนคงไม่ให้เบอร์กับเธอง่ายๆ อย่างแน่นอน
ดับวูบแล้ว ความหวังพังทลาย เธอก้าวออกมาจากบริษัทของเฮียพร้อมใจที่แตกสลาย และไม่รู้ว่านั่งรถเมล์มาถึงตรงนี้ได้อย่างไร บางทีใจมันคงเพรียกหา เธอนั่งอยู่ป้ายรถเมล์ตรงข้ามกับคอนโดฯ ของเตชิณฯ เฝ้ามองตึกที่เธอเดินเข้าออกมาตลอดสองปี ภาพที่เธอลงมาใส่บาตรทุกวันพระยังจำได้ติดตา ทำไมนะ ทำไมเทวดาไม่ช่วยเธอบ้าง เธอก็ทำบุญทำทานไม่ขาด แต่เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“ไปกันเถอะ ตัวเล็กของแม่ เราคง...ไม่มีวาสนาได้เจอกันแล้ว เอาไว้ ชาติหน้าค่อยเกิดมาเป็นลูกแม่นะคะคนเก่ง”
เธอพึมพำกับตัวเอง แสงตะวันยามใกล้ค่ำสาดส่องมา ผู้คนเดินขวักไขว่ รถรามากมายแล่นผ่านเธอไป เธอเหมือนจุดเล็กๆ บนโลกแสนกว้างใหญ่ แต่รู้ไหม เหมือนไม่มีพื้นที่ใดเป็นของเธอ
มินตราลุกจากป้ายรถเมล์ ไม่ใช่รถที่จะพาเธอกลับบ้าน แต่เป็นรถเมล์สายที่จะไปจอดหน้าโรงพยาบาล
และเพียงมินตราก้าวขึ้นรถเมล์ไป แท็กซี่คันหนึ่งก็แล่นมาจอดที่หน้าคอนโดฯ ผู้ชายร่างสูงที่มินตรารู้จักดี ก้าวลงมาแล้ววิ่งเข้าไปในนั้น ริมฝีปากของเตชิณสั่นระริก ใจเขาเต้นระส่ำ รีบขึ้นลิฟต์ไปที่ห้อง กดรหัสผ่านเข้าไป เพื่อจะพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีแม้ร่างเงาของมินตรา
เตชิณยืนเคว้งอยู่กลางห้อง ในมือมีแหวนของมินตรา เขากำมันไว้แน่น มันอึ้งจนพูดไม่ออก ไม่จริง เขาไม่เชื่อเด็ดขาด มินตราไม่ใช่ผู้หญิงเห็นแก่เงินขนาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เต! ลูก?” นวลฉวีแทบจะวิ่งตามลูกชายมา ในใจร้อนรนจนแทบบ้า เร่งหาคำแก้ต่างที่เข้าท่าที่สุดในเวลานี้
“แม่ทำอะไรเธอกันแน่ เธอไม่ใช่คนแบบนั้น”
“แม่พูดความจริง เตจำอะไรไม่ได้ และเธอพร้อมจะไป เธอคงมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน และเธอคงจะรู้สึกผิดจนต้องตัดขาดลูกทุกทาง” นวลฉวีมั่นใจว่าตัวเองพูดความจริงทุกคำ
“ไม่จริง ถ้าเป็นอย่างที่แม่พูด ทำไมแม่กับไอ้โตต้องปิดบังผมด้วย”
“เพราะลูกจะเป็นแบบนี้ไง ลูกกลับมาเมืองไทยทันทีที่จำได้ ไม่สนด้วยซ้ำว่าลูกทำอะไรอยู่ที่โน่น ลูกใจร้อนและไม่ฟังอะไรทั้งนั้น แม่กับโตมรห่วงลูกมากนะเต”
เสียงสั่นๆ ของมารดาทำให้เตชิณไม่อยากคิดว่าท่านโป้ปด แต่มันก็เชื่อได้ยากเช่นกันในเมื่อตอนนี้มินตราไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว หล่อนตัดขาดเขาทุกทางเลย
“แม่เปลี่ยนโทรศัพท์ผม” เขาท้วงถึงสิ่งที่เป็นความจริง
“เพราะแม่รู้ว่าเตต้องโทรหาเธอ ลูกจะโทรหาคนที่เขาหมดใจแล้วไปทำไมล่ะ แม่ไม่อยากเห็นลูกเป็นคนน่าสมเพช เธอเลือกแล้ว และเธอไม่ได้เลือกลูกเลย”
“ไม่จริง แม่โกหก!”
เตชิณน้ำตาซึม เขาไม่ได้ความจำเสื่อมตลอดไปเสียหน่อย ทำไมหล่อนถึงถอดใจกับเขาเร็วนัก ไม่รักกันบ้างเหรอ
“เต...ผู้หญิงที่พร้อมจะไปทันทีที่ลูกลำบาก ลูกแน่ใจเหรอว่าเธอดีพอ ในเมื่อการเจ็บป่วยของลูก ช่วยคัดคนออกไปจากชีวิต มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
เตชิณเงียบไปเมื่อได้ฟัง เขาไม่อยากคล้อยตามมารดา แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง มันมืดแปดด้านไปหมด
“เชื่อใจแม่นะเต ใจเย็นๆ ก่อน กลับอังกฤษไปกับแม่นะ อีกสองวันลูกมีสัมภาษณ์ไม่ใช่เหรอ ปริญญาอีกใบที่ลูกตั้งใจไปเรียนน่ะ ลูกจะทิ้งมันง่ายๆ เพราะคนที่ทิ้งลูกไปเหรอเต” นวลฉวีเอาเรื่องเรียนมาอ้าง มหาวิทยาลัยที่ลูกยื่นไปสมัครไป มันเข้ายากมาก และเตชิณก็สอบผ่าน เหลือแค่สอบสัมภาษณ์เท่านั้น
เตชิณมองห้องที่เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาว ภาพสุดท้ายที่มินตราโผกอดเขา เขายังจำได้ติดตา
“เธอไม่ใช่คนเห็นแก่เงินขนาดนั้น มันเชื่อยากมากแม่รู้ไหม”
“ลูกจะบอกว่าสลิปโอนเงินเป็นของปลอมหรือไง เธอทิ้งลูกไปแล้วเต เลิกคิดถึงผู้หญิงใจร้ายคนนั้นได้แล้ว!”
ยิ่งมารดาพูดอย่างนั้น มือที่กำกล่องแหวนก็ยิ่งกำแน่นกว่าเดิม
“ลูกจะไม่เชื่อแม่ใช่ไหม”
“ผมไม่เชื่อใครทั้งนั้น จนกว่าจะได้ยินจากปากมิน”
“โธ่เอ๊ย....”
“อย่าคิดเอาใครมาแทนที่เธอด้วย ไม่ว่าใครก็ตามที่แม่อยากได้เป็นสะใภ้ แม่ล้มเลิกความคิดไปได้เลย จากวันนี้ไป ถ้าผมหามินไม่เจอ เราก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องแต่งงานอีก ผมจะโสดจนตาย”
“เตชิณ!”
“ไม่ได้ล้อเล่นนะ ผมพูดจริง แม่รอดูได้เลย!”
นั่นคือคำที่ลูกประกาศออกมา แต่นวลฉวีไม่หนักใจหรอก คนอย่างเตชิณที่รักสนุก และเที่ยวผับเที่ยวบาร์บ่อยๆ ไม่มีทางที่เขาจะหยุดอยู่ที่มินตราได้ ต้องมีผู้หญิงสักคนสิ ที่ถูกใจเขา และบางที การที่หนูรดาจะกลับไปเรียนต่อที่อังกฤษเหมือนกัน บางทีอาจมีช่วงเวลาที่ทั้งสองจะได้เรียนรู้กันก็ได้ นางยังไม่ถอดใจแน่ๆ ลูกชายอายุแค่นี้จะถอดใจได้ยังไง ส่วนมินตราน่ะ เด็กคนนั้นหายไปจากชีวิตของเตชิณแล้ว นางจะไม่มีวันให้เจ้าตัวกลับมาอีก ไม่มีวัน!