วาจะไม่มีทางกลับไปแน่ ถ้าคุณไฟเขาไม่ยกเรื่องพี่ว่านขึ้นมาขู่…
หลังจากวันนั้น… เราก็กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง แน่นอนบรรยากาศระหว่างเราเป็นไปด้วยความอึดอัด จากที่ไม่ค่อยได้พูดจากันอยู่แล้ว พอมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจนี้เข้ามาเพิ่มอีก นั่นก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม
ไม่มีการพูดถึงเรื่องนั้นและไม่มีใครรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก เราต่างปฏิบัติตัวต่อกันราวกับไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน เหลือไว้แค่รอยร้าวและความรู้สึกที่ยังค้างคาอยู่เท่านั้นและถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่รอยร้าวที่ว่าก็ยังติดอยู่ในใจวาเสมอและคุณไฟเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
ช่วงหลังมานี้วาริชต้องตื่นเช้าอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากคุณไฟอยู่ในช่วงถ่ายละคร งานถ่ายแบบ ออกรายการและอีเวนต์ต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องรองไปก่อน เพราะเวลาที่คุณไฟรับงานแสดง อีกฝ่ายก็มักจะให้ละครเป็นความสำคัญอันดับแรกเสมอ
“แยกกันตรงนี้ก็ได้นะ เพราะเดี๋ยวฉันจะไปกินข้าวกับพิม” หลังได้เวลาเลิกกองถ่ายแล้ว ขณะที่กำลังเก็บของเตรียมจะเดินไปที่รถด้วยกัน คุณไฟก็หันมาพูดกับวาด้วยเสียงปกติ
“ได้ครับ” ไม่มีการโวยวายเกิดขึ้น ทันทีที่คุณไฟเอ่ยเช่นนั้น วาริชก็รับคำอย่างว่าง่าย ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากวันนี้เราถ่ายงานกันในกรุงเทพ วาสามารถเดินทางกลับห้องพักเองได้ เขาจึงไม่มีปัญหา หากคุณไฟคิดจะปล่อยให้เขากลับเอง
หลังเราตกลงกันได้แล้ว คุณไฟก็รีบขึ้นรถและขับรถออกจากกองถ่ายทันที ส่วนวาริชก็อยู่เก็บข้าวของช่วยพี่ทีมงานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับบ้าง เนื่องจากวาเองก็อยากพักผ่อนแล้ว
“จะกลับแล้วเหรอ” ขณะที่วาเตรียมจะเดินออกไปเรียกแท็กซี่ พี่ไทระก็เดินเข้ามาหาเสียก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็มาพร้อมกับรอยยิ้มอย่างในทุกครั้ง
นับตั้งแต่วันที่ทำความรู้จักกันในครั้งนั้น เราก็ได้มีโอกาสพูดคุยกันอยู่เรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะพี่ไทระเป็นคนอัธยาศัยดี อีกฝ่ายเป็นคนยิ้มเก่งและมักจะเอาขนมฝีมือพี่สาวมาฝากอยู่บ่อย ๆ ทำให้ความสนิทของเราจึงถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ใช่ครับ วาอยากกลับไปนอนแล้ว” วาริชตอบพร้อมส่งยิ้มให้อีกคน
“พี่ก็กำลังจะกลับพอดี งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งแล้วกันนะ”
“จะดีเหรอครับ” วาริชเอ่ยถามน้ำเสียงลำบากใจ ยิ่งพี่ไทระใจดี หยิบยื่นน้ำใจมาให้เขามากเท่าไร วาก็ยิ่งเกรงใจอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น เพราะแค่อีกฝ่ายเอาขนมมาให้ลองชิมเกือบทุกวัน เขาก็เกรงใจแทบแย่แล้ว
“วาเกรงใจครับ เดี๋ยวกลับเองดีกว่า” ในที่สุดวาริชก็ตัดสินใจปฏิเสธความหวังดีของอีกคน เพราะเขาไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายมากกว่านี้
“ไม่เอา เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“เสียเวลาเปล่า ๆ ครับ ช่วงเวลานี้คนเพิ่งเลิกงานด้วย รถคงติดแน่” วาอ้าง
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ พี่แวะไปส่งเราแป๊บเดียว มันจะเสียเวลาเท่าไรกัน”
“….”
“ถ้าวาปฏิเสธพี่อีกรอบ… พี่จะเสียใจมากนะ” หลังพี่ไทระเห็นว่าวานิ่งไป อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยสายตาที่ดูเว้าวอน จนทำให้วารู้สึกว่าเขาจะต้องเป็นคนใจร้ายมากแน่ หากคิดจะปฏิเสธอีกฝ่ายซ้ำสอง
“ถ้างั้นก็….รบกวนด้วยนะครับ”
“ด้วยความยินดีครับ!” ทันทีที่วาเอ่ยเช่นนั้น ท่าทางของพี่ไทระก็ถูกเปลี่ยนไปทันตาเห็น ทำเอาเขาเห็นแล้วก็อดส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
นอกจากคุณไฟ… วาริชก็ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะได้มีโอกาสนั่งรถดาราท่านอื่นด้วย ความรู้สึกแรกตอนที่ได้นั่งอยู่บนรถคันเดียวกันกับพี่ไทระ นั่นคือความเกร็ง มันไม่เหมือนกับตอนที่วาต้องนั่งคู่กับคุณไฟเลยแม้แต่นิด บรรยากาศแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งวาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
หลังจากวันที่พี่ไทระได้เข้ามาทำความรู้จักวาในครั้งนั้น ทันทีที่กลับถึงห้อง วาก็เปิดดูประวัติส่วนตัวของอีกคนจากเว็บบอร์ดต่าง ๆ ทันที ซึ่งเขาก็เพิ่งทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว พี่ไทระเองก็อยู่ในอุตสาหกรรมวงการบันเทิงมาหลายปี
อีกฝ่ายเคยเป็นนายแบบมาก่อน ได้มีโอกาสไปทำงานเป็นนายแบบที่ต่างประเทศตั้งหลายปีด้วย ไม่ได้เพิ่งเข้าวงการมาอย่างที่วาเคยเข้าใจ แต่ที่เขาไม่เคยเห็นหน้าพี่ไทระมาก่อน นั่นก็เป็นเพราอีกฝ่ายเพิ่งลองผันตัวมมาเป็นนักแสดง ได้เพียงไม่นานเท่านั้น
“อย่าลืมคาดเข็มขัดด้วยนะ” พี่ไทระเอ่ยเตือน หลังเราขึ้นมานั่งบนรถกันทั้งคู่แล้วซึ่งรถของพี่ไทระเป็นรถAudi รุ่น TTS Sport Coupe Quattro ซึ่งถ้าจำไม่ผิด…คุณไฟเจ้านายของวาก็มีรถยี่ห้อนี้เหมือนกัน แต่ของอีกฝ่ายเป็นคนละรุ่นกัน
“นั่งไม่สบายเหรอ” ระหว่างที่กำลังเคลื่อนรถเตรียมจะออกจากกองถ่าย พี่ไทระก็เอ่ยถามขึ้น
“ครับ?”
“เหมือนเราเกร็ง ๆ นะ เบาะรถพี่มันนั่งไม่สบายหรือเปล่า”
“อ๋อ… เปล่าหรอกครับ มันเป็นที่วาเอง ไม่ใช่เพราะรถหรอก”
“ไม่ชิน?”
“ก็ประมาณนั้นครับ วาทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไร ปกติ…เวลามากองถ่ายหรือไปทำงานกับคุณไฟ เรามักจะใช้เป็นรถตู้มากกว่า” วาอธิบายให้อีกคนฟัง ซึ่งหลังจากฟังจบพี่ไทระก็แค่พยักหน้ารับเท่านั้น อีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรต่อ
และแล้วทุกอย่างก็เป็นอย่างที่วาคาดการณ์ไว้ หลังเราขับรถออกจากกองถ่ายมาได้ไม่เท่าไร เราก็มาติดอยู่กลางสี่แยกม.เกษตร ยิ่งช่วงนี้ผู้คนเพิ่งจะเลิกงานด้วย ทำให้กว่าเราจะได้เคลื่อนรถแต่ะละครั้ง ทำเอาวาถึงกับลุ้นแล้วลุ้นอีก
“รถติดหนักเลย ขอโทษด้วยนะครับ…พี่ไทระต้องมาเสียเวลาโดยใช่เหตุ” วาเอ่ยบอกคนข้างกาย เมื่อเขารู้สึกไม่ดีเล็กน้อยที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมาเสียเวลาด้วย
“จะขอโทษทำไม พี่เสนอตัวเอง…แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” พี่ไทระว่า พลางยื่นมือมายีผมวาเบา ๆ
“….”
“…สงสัยเมื่อกลางวัน พี่กินข้าวน้อยแน่เลย ถึงได้มาหิวเอาตอนนี้” ระหว่างที่เรากำลังรอให้รถได้เคลื่อนตัวอีกครั้ง พี่ไทระก็พูดขึ้น แต่คล้ายจะบ่นกับตัวเองเสียมากกว่า
“งั้น….ถ้าพี่ไทระไม่มีธุระไปที่ไหนต่อ เราไปกินข้าวกันไหมครับ เดี๋ยววาเลี้ยงเอง” หลังนั่งคิดอยู่นาน ในที่สุดวาริชก็ตัดสินใจเอ่ยปากชวนอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็เริ่มหิวข้าวแล้วเหมือนกัน
“หืม? เราจะเลี้ยงข้าวพี่เลยเหรอ”
“ใช่ครับ ถือซะว่าตอบแทนที่วันนี้พี่ไทระอุตส่าห์เอาขนมมาฝาก แล้วไหนจะเป็นธุระไปส่งกันอีก”
“แต่เรื่องแค่นี้เองนะ”
“ครับ วาอยากเลี้ยงข้าว…จะได้ไหมครับ?” วาริเอ่ยชถามคนข้างกาย
“โอ้โห,..วาพูดงี้ทั้งที ใครจะกล้าปฏิเสธลง”
“…”
“ถ้าวาจะเลี้ยง งั้นพี่เอาร้านแพงสุด ๆ เลยดีไหมเนี่ย จะได้คุ้ม” พี่ไทระพูดต่อ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหน้ามา เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่งและพี่ไทระก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“พี่ล้อเล่น นี่ถูกแกล้งยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ”
“อ้าว…วาก็นึกพี่ไทระพูดจริงซะอีก กำลังนึกอยู่เชียวว่าแพงที่พี่ไทระว่า มันแพงแค่ไหนกันนะ”
“เอาจริง ๆ วาไม่ต้องเลี้ยงพี่หรอก เพราะพี่ก็เกรงใจเหมือนกัน”
“แต่วาเลี้ยงข้าวได้นะครับ”
“…..”
“เลี้ยงได้จริง ๆ” เขาย้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่น
“สรุปจะเลี้ยงข้าวพี่ให้ได้ใช่ไหม?” พี่ไทระถามให้แน่ใจอีกครั้ง
“ใช่ครับ”
“โอเค งั้นพี่ขอคิดร้านแป๊บหนึ่ง ว่าแต่แถวห้องพักวา มีร้านอาหารอะไรอร่อย ๆ ไหมล่ะ”
ตอนแรกเราตกลงกันว่าจะหาร้านอาหารอร่อย ๆ แถวที่วาพักอยู่ แต่ทว่าแถวนั้นกลับไม่ค่อยมีร้านอาหารแบบที่ให้นั่งกินเท่าไรนัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเสียมากกว่า ส่วนร้านอาหารอื่น ๆ ก็มักจะเป็นอาหารแบบตักขายเป็นถุง เหมาะสำหรับการซื้อไปกินที่ห้อง นั่นจึงทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนใหม่
“งั้น…เราไปกินข้าวที่ห้างกันไหมครับ” หลังเรายังไม่ได้ร้านสักที วาริชก็เสนอความคิดขึ้น ก่อนจะรีบเอ่ยอีกครั้ง เมื่อเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่ไทระทำอาชีพอะไรอยู่ซึ่งมันคงไม่ดีเท่าไร หากเขาจะชวนไปอีกฝ่ายไปสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน
“ขอโทษครับ ผมก็ลืมไป งั้นเราหาร้านอาหารแถวนี้กินดีกว่าครับ ไม่ต้องไปห้างหรอก คนพลุกพล่านเดี๋ยวพี่ไทระจะอึดอัดเอา”
“พี่ชินแล้วล่ะ ถ้างั้นเราไปห้างกันเถอะ” พี่ไทระสรุปเสร็จสรรพและเราก็เปลี่ยนจุดมุ่งหมายไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ห้องพักวาแทน
ส่วนใหญ่เวลามาห้างสรรพสินค้า วาก็มักจะมาเพื่อซื้อของเข้าห้องให้คุณไฟเท่านั้น ซึ่งถ้าเขาไม่มากับพี่ว่าน วาก็จะมาเพียงลำพังและไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะได้มาห้างกับคุณไฟ เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายมีงานอีเวนต์ที่ห้าง
“เป็นอะไร” คงเพราะวากำลังขมวดคิ้วอยู่ นั่นจึงทำให้พี่ไทระเอ่ยถามขึ้น ขณะที่เรากำลังขึ้นบันไดเลื่อนเตรียมไปยังชั้นอาหารกัน
“ไม่ชินเลยครับ สายตาของผู้คนน่ะ” วาตอบตามตรง แม้เขาจะทำงานกับคุณไฟมาหลายเดือนแล้วก็จริง แต่วาก็ไม่เคยชินกับสายตาผู้คนเลยสักครั้ง มันทำให้เขารู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
“พี่ไทระชินแล้วเหรอครับ” เขาถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“อือ ชินแล้วล่ะ แต่แปลกนะ…วาทำงานคลุกคลีกับคุณไฟมาตั้งหลายเดือน ทำไมถึงยังไม่ชินกับสายตาผู้คนล่ะ” พี่ไทระถามกลับอย่างสงสัย
“อ๋อ คือวาไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับคุณไฟหรอกครับ ส่วนใหญ่เวลามาซื้อของเข้าคอนโดให้คุณไฟ วาก็มักจะมาคนเดียว คุณเขาจะมาห้างเฉพาะมีงานอีเวนต์เท่านั้นครับ” วาให้คำตอบ
การเลือกร้านอาหารของเราเป็นไปอย่างง่ายดาย เราใช้เวลาเลือกร้านอาหารเพียงไม่นาน ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าร้านอาหารปกติกึ่งเพื่อสุขภาพกัน ซึ่งพี่ไทระสั่งเป็นปลาแซลมอนนึ่งมะนาวกับข้าวผัดคีนัว ส่วนวาก็สั่งเป็นข้าวซอยน่องไก่
“จะเป็นไรไหม ถ้าพี่จะขอถ่ายรูปด้วย”หลังเรากินข้าวกันเสร็จ พี่ไทระก็เอ่ยขึ้น
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ วาไม่ใช่ดารานะ” ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน วาริชก็ให้คำตอบอีกฝ่ายทันที เขาฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้พี่ไทระเพื่อที่เราจะได้ถ่ายรูปร่วมกัน
“แล้วไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าพี่จะเอาลงอินสตาแกรม” อีกฝ่ายถามขึ้นอีกครั้ง หลังได้เช็กรูปภาพของเราแล้ว
“ด้วยความยินดีครับ”
“แล้วไอจีเราชื่ออะไร พี่จะได้แท็กหา”
“อ๋อ…วาไม่มีหรอกครับ พอดีไม่ได้เล่น” เขาให้คำตอบพี่ไทระ ก่อนจะส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้
ทุกวันนี้นอกจากไลน์และทวิตเตอร์ วาริชก็ไม่ได้เล่นอะไรอีกเลย ไลน์มีไว้เพื่อติดต่องานเท่านั้น ส่วนทวิตเตอร์ก็มีไว้เพื่อตามข่าวสาร เช็กกระแสของคุณไฟและสิ่งเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวในแต่ละวัน แต่ก่อนวาเคยลองเล่นโซเชียลอื่นดูเหมือนกัน แต่เขาก็พบว่ามันไม่ใช่ทางเท่าไรนัก ในที่สุดงาก็เลยหยุดเล่นไปและปัจจุบันก็เหลือแค่เท่านี้
“จริงเหรอ” พี่ไทระถามราวกับไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ครับ อินสตาแกรมวาก็เคยลองเล่นนะครับ แต่ไม่รู้จะลงอะไร สุดท้ายก็เลยเลิกเล่นไป”
“แย่เลยดิ พี่อยากแท็กรูปไปหานะ เราไม่คิดจะลองกลับมาเล่นดูบ้างเหรอ”
“ฮ่า ๆ จะเก็บเอาไว้คิดแล้วกันนะครับ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงของพิม ณิชาดังขึ้น หลังเธอกำลังเท้าคางมองคนรักที่กำลังมองหน้าจอโทรศัพท์อยู่นานนับนาที
สายตาที่ดูเย็นชาของคนข้างกาย ไหนจะอาการชะงักค้าง หลังเห็นอะไรบางอย่าง ทำเอาเธออดสงสัยไม่ได้ว่าแฟนหนุ่มของเธอเป็นอะไรไป…
“นี่รูปน้องวากับคุณไทระนี่ สองคนนี้ไปรู้จักกันตอนไหนเหรอคะ” เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากคนรัก พิมก็ตัดสินใจชะโงกหน้าไปดูหน้าจออย่างถือวิสาสะ ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างสงสัย หลังเธอเห็นรูปภาพน้องวา ผู้ช่วยผู้จัดการที่เธอรู้จักเป็นอย่างดีมีรูปคู่กับคุณไทระ นายแบบที่เพิ่งผันตัวมาเป็นนักแสดง แถมรูปที่ว่าคุณไทระก็เป็นคนลงเองเสียด้วย
“ในกองถ่าย” อัคนีให้คำตอบเพียงสั้น ๆ และไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
“อ๋อ เรื่องที่ไฟเล่นร่วมกับคุณไทระใช่ไหมคะ” เธอถาม ก่อนจะเอ่ยต่อ “เฮ้อ…เห็นรูปแล้ว พิมก็คิดถึงน้องวาเลยอะเพราะพิมไม่ได้เจอหน้าน้องนานมากกกก”
“อย่าไปคิดถึงเลย…เด็กนิสัยไม่ดีคนนั้นน่ะ”
“คะ? นี่ไฟทะเลาะกับน้องเหรอ”
“…..”
“เฮ้อ…ไฟคะ อย่าทำตัวใจร้อนเหมือนอย่างชื่อสิ น้องวาก็ตัวแค่นั้น ใจร้ายกับเขาอยู่ได้” พอรู้สาเหตุว่าทำไมวาริชถึงไม่อยู่ข้างกายคนรักเธอเหมือนอย่างทุกครั้ง พิม ณิชาก็ถึงกับถอนหายใจออกมาทันที
“น้องรักคุณก็ใช่ย่อย อย่าทำเหมือนผมเป็นคนใจร้ายไปหน่อยเลย”
“แต่พิมรู้ไงคะว่านิสัยไฟเป็นยังไงและน้องวาเป็นยังไง คุณรู้ไหม…ว่าทั้งตัวคุณและน้อง ต่างทำตัวเหมือนอย่างชื่อเลย”
“คนหนึ่งก็เย็นเหมือนน้ำ ส่วนอีกคนก็อารมณ์ร้อนเหมือนไฟ”
“…..”
“ทางที่ดี พิมว่าคุยกันดี ๆ เถอะค่ะ คุณกับน้องวาก็ต้องทำงานด้วยกันอีกนาน…อย่างน้อยก็ระหว่างที่รอให้คุณว่านกลับมา”
“…..”
“พิมเชื่อนะคะว่าความสัมพันธ์ของคุณกับน้องวา มันดีได้มากกว่านี้”
“จริง ๆ แบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว”
พิม ณิชากลับไปแล้ว แต่อัคนียังคงนั่งอยู่ที่เดิมในห้องของเขา ดวงตาคมมองไปข้างหน้าอย่างใช้ความคิดและมือข้างหนึ่งก็จับแก้วแอลกอฮอล์เอาไว้ไม่ห่าง
โดยปกติอัคนีมักจะดื่มเฉพาะเวลาที่มีงานสังสรรค์หรือไม่ก็ตอนที่เพื่อนมาจัดปาร์ตี้ที่ห้องเท่านั้น น้อยครั้งนักที่เขาจะนั่งจิบแอลกอฮอล์เพียงลำพังเช่นนี้ เนื่องจากเขาเป็นคนไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดื่มมากไปก็ทำให้ผิวเสีย นั่นจึงทำให้อัคนีพยายามกินมันให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความหนักใจถูกแสดงออกเป็นการถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ดวงตาคมสีเข้มกำลังคิดอะไรอยู่แม้แต่พิม ณิชาแฟนสาวที่คบหากันมานานหลายปีก็ยังเดาไม่เคยออก มีแค่ไฟเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร…และเขาก็ไม่เคยคิดจะพูดความต้องการของตัวเองออกไปให้ใครรับรู้
เมื่อมีคำตอบในใจและรู้แล้วว่าในเวลานี้เขาต้องการอะไร อัคนีก็ไม่รอช้า สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง หลังเขาเพิ่งใช้มันเปิดดูรูปของไทระกับวาริชไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง
อัคนีไล่หาเบอร์ที่ต้องการจะติดต่ออยู่ครู่หนึ่งและเมื่อเจอเบอร์ที่ต้องการแล้ว เขาก็นั่งจ้องหมายเลขโทรศัพท์นั้นอย่างใช้ความคิด
เขาจ้องหน้าจอสมาร์ทโฟนนานนับนาที หลังพิจารณาและคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว อัคนีก็ตัดสินใจกดโทรหาผู้ช่วยผู้จัดการอย่างวาริชทันที โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงว่าตอนนี้มันเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
[คุณไฟ นี่มันไม่ใช่เวลางานของผม!] ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากอะไร เสียงแว้ด ๆ ก็ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ทันควัน
“คุณไฟ นี่มันไม่ใช่เวลางานของผม!” เมื่อกดรับสายเสร็จ วาริชก็รีบพ่นไฟใส่คุณเขาก่อนทันที หลังเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก เพราะสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลาของอีกฝ่าย!
[อา…นั่นสินะ] จังหวะที่อ้าปากเตรียมจะต่อว่าซ้ำ วาก็ต้องชะงักค้าง เมื่อคำตอบที่ได้รับจากคุณไฟ มันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้
เพราะตั้งรับกับคุณไฟในรูปแบบนี้ไม่ถูก วาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี เพราะโดยปกติเวลาที่คุณไฟต้องการจะใช้หรือเรียกให้ไปหา ต่อให้วาจะกำลังติดธุระอยู่ เขาก็ต้องไปหาอีกฝ่ายให้ได้และส่วนใหญ่เวลาที่เราคุยโทรศัพท์กัน คุณไฟก็มักจะพูดความต้องการของตัวเองออกมาทันที แต่พออีกฝ่ายมาในรูปแบบนี้ วาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะรับมืออีกฝ่ายยังไงดี
“ม—มีอะไรหรือเปล่าครับ” หลังตั้งสติได้แล้ว วาริชก็เอ่ยถามปลายสายเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
[ตอนนี้ฉันกำลังนั่งดื่มอยู่ที่ห้อง]
“…..”
[แล้วก็….กำลังเมามาก ๆ ด้วย]
“ครับ?”
[มาหาฉันหน่อยได้ไหม มีเรื่องจะถาม]
“แล้วเราคุยกันในนี้ไม่ได้เหรอครับ?” วาถามคุณไฟอย่างสงสัย
[คือฉัน…อยากถามนายแบบต่อหน้ามากกว่า ช่วยมาหาหน่อยได้ไหม] เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้เป็นเจ้าของชื่อก็เกิดความชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง วาริชกำลังลังเลว่าเขาควรจะไปหาคุณไฟดีไหม อันที่จริงวาก็ไม่ได้อยากไปหา แต่ลึก ๆ เขาก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรกันแน่ แล้วทำไมเราถึงคุยกันในนี้ไม่ได้
“……”
[ได้ไหม…วาริช]
“ถ้าง—งั้นรอผมก่อนนะครับ ไม่เกินยี่สิบนาที”
นี่เป็นครั้งแรกที่วาได้เห็นคุณไฟเมาหนักขนาดนี้… ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เขาเห็นนั่นก็คือแผ่นหลังกว้างของพ่อนักแสดงหนุ่ม หลังอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เคาน์เตอร์ครัว มองวิวของกรุงเทพมหานครโดยที่ตรงหน้าของคุณเขามีขวดแอลกอฮอล์ตั้งเรียงกันอยู่
เพียงแค่เห็นภาพตรงหน้า วาริชก็ถึงกับถอนหายใจออกมาทันที เขายืนตั้งหลักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินย่างกรายเข้าไปหาผู้เป็นเจ้านายอย่างเงียบ ๆ วาใช้สายตานับขวดแอลกอฮอล์ที่ตั้งเรียงรายอยู่หน้าคุณไฟแล้วเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“คุณไฟเมามากแล้วนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณจะไปทำงานไม่ไหวเอานะ”
“ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไป ไม่เห็นจะยากอะไร” คุณไฟเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ
“หมายความว่าคุณจะทิ้งงานเหรอครับ? นั่นไม่ใช่นิสัยของคุณนะ”
“นี่แหละ นิสัยของฉัน”
“…..”
“ทำไมวันนี้ถึงได้ไปกินข้าวกับไทระ” หลังความเงียบเข้าปกคลุมเราได้สักพัก คุณไฟก็เอ่ยถามขึ้น
“ตอนที่ผมเตรียมจะกลับห้อง… ผมเจอกับพี่ไทระเข้าพอดี เขาอาสาไปส่ง ผมก็เลยเลี้ยงข้าวตอบแทนเขา” วาให้คำตอบอย่างซื่อตรง
“พี่ไทระงั้นเหรอ? นี่นายตีสนิทเขาถึงขั้นนั้นแล้วหรือไง”
“ผมไม่ได้ตีสนิท! เขาเป็นคนบอกให้ผมเรียกอย่างนั้นเอง” วาริชปฏิเสธทั้งคิ้วขมวด รู้สึกไม่ชอบในคำพูดของคุณไฟเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้และท่องในใจว่าอีกฝ่ายกำลังเมาอยู่
“เขา…ใจดีมากเลยใช่ไหม” คุณไฟถามต่อ
“…..”
“เขาคงสนิทกับนายมาก”
“ตอนนี้จะตีสองแล้ว ผมว่าคุณไฟรีบเข้านอนเถอะครับ” วาริชเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อคุณไฟเริ่มพล่ามอะไรที่ไม่รู้เรื่อง แต่แทนที่อีกฝ่ายจะเชื่อฟัง คุณไฟกลับไม่แม้แต่จะขยับตัว อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตาวาอยู่ครู่หนึ่ง หัวเราะออกมาเบา ๆ
“เป็นห่วงฉันเหรอ”
“….”
“ตอบดิ”
“ครับ ผมเป็นห่วง….” วาให้คำตอบคุณไฟอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ แล้วอธิบายต่อ “เพราะถ้าพี่ว่านรู้เรื่องนี้เข้า ผมคงถูกบ่น”
“….นั่นสินะ ถ้าฉันทำตัวไม่ดี นายก็จะถูกคุณว่านบ่น มันก็แค่นั้น” คุณไฟว่าเสียงแผ่ว คล้ายจะพึมพำกับตัวเอง
“…..”
“โอเค งั้นฉันจะเข้านอนตามคำสั่งนาย นายจะได้ไม่ถูกบ่นดีไหม?”
“แล้วนี่คุณไฟจะอาบน้ำก่อนนอนไหมครับ” วาริชเอ่ยถาม หลังเขาได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมาจากตัวอีกคน
“ทำไม นายจะอาบให้ฉันเหรอ?” คุณไฟย้อนถาม
“…..”
“ไม่อนามัยวันหนึ่ง คงไม่เป็นไรหรอก ฉันเหนื่อย” อีกฝ่ายว่าสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องนอนก่อน
เพราะดูไม่ได้มีพิษสงอะไร วาจึงเดินตามคุณไฟเข้าไปในห้องนอน เพื่อที่เขาจะได้จัดแจงผ้าห่มและเช็กให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะเข้านอนอย่างที่ว่าจริง ๆ
“ขอโทษด้วยที่โทรไปปลุก” หลังหัวคุณไฟทิ้งลงหมอนแล้ว อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ครับ ไม่เป็นไรครับ” วาริชตอบ เมื่อกี้เขาไม่คิดจะถือสาคำพูดของคุณไฟเลยแม้แต่นิด เพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังเมา
“แต่นายอย่าไปกับเขาได้ไหม”
“ครับ?”
“ไทระน่ะ….”
“คุณไฟพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว”
“ฉันว่านายรู้ดีว่าฉันหมายถึงอะไร”
“…..”
“วาริช”
“ผมว่าคุณหลับเถอะครับ เพราะผมเองก็อยากกลับไปห้องแล้วเหมือนกัน” วาริชเอ่ยตัดบท
“…..”
“ฝันดีนะครับ คุณไฟ”
หลังเสียงเปิดปิดประตูดังขึ้น ผ่านไปได้สักพัก ผู้เป็นเจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปีล่าสุดก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้หลากหลายเหม่อมองเพดานห้องอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งด้วยหัวใจที่ปวดหนึบ