4

3968 คำ
วาจะไม่มีทางกลับไปแน่ ถ้าคุณไฟเขาไม่ยกเรื่องพี่ว่านขึ้นมาขู่…                 หลังจากวันนั้น… เราก็กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง แน่นอนบรรยากาศระหว่างเราเป็นไปด้วยความอึดอัด จากที่ไม่ค่อยได้พูดจากันอยู่แล้ว พอมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจนี้เข้ามาเพิ่มอีก นั่นก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม                 ไม่มีการพูดถึงเรื่องนั้นและไม่มีใครรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก เราต่างปฏิบัติตัวต่อกันราวกับไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน เหลือไว้แค่รอยร้าวและความรู้สึกที่ยังค้างคาอยู่เท่านั้นและถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่รอยร้าวที่ว่าก็ยังติดอยู่ในใจวาเสมอและคุณไฟเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน                 ช่วงหลังมานี้วาริชต้องตื่นเช้าอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากคุณไฟอยู่ในช่วงถ่ายละคร งานถ่ายแบบ ออกรายการและอีเวนต์ต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องรองไปก่อน เพราะเวลาที่คุณไฟรับงานแสดง อีกฝ่ายก็มักจะให้ละครเป็นความสำคัญอันดับแรกเสมอ                 “แยกกันตรงนี้ก็ได้นะ เพราะเดี๋ยวฉันจะไปกินข้าวกับพิม” หลังได้เวลาเลิกกองถ่ายแล้ว ขณะที่กำลังเก็บของเตรียมจะเดินไปที่รถด้วยกัน คุณไฟก็หันมาพูดกับวาด้วยเสียงปกติ                  “ได้ครับ” ไม่มีการโวยวายเกิดขึ้น ทันทีที่คุณไฟเอ่ยเช่นนั้น วาริชก็รับคำอย่างว่าง่าย ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากวันนี้เราถ่ายงานกันในกรุงเทพ วาสามารถเดินทางกลับห้องพักเองได้ เขาจึงไม่มีปัญหา หากคุณไฟคิดจะปล่อยให้เขากลับเอง                 หลังเราตกลงกันได้แล้ว คุณไฟก็รีบขึ้นรถและขับรถออกจากกองถ่ายทันที ส่วนวาริชก็อยู่เก็บข้าวของช่วยพี่ทีมงานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับบ้าง เนื่องจากวาเองก็อยากพักผ่อนแล้ว                 “จะกลับแล้วเหรอ” ขณะที่วาเตรียมจะเดินออกไปเรียกแท็กซี่ พี่ไทระก็เดินเข้ามาหาเสียก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็มาพร้อมกับรอยยิ้มอย่างในทุกครั้ง                 นับตั้งแต่วันที่ทำความรู้จักกันในครั้งนั้น เราก็ได้มีโอกาสพูดคุยกันอยู่เรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะพี่ไทระเป็นคนอัธยาศัยดี  อีกฝ่ายเป็นคนยิ้มเก่งและมักจะเอาขนมฝีมือพี่สาวมาฝากอยู่บ่อย ๆ ทำให้ความสนิทของเราจึงถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว                 “ใช่ครับ วาอยากกลับไปนอนแล้ว” วาริชตอบพร้อมส่งยิ้มให้อีกคน                 “พี่ก็กำลังจะกลับพอดี งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งแล้วกันนะ”                 “จะดีเหรอครับ” วาริชเอ่ยถามน้ำเสียงลำบากใจ ยิ่งพี่ไทระใจดี หยิบยื่นน้ำใจมาให้เขามากเท่าไร วาก็ยิ่งเกรงใจอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น เพราะแค่อีกฝ่ายเอาขนมมาให้ลองชิมเกือบทุกวัน เขาก็เกรงใจแทบแย่แล้ว                 “วาเกรงใจครับ เดี๋ยวกลับเองดีกว่า” ในที่สุดวาริชก็ตัดสินใจปฏิเสธความหวังดีของอีกคน เพราะเขาไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายมากกว่านี้                 “ไม่เอา เดี๋ยวพี่ไปส่ง”                 “เสียเวลาเปล่า ๆ ครับ ช่วงเวลานี้คนเพิ่งเลิกงานด้วย รถคงติดแน่” วาอ้าง                 “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ พี่แวะไปส่งเราแป๊บเดียว มันจะเสียเวลาเท่าไรกัน”                 “….”                 “ถ้าวาปฏิเสธพี่อีกรอบ… พี่จะเสียใจมากนะ” หลังพี่ไทระเห็นว่าวานิ่งไป อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยสายตาที่ดูเว้าวอน จนทำให้วารู้สึกว่าเขาจะต้องเป็นคนใจร้ายมากแน่ หากคิดจะปฏิเสธอีกฝ่ายซ้ำสอง                 “ถ้างั้นก็….รบกวนด้วยนะครับ”                 “ด้วยความยินดีครับ!” ทันทีที่วาเอ่ยเช่นนั้น ท่าทางของพี่ไทระก็ถูกเปลี่ยนไปทันตาเห็น ทำเอาเขาเห็นแล้วก็อดส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้                 นอกจากคุณไฟ… วาริชก็ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะได้มีโอกาสนั่งรถดาราท่านอื่นด้วย ความรู้สึกแรกตอนที่ได้นั่งอยู่บนรถคันเดียวกันกับพี่ไทระ นั่นคือความเกร็ง มันไม่เหมือนกับตอนที่วาต้องนั่งคู่กับคุณไฟเลยแม้แต่นิด บรรยากาศแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งวาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร                 หลังจากวันที่พี่ไทระได้เข้ามาทำความรู้จักวาในครั้งนั้น ทันทีที่กลับถึงห้อง วาก็เปิดดูประวัติส่วนตัวของอีกคนจากเว็บบอร์ดต่าง ๆ ทันที ซึ่งเขาก็เพิ่งทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว พี่ไทระเองก็อยู่ในอุตสาหกรรมวงการบันเทิงมาหลายปี                 อีกฝ่ายเคยเป็นนายแบบมาก่อน ได้มีโอกาสไปทำงานเป็นนายแบบที่ต่างประเทศตั้งหลายปีด้วย ไม่ได้เพิ่งเข้าวงการมาอย่างที่วาเคยเข้าใจ แต่ที่เขาไม่เคยเห็นหน้าพี่ไทระมาก่อน นั่นก็เป็นเพราอีกฝ่ายเพิ่งลองผันตัวมมาเป็นนักแสดง ได้เพียงไม่นานเท่านั้น                 “อย่าลืมคาดเข็มขัดด้วยนะ” พี่ไทระเอ่ยเตือน หลังเราขึ้นมานั่งบนรถกันทั้งคู่แล้วซึ่งรถของพี่ไทระเป็นรถAudi รุ่น TTS Sport Coupe Quattro ซึ่งถ้าจำไม่ผิด…คุณไฟเจ้านายของวาก็มีรถยี่ห้อนี้เหมือนกัน แต่ของอีกฝ่ายเป็นคนละรุ่นกัน                 “นั่งไม่สบายเหรอ” ระหว่างที่กำลังเคลื่อนรถเตรียมจะออกจากกองถ่าย พี่ไทระก็เอ่ยถามขึ้น                 “ครับ?”                 “เหมือนเราเกร็ง ๆ นะ เบาะรถพี่มันนั่งไม่สบายหรือเปล่า”                 “อ๋อ… เปล่าหรอกครับ มันเป็นที่วาเอง ไม่ใช่เพราะรถหรอก”                 “ไม่ชิน?”                 “ก็ประมาณนั้นครับ วาทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไร ปกติ…เวลามากองถ่ายหรือไปทำงานกับคุณไฟ เรามักจะใช้เป็นรถตู้มากกว่า” วาอธิบายให้อีกคนฟัง ซึ่งหลังจากฟังจบพี่ไทระก็แค่พยักหน้ารับเท่านั้น อีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรต่อ                 และแล้วทุกอย่างก็เป็นอย่างที่วาคาดการณ์ไว้ หลังเราขับรถออกจากกองถ่ายมาได้ไม่เท่าไร เราก็มาติดอยู่กลางสี่แยกม.เกษตร ยิ่งช่วงนี้ผู้คนเพิ่งจะเลิกงานด้วย ทำให้กว่าเราจะได้เคลื่อนรถแต่ะละครั้ง ทำเอาวาถึงกับลุ้นแล้วลุ้นอีก                 “รถติดหนักเลย ขอโทษด้วยนะครับ…พี่ไทระต้องมาเสียเวลาโดยใช่เหตุ” วาเอ่ยบอกคนข้างกาย เมื่อเขารู้สึกไม่ดีเล็กน้อยที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมาเสียเวลาด้วย                 “จะขอโทษทำไม พี่เสนอตัวเอง…แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” พี่ไทระว่า พลางยื่นมือมายีผมวาเบา ๆ                 “….”                 “…สงสัยเมื่อกลางวัน พี่กินข้าวน้อยแน่เลย ถึงได้มาหิวเอาตอนนี้” ระหว่างที่เรากำลังรอให้รถได้เคลื่อนตัวอีกครั้ง พี่ไทระก็พูดขึ้น แต่คล้ายจะบ่นกับตัวเองเสียมากกว่า                 “งั้น….ถ้าพี่ไทระไม่มีธุระไปที่ไหนต่อ เราไปกินข้าวกันไหมครับ เดี๋ยววาเลี้ยงเอง” หลังนั่งคิดอยู่นาน ในที่สุดวาริชก็ตัดสินใจเอ่ยปากชวนอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็เริ่มหิวข้าวแล้วเหมือนกัน                 “หืม? เราจะเลี้ยงข้าวพี่เลยเหรอ”                 “ใช่ครับ ถือซะว่าตอบแทนที่วันนี้พี่ไทระอุตส่าห์เอาขนมมาฝาก แล้วไหนจะเป็นธุระไปส่งกันอีก”                 “แต่เรื่องแค่นี้เองนะ”                 “ครับ วาอยากเลี้ยงข้าว…จะได้ไหมครับ?” วาริเอ่ยชถามคนข้างกาย                 “โอ้โห,..วาพูดงี้ทั้งที ใครจะกล้าปฏิเสธลง”                 “…”                 “ถ้าวาจะเลี้ยง งั้นพี่เอาร้านแพงสุด ๆ เลยดีไหมเนี่ย จะได้คุ้ม” พี่ไทระพูดต่อ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหน้ามา เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่งและพี่ไทระก็ระเบิดหัวเราะออกมา                 “พี่ล้อเล่น นี่ถูกแกล้งยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ”                 “อ้าว…วาก็นึกพี่ไทระพูดจริงซะอีก กำลังนึกอยู่เชียวว่าแพงที่พี่ไทระว่า มันแพงแค่ไหนกันนะ”                 “เอาจริง ๆ วาไม่ต้องเลี้ยงพี่หรอก เพราะพี่ก็เกรงใจเหมือนกัน”                 “แต่วาเลี้ยงข้าวได้นะครับ”                 “…..”                 “เลี้ยงได้จริง ๆ” เขาย้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่น                 “สรุปจะเลี้ยงข้าวพี่ให้ได้ใช่ไหม?” พี่ไทระถามให้แน่ใจอีกครั้ง                 “ใช่ครับ”                 “โอเค งั้นพี่ขอคิดร้านแป๊บหนึ่ง ว่าแต่แถวห้องพักวา มีร้านอาหารอะไรอร่อย ๆ ไหมล่ะ”                 ตอนแรกเราตกลงกันว่าจะหาร้านอาหารอร่อย ๆ แถวที่วาพักอยู่ แต่ทว่าแถวนั้นกลับไม่ค่อยมีร้านอาหารแบบที่ให้นั่งกินเท่าไรนัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเสียมากกว่า ส่วนร้านอาหารอื่น ๆ ก็มักจะเป็นอาหารแบบตักขายเป็นถุง เหมาะสำหรับการซื้อไปกินที่ห้อง นั่นจึงทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนใหม่                 “งั้น…เราไปกินข้าวที่ห้างกันไหมครับ” หลังเรายังไม่ได้ร้านสักที วาริชก็เสนอความคิดขึ้น ก่อนจะรีบเอ่ยอีกครั้ง เมื่อเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่ไทระทำอาชีพอะไรอยู่ซึ่งมันคงไม่ดีเท่าไร หากเขาจะชวนไปอีกฝ่ายไปสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน                 “ขอโทษครับ ผมก็ลืมไป งั้นเราหาร้านอาหารแถวนี้กินดีกว่าครับ ไม่ต้องไปห้างหรอก คนพลุกพล่านเดี๋ยวพี่ไทระจะอึดอัดเอา”                 “พี่ชินแล้วล่ะ ถ้างั้นเราไปห้างกันเถอะ” พี่ไทระสรุปเสร็จสรรพและเราก็เปลี่ยนจุดมุ่งหมายไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ห้องพักวาแทน                   ส่วนใหญ่เวลามาห้างสรรพสินค้า วาก็มักจะมาเพื่อซื้อของเข้าห้องให้คุณไฟเท่านั้น ซึ่งถ้าเขาไม่มากับพี่ว่าน วาก็จะมาเพียงลำพังและไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะได้มาห้างกับคุณไฟ เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายมีงานอีเวนต์ที่ห้าง                 “เป็นอะไร” คงเพราะวากำลังขมวดคิ้วอยู่ นั่นจึงทำให้พี่ไทระเอ่ยถามขึ้น ขณะที่เรากำลังขึ้นบันไดเลื่อนเตรียมไปยังชั้นอาหารกัน                 “ไม่ชินเลยครับ สายตาของผู้คนน่ะ” วาตอบตามตรง แม้เขาจะทำงานกับคุณไฟมาหลายเดือนแล้วก็จริง แต่วาก็ไม่เคยชินกับสายตาผู้คนเลยสักครั้ง มันทำให้เขารู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก                 “พี่ไทระชินแล้วเหรอครับ” เขาถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย                 “อือ ชินแล้วล่ะ แต่แปลกนะ…วาทำงานคลุกคลีกับคุณไฟมาตั้งหลายเดือน ทำไมถึงยังไม่ชินกับสายตาผู้คนล่ะ” พี่ไทระถามกลับอย่างสงสัย                 “อ๋อ คือวาไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับคุณไฟหรอกครับ ส่วนใหญ่เวลามาซื้อของเข้าคอนโดให้คุณไฟ วาก็มักจะมาคนเดียว คุณเขาจะมาห้างเฉพาะมีงานอีเวนต์เท่านั้นครับ” วาให้คำตอบ                   การเลือกร้านอาหารของเราเป็นไปอย่างง่ายดาย เราใช้เวลาเลือกร้านอาหารเพียงไม่นาน ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าร้านอาหารปกติกึ่งเพื่อสุขภาพกัน ซึ่งพี่ไทระสั่งเป็นปลาแซลมอนนึ่งมะนาวกับข้าวผัดคีนัว ส่วนวาก็สั่งเป็นข้าวซอยน่องไก่                 “จะเป็นไรไหม ถ้าพี่จะขอถ่ายรูปด้วย”หลังเรากินข้าวกันเสร็จ พี่ไทระก็เอ่ยขึ้น                 “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ วาไม่ใช่ดารานะ” ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน วาริชก็ให้คำตอบอีกฝ่ายทันที เขาฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้พี่ไทระเพื่อที่เราจะได้ถ่ายรูปร่วมกัน                 “แล้วไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าพี่จะเอาลงอินสตาแกรม” อีกฝ่ายถามขึ้นอีกครั้ง หลังได้เช็กรูปภาพของเราแล้ว                 “ด้วยความยินดีครับ”                 “แล้วไอจีเราชื่ออะไร พี่จะได้แท็กหา”                 “อ๋อ…วาไม่มีหรอกครับ พอดีไม่ได้เล่น” เขาให้คำตอบพี่ไทระ ก่อนจะส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้                 ทุกวันนี้นอกจากไลน์และทวิตเตอร์ วาริชก็ไม่ได้เล่นอะไรอีกเลย ไลน์มีไว้เพื่อติดต่องานเท่านั้น ส่วนทวิตเตอร์ก็มีไว้เพื่อตามข่าวสาร เช็กกระแสของคุณไฟและสิ่งเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวในแต่ละวัน แต่ก่อนวาเคยลองเล่นโซเชียลอื่นดูเหมือนกัน แต่เขาก็พบว่ามันไม่ใช่ทางเท่าไรนัก ในที่สุดงาก็เลยหยุดเล่นไปและปัจจุบันก็เหลือแค่เท่านี้                 “จริงเหรอ” พี่ไทระถามราวกับไม่อยากจะเชื่อ                 “ใช่ครับ อินสตาแกรมวาก็เคยลองเล่นนะครับ แต่ไม่รู้จะลงอะไร สุดท้ายก็เลยเลิกเล่นไป”                 “แย่เลยดิ พี่อยากแท็กรูปไปหานะ เราไม่คิดจะลองกลับมาเล่นดูบ้างเหรอ”                 “ฮ่า ๆ จะเก็บเอาไว้คิดแล้วกันนะครับ”                   “มีอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงของพิม ณิชาดังขึ้น หลังเธอกำลังเท้าคางมองคนรักที่กำลังมองหน้าจอโทรศัพท์อยู่นานนับนาที                 สายตาที่ดูเย็นชาของคนข้างกาย ไหนจะอาการชะงักค้าง หลังเห็นอะไรบางอย่าง ทำเอาเธออดสงสัยไม่ได้ว่าแฟนหนุ่มของเธอเป็นอะไรไป…                 “นี่รูปน้องวากับคุณไทระนี่ สองคนนี้ไปรู้จักกันตอนไหนเหรอคะ” เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากคนรัก พิมก็ตัดสินใจชะโงกหน้าไปดูหน้าจออย่างถือวิสาสะ ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างสงสัย หลังเธอเห็นรูปภาพน้องวา ผู้ช่วยผู้จัดการที่เธอรู้จักเป็นอย่างดีมีรูปคู่กับคุณไทระ นายแบบที่เพิ่งผันตัวมาเป็นนักแสดง แถมรูปที่ว่าคุณไทระก็เป็นคนลงเองเสียด้วย                 “ในกองถ่าย” อัคนีให้คำตอบเพียงสั้น ๆ และไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม                 “อ๋อ เรื่องที่ไฟเล่นร่วมกับคุณไทระใช่ไหมคะ” เธอถาม ก่อนจะเอ่ยต่อ “เฮ้อ…เห็นรูปแล้ว พิมก็คิดถึงน้องวาเลยอะเพราะพิมไม่ได้เจอหน้าน้องนานมากกกก”                 “อย่าไปคิดถึงเลย…เด็กนิสัยไม่ดีคนนั้นน่ะ”                 “คะ? นี่ไฟทะเลาะกับน้องเหรอ”                 “…..”                 “เฮ้อ…ไฟคะ อย่าทำตัวใจร้อนเหมือนอย่างชื่อสิ น้องวาก็ตัวแค่นั้น ใจร้ายกับเขาอยู่ได้” พอรู้สาเหตุว่าทำไมวาริชถึงไม่อยู่ข้างกายคนรักเธอเหมือนอย่างทุกครั้ง พิม ณิชาก็ถึงกับถอนหายใจออกมาทันที                 “น้องรักคุณก็ใช่ย่อย อย่าทำเหมือนผมเป็นคนใจร้ายไปหน่อยเลย”                 “แต่พิมรู้ไงคะว่านิสัยไฟเป็นยังไงและน้องวาเป็นยังไง คุณรู้ไหม…ว่าทั้งตัวคุณและน้อง ต่างทำตัวเหมือนอย่างชื่อเลย”                 “คนหนึ่งก็เย็นเหมือนน้ำ ส่วนอีกคนก็อารมณ์ร้อนเหมือนไฟ”                 “…..”                 “ทางที่ดี พิมว่าคุยกันดี ๆ เถอะค่ะ คุณกับน้องวาก็ต้องทำงานด้วยกันอีกนาน…อย่างน้อยก็ระหว่างที่รอให้คุณว่านกลับมา”                 “…..”                 “พิมเชื่อนะคะว่าความสัมพันธ์ของคุณกับน้องวา มันดีได้มากกว่านี้”                 “จริง ๆ แบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว”                   พิม ณิชากลับไปแล้ว แต่อัคนียังคงนั่งอยู่ที่เดิมในห้องของเขา ดวงตาคมมองไปข้างหน้าอย่างใช้ความคิดและมือข้างหนึ่งก็จับแก้วแอลกอฮอล์เอาไว้ไม่ห่าง                 โดยปกติอัคนีมักจะดื่มเฉพาะเวลาที่มีงานสังสรรค์หรือไม่ก็ตอนที่เพื่อนมาจัดปาร์ตี้ที่ห้องเท่านั้น น้อยครั้งนักที่เขาจะนั่งจิบแอลกอฮอล์เพียงลำพังเช่นนี้ เนื่องจากเขาเป็นคนไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดื่มมากไปก็ทำให้ผิวเสีย นั่นจึงทำให้อัคนีพยายามกินมันให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้                 ความหนักใจถูกแสดงออกเป็นการถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ดวงตาคมสีเข้มกำลังคิดอะไรอยู่แม้แต่พิม ณิชาแฟนสาวที่คบหากันมานานหลายปีก็ยังเดาไม่เคยออก มีแค่ไฟเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร…และเขาก็ไม่เคยคิดจะพูดความต้องการของตัวเองออกไปให้ใครรับรู้                 เมื่อมีคำตอบในใจและรู้แล้วว่าในเวลานี้เขาต้องการอะไร อัคนีก็ไม่รอช้า สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง หลังเขาเพิ่งใช้มันเปิดดูรูปของไทระกับวาริชไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง                 อัคนีไล่หาเบอร์ที่ต้องการจะติดต่ออยู่ครู่หนึ่งและเมื่อเจอเบอร์ที่ต้องการแล้ว เขาก็นั่งจ้องหมายเลขโทรศัพท์นั้นอย่างใช้ความคิด                 เขาจ้องหน้าจอสมาร์ทโฟนนานนับนาที หลังพิจารณาและคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว อัคนีก็ตัดสินใจกดโทรหาผู้ช่วยผู้จัดการอย่างวาริชทันที โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงว่าตอนนี้มันเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว                 [คุณไฟ นี่มันไม่ใช่เวลางานของผม!] ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากอะไร เสียงแว้ด ๆ ก็ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ทันควัน                   “คุณไฟ นี่มันไม่ใช่เวลางานของผม!” เมื่อกดรับสายเสร็จ วาริชก็รีบพ่นไฟใส่คุณเขาก่อนทันที หลังเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก เพราะสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลาของอีกฝ่าย!                 [อา…นั่นสินะ] จังหวะที่อ้าปากเตรียมจะต่อว่าซ้ำ วาก็ต้องชะงักค้าง เมื่อคำตอบที่ได้รับจากคุณไฟ มันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้                 เพราะตั้งรับกับคุณไฟในรูปแบบนี้ไม่ถูก วาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี เพราะโดยปกติเวลาที่คุณไฟต้องการจะใช้หรือเรียกให้ไปหา ต่อให้วาจะกำลังติดธุระอยู่ เขาก็ต้องไปหาอีกฝ่ายให้ได้และส่วนใหญ่เวลาที่เราคุยโทรศัพท์กัน คุณไฟก็มักจะพูดความต้องการของตัวเองออกมาทันที แต่พออีกฝ่ายมาในรูปแบบนี้ วาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะรับมืออีกฝ่ายยังไงดี                 “ม—มีอะไรหรือเปล่าครับ” หลังตั้งสติได้แล้ว วาริชก็เอ่ยถามปลายสายเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด                 [ตอนนี้ฉันกำลังนั่งดื่มอยู่ที่ห้อง]                 “…..”                 [แล้วก็….กำลังเมามาก ๆ ด้วย]                 “ครับ?”                 [มาหาฉันหน่อยได้ไหม มีเรื่องจะถาม]                 “แล้วเราคุยกันในนี้ไม่ได้เหรอครับ?” วาถามคุณไฟอย่างสงสัย                 [คือฉัน…อยากถามนายแบบต่อหน้ามากกว่า ช่วยมาหาหน่อยได้ไหม] เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้เป็นเจ้าของชื่อก็เกิดความชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง วาริชกำลังลังเลว่าเขาควรจะไปหาคุณไฟดีไหม อันที่จริงวาก็ไม่ได้อยากไปหา แต่ลึก ๆ เขาก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรกันแน่ แล้วทำไมเราถึงคุยกันในนี้ไม่ได้                 “……”                 [ได้ไหม…วาริช]                 “ถ้าง—งั้นรอผมก่อนนะครับ ไม่เกินยี่สิบนาที”                   นี่เป็นครั้งแรกที่วาได้เห็นคุณไฟเมาหนักขนาดนี้… ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เขาเห็นนั่นก็คือแผ่นหลังกว้างของพ่อนักแสดงหนุ่ม หลังอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เคาน์เตอร์ครัว มองวิวของกรุงเทพมหานครโดยที่ตรงหน้าของคุณเขามีขวดแอลกอฮอล์ตั้งเรียงกันอยู่                 เพียงแค่เห็นภาพตรงหน้า วาริชก็ถึงกับถอนหายใจออกมาทันที  เขายืนตั้งหลักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินย่างกรายเข้าไปหาผู้เป็นเจ้านายอย่างเงียบ ๆ วาใช้สายตานับขวดแอลกอฮอล์ที่ตั้งเรียงรายอยู่หน้าคุณไฟแล้วเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน                 “คุณไฟเมามากแล้วนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณจะไปทำงานไม่ไหวเอานะ”                 “ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไป ไม่เห็นจะยากอะไร” คุณไฟเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ                 “หมายความว่าคุณจะทิ้งงานเหรอครับ? นั่นไม่ใช่นิสัยของคุณนะ”                 “นี่แหละ นิสัยของฉัน”                 “…..”                  “ทำไมวันนี้ถึงได้ไปกินข้าวกับไทระ” หลังความเงียบเข้าปกคลุมเราได้สักพัก คุณไฟก็เอ่ยถามขึ้น                 “ตอนที่ผมเตรียมจะกลับห้อง… ผมเจอกับพี่ไทระเข้าพอดี เขาอาสาไปส่ง ผมก็เลยเลี้ยงข้าวตอบแทนเขา” วาให้คำตอบอย่างซื่อตรง                 “พี่ไทระงั้นเหรอ? นี่นายตีสนิทเขาถึงขั้นนั้นแล้วหรือไง”                 “ผมไม่ได้ตีสนิท! เขาเป็นคนบอกให้ผมเรียกอย่างนั้นเอง” วาริชปฏิเสธทั้งคิ้วขมวด รู้สึกไม่ชอบในคำพูดของคุณไฟเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้และท่องในใจว่าอีกฝ่ายกำลังเมาอยู่                 “เขา…ใจดีมากเลยใช่ไหม” คุณไฟถามต่อ                 “…..”                 “เขาคงสนิทกับนายมาก”                 “ตอนนี้จะตีสองแล้ว ผมว่าคุณไฟรีบเข้านอนเถอะครับ” วาริชเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อคุณไฟเริ่มพล่ามอะไรที่ไม่รู้เรื่อง แต่แทนที่อีกฝ่ายจะเชื่อฟัง คุณไฟกลับไม่แม้แต่จะขยับตัว อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตาวาอยู่ครู่หนึ่ง หัวเราะออกมาเบา ๆ                 “เป็นห่วงฉันเหรอ”                 “….”                 “ตอบดิ”                 “ครับ ผมเป็นห่วง….” วาให้คำตอบคุณไฟอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ แล้วอธิบายต่อ “เพราะถ้าพี่ว่านรู้เรื่องนี้เข้า ผมคงถูกบ่น”                 “….นั่นสินะ ถ้าฉันทำตัวไม่ดี นายก็จะถูกคุณว่านบ่น มันก็แค่นั้น” คุณไฟว่าเสียงแผ่ว คล้ายจะพึมพำกับตัวเอง                 “…..”                 “โอเค งั้นฉันจะเข้านอนตามคำสั่งนาย นายจะได้ไม่ถูกบ่นดีไหม?”                 “แล้วนี่คุณไฟจะอาบน้ำก่อนนอนไหมครับ” วาริชเอ่ยถาม หลังเขาได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมาจากตัวอีกคน                 “ทำไม นายจะอาบให้ฉันเหรอ?” คุณไฟย้อนถาม                 “…..”                 “ไม่อนามัยวันหนึ่ง คงไม่เป็นไรหรอก ฉันเหนื่อย” อีกฝ่ายว่าสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องนอนก่อน                 เพราะดูไม่ได้มีพิษสงอะไร วาจึงเดินตามคุณไฟเข้าไปในห้องนอน เพื่อที่เขาจะได้จัดแจงผ้าห่มและเช็กให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะเข้านอนอย่างที่ว่าจริง ๆ                 “ขอโทษด้วยที่โทรไปปลุก” หลังหัวคุณไฟทิ้งลงหมอนแล้ว อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง                 “ครับ ไม่เป็นไรครับ” วาริชตอบ เมื่อกี้เขาไม่คิดจะถือสาคำพูดของคุณไฟเลยแม้แต่นิด เพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังเมา                 “แต่นายอย่าไปกับเขาได้ไหม”                 “ครับ?”                 “ไทระน่ะ….”                 “คุณไฟพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว”                 “ฉันว่านายรู้ดีว่าฉันหมายถึงอะไร”                 “…..”                 “วาริช”                 “ผมว่าคุณหลับเถอะครับ เพราะผมเองก็อยากกลับไปห้องแล้วเหมือนกัน” วาริชเอ่ยตัดบท                 “…..”                 “ฝันดีนะครับ คุณไฟ”                 หลังเสียงเปิดปิดประตูดังขึ้น ผ่านไปได้สักพัก ผู้เป็นเจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปีล่าสุดก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้หลากหลายเหม่อมองเพดานห้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งด้วยหัวใจที่ปวดหนึบ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม