5 (1/2)

3473 คำ
[ฮัลโหล วา…ตอนนี้วาอยู่ไหน?]                 “ตอนนี้วาอยู่คอนโดคุณไฟครับ พี่ว่านมีอะไรหรือเปล่า” วาริชถามกลับปลายสาย หลังอีกฝ่ายโทรมาหากันตั้งแต่เช้าตรู่                 [พอดีเลย งั้นฝากบอกคุณไฟด้วยนะว่างานใหญ่ ๆ ที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดภายในปีนี้มีสองงาน เดือนหน้าไปอุบลและปลายปีนี้มีไปถ่ายซีรีส์ที่เกาะสมุย พอดีเขาทักมาถามพี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วอะ แต่ว่าพี่เพิ่งเห็น]                 “อ๋อ ได้ครับ แต่ตอนนี้คุณไฟกำลังอาบน้ำอยู่ ถ้าเขาออกมาตอนไหน วาจะรีบบอกให้นะครับ”                 [เค ๆ ดีมาก]                 “แต่วาขอถามหน่อยนะครับ งานที่อุบลนี่…ใช่งานเปิดตัวร้านเครื่องสำอาง สาขาใหม่หรือเปล่า?”                 [ใช่ ๆ วาเองก็อย่าลืมเตรียมตัวนะ เพราะมีค้างที่นั่นหนึ่งคืน]                 “โอเคครับ เข้าใจแล้วครับ”                 [เค ๆ แล้วนี่ทำไมได้มาคอนโดคุณไฟตั้งแต่เช้า วันนี้มีถ่ายละครเหรอ?]                 “เปล่าครับ พอดีวันนี้มีงานอีเวนต์ที่ห้างครับ”                 [อ๋อ โอเค งั้นถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาได้ตลอดนะ แล้วก็อย่าลืมบอกเรื่องนี้กับคุณไฟด้วย] พี่ว่านย้ำอีกครั้ง ก่อนจะวางสายไป                 หลังจากวางสายพี่ว่าน วาริชก็กลับมาให้ความสนใจกับงานตรงหน้าอีกครั้ง ในตอนนี้เขาได้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้คุณไฟเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เลือกที่เสื้อสูทให้ตรงกับสีที่ผู้จัดแจ้งมาก็เท่านั้น                 งานอีเวนต์แต่ละครั้ง การตกลงงานจะไม่เหมือนกันและส่วนนี้จะเป็นหน้าที่ของพี่ว่านที่จะต้องเช็กกับผู้จัดว่าจะให้คุณไฟไปแต่งตัวที่งานหรือจะให้แต่งตัวไปเอง เพราะบางครั้งทางผู้จัดก็จะมีคอสตูมเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งก็แล้วแต่การพูดคุยกัน                 ส่วนงานอีเวนต์ในวันนี้ ทางผู้จัดงานได้แจ้งมาแค่ธีมสีและประเภทชุดเท่านั้น นั่นหมายความว่าคุณไฟจะต้องแต่งตัวไปเอง พอถึงห้างปุ๊บอีกฝ่ายก็จะเข้างานเลย ไม่มีการเสียเวลามาอีก                 “ช่างทำผมกับช่างแต่งหน้าจะมาถึงแล้วนะครับ ตอนนี้เขาติดอยู่สี่แยกไฟแดงหน้าคอนโด” วาริชเอ่ยรายงาน หลังคุณไฟออกมาจากห้องน้ำแล้ว                 “อ้อ! แล้วเมื่อกี้พี่ว่านโทรมาแจ้งเรื่องงานที่คุณไฟถามไป สรุปมีสองงานนะครับ อีเวนต์เปิดตัวร้านเครื่องสำอาง สาขาใหม่ที่อุบลเดือนหน้า มีค้างที่นั่นหนึ่งคืนแล้วก็ไปถ่ายซีรีส์ที่เกาะสมุยช่วงปลายปีนี้”                 “โอเค แล้วอีเวนต์วันนี้มีอะไรไหม?” อีกฝ่ายถามต่อ                 “อีเวนต์วันนี้มีให้สัมภาษณ์สื่อช่วงท้ายงานด้วยครับ” วาตอบพร้อมกับชูเสื้อสูทที่เขาเลือกให้อีกฝ่ายดู “เอ่อ…คุณไฟครับ ถ้าเราเอาสูทตัวนี้ได้ไหมครับ”                 “เอาตัวซ้ายมือสุดของตู้ น่าจะดีกว่า”                 “โอเคครับ”                 หลังจัดการเตรียมชุดให้คุณไฟเสร็จ ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมก็มาถึงคอนโดพอดี วาจึงปล่อยให้คุณไฟนั่งรออยู่ในห้อง ส่วนเขาก็วิ่งลงไปรับช่างแต่งหน้า ช่างทำผมที่ชั้นล่างของคอนโด                   “ผมว่าปากคุณไฟดูแห้งไปนะครับ เราทาลิปมันเพิ่มอีกสักหน่อยดีไหม” วาริชออกความคิดเห็น เมื่อรถของเราใกล้จะถึงห้างเต็มที เขาจึงเริ่มทำการเช็กความเรียบร้อยให้คุณไฟอีกครั้ง                 ฝั่งคุณไฟพอได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ อีกฝ่ายทำแค่ขยับหน้าเข้ามาใกล้เพื่อที่จะให้วาได้ทาลิปมันให้ ครู่หนึ่งวาริชแอบหายใจติดขัด หลังระยะห่างระหว่างเรากำลังถูกลดหลั่นลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดลมหายใจร้อนกรุ่นของอีกคนสัมผัสโดนผิวของเขา….                 หัวใจของวาสั่นไหว… ยามที่ดวงตาคมของคุณไฟกำลังจ้องเขาตาไม่กะพริบ เราสบตากันอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่วาจะรีบลงมือทาลิปมันให้และเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงสายตานั้นก่อน                 “เรียบร้อยหรือยัง” คุณไฟถามเสียงแผ่ว ขณะเดียวกันนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมเคลื่อนหน้ากลับไป                 “ร—เรียบร้อยแล้วนะครับ” วาริชตอบ เขาหลุบตามองหน้าตักตัวเองและในเวลาเดียวกันรถตู้ก็มาจอดสนิทที่ลานจอดรถของห้างพอดี นั่นหมายความว่าคุณไฟจะต้องลงจากรถเพื่อเข้างานอีเวนต์แล้ว                   “มีข่าวว่าคุณไฟกับคุณพัดชาไม่กินเส้นกันเป็นความจริงไหมคะ”             “เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ”             “แสดงว่ายังสามารถร่วมงานกันได้ใช่ไหมครับ?”             “ได้ครับ ก็ไม่ได้ทะเลาะกันนี่”             “แต่วงในบอกว่าคุณไฟมีการเดินเข้าไปเคลียร์กับคุณพัดชาในกองถ่ายด้วยนะคะ”                 “อ๋อ พอดีตอนนั้นมีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยครับ ผมก็แค่เข้าไปอธิบายเฉย ๆ”                 “เพราะผู้จัดการส่วนตัว?”                 “ประมาณนั้นครับ น้องพัดเขาคิดว่านั่นเป็นคนของกองถ่าย ผมก็แค่เดินเข้าไปบอกเขาว่าไม่ใช่ ก็แค่นั้น”             “แล้วข่าวที่ว่าคุณไฟกับคุณไทระไม่ลงรอยกันล่ะคะ? มีการเขม่นกันเกิดขึ้น”             “เรื่องไหนที่ไม่เป็นความจริง ผมขอไม่ตอบนะครับ ขี้เกียจอธิบาย”             “แล้วช่วงนี้ความรักกับคุณพิมเป็นยังไงบ้างคะ มีแพลนจะแต่งงานหรือยัง?”             “กับพิมเรายังคบกันเรื่อย ๆ ครับ ไม่มีใครรีบร้อนอะไร ส่วนเรื่องแต่งงานก็คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้”                 หลังงานอีเวนต์สิ้นสุดลง คุณไฟก็ได้มาให้สัมภาษณ์กับพี่ ๆ สื่อมวลชนที่หน้าแบ็คดรอปแบรนด์สินค้าต่อ แสงแฟลชและเสียงให้สัมภาษณ์ของอีกฝ่ายดังขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดลง เมื่อนักข่าวไม่มีประเด็นจะถามแล้วและคุณไฟก็ไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ต่อ                 นี่เป็นครั้งแรกที่วารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก หลังการสัมภาษณ์เมื่อครู่นี้ มีเรื่องของเขาเข้าไปเกี่ยวด้วยและดูเหมือนประเด็นความไม่กินเส้นกันระหว่างคุณไฟกับคุณพัดชา ประเด็นความไม่ลงรอยกันของคุณไฟกับพี่ไทระจะมาจากตัวเขาทั้งนั้น                 “ซับหน้าหน่อยนะครับ” หลังคุณไฟให้สัมภาษณ์กับพี่ ๆ นักข่าวเสร็จ ก็เหลือการถ่ายรูปเอาไว้ไปประกอบบทสัมภาษณ์ วาริชจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับทิชชูเพื่อที่จะซับหน้าให้                 “ขอบใจ วา…เมื่อกี้ฉันเห็นแฟนคลับล้มด้วย ช่วยไปดูให้ทีว่าเขาเป็นอะไรไหม เขาใส่เสื้อสีฟ้าอ่อน” คุณไฟเอ่ยน้ำเสียงกังวล                 “ได้ครับ งั้นถ้าพี่นักข่าวถ่ายรูปเสร็จแล้ว คุณไฟก็ให้ทีมงานพาไปรอที่ห้องรับรองเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะรีบตามไป”                 “อืม ได้เรื่องยังไงก็บอกฉันด้วยนะ”                 ถึงคุณไฟจะชอบดุและชอบโมโหจนเป็นนิสัย แต่สำหรับแฟนคลับ….อีกฝ่ายถือว่าเป็นคนใจดีมาก เพราะคุณไฟมักจะเป็นห่วงแฟนคลับอยู่เสมอ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากจะมีแฟนคลับคอยตามไปเชียร์อีกฝ่ายเกือบทุกงานที่เป็นงานเปิด                 คุณไฟอาจไม่ใช่คนประเภทเดินเข้าไปทักทายแฟนคลับก่อนหรือเซอร์วิสแฟนละครอย่างดาราท่านอื่น แต่อีกฝ่ายจะมีวิธีของตัวเอง คุณไฟจะใจดีในแบบฉบับของเขาและมักจะเป็นห่วงความปลอดภัยของแฟนคลับมากกว่าสิ่งอื่นใด เนื่องจากแฟนคลับส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง                 ถึงจะดูเฉยชาไปบ้าง แต่อีกฝ่ายก็รักแฟนคลับตัวเองไม่ต่างจากดาราคนอื่นนั่นแหละ                   ฝั่งวาถูกคุณไฟสั่งเช่นนั้น เขาก็ไม่รอช้า ทันทีที่ซับหน้าให้อีกฝ่ายเสร็จ เขาก็รีบเดินเลี่ยงออกมาเพื่อตามหาผู้หญิงที่ใส่เสื้อสีฟ้าอ่อน ก่อนที่วาจะไปสะดุดสายตากับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งสำรวจขาตัวเอง ณ ที่นั่งขอบน้ำพุตรงหน้าสถานที่จัดงาน เพียงเท่านั้นวาก็ไม่รอช้า เขารีบเดินตรงเข้าไปหาเธอทันที                 “เมื่อกี้ล้มใช่ไหมครับ?” วาเอ่ยถามเธอให้แน่ใจ                 “ใช่ค่ะ”                 “แล้วเป็นอะไรมากไหมครับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น วาริชก็เอ่ยถามต่อพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าเธอ                 “คะ?”                 “เมื่อกี้ตอนที่หนูวิ่งตามถ่ายรูปคุณไฟ เขาบอกว่าเขาเห็นหนูล้ม”                 “พี่ไฟน่ะเหรอคะ พี่รู้จักกับเขาเหรอ” เธอถามเสียงตื่นเต้น                 “ครับ… แล้วนี่ต้องทายาไหม ช้ำตรงไหนหรือเปล่า” วาถามพร้อมกับใช้สายตาสำรวจดดูว่าอีกฝ่ายมีรอยเขียวช้ำตรงไหนหรือเปล่า’                 “ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรเลยค่ะ”                 “ไม่เป็นไรแน่นะ?” เขาถามให้แน่ใจอีกครั้ง                 “ค่ะ ไม่เป็นไร แต่พี่คะ….หนูขอฝากให้พี่เอาจดหมายไปให้พี่ไฟหน่อยได้ไหมคะ”                 “ครับ?”                 “นะคะพี่ หนูเพิ่งมาเป็นแฟนคลับพี่ไฟได้ไม่นานเองค่ะ นี่เพิ่งได้เห็นตัวจริงเป็นครั้งแรก หนูอยากให้จดหมายเขา  เขาเป็นแรงบันดาลใจหลาย ๆ อย่างจากหนู หนูตั้งใจเขียนจดหมายให้พี่ไฟจริง ๆค่ะ”                 “….”                 “…นะคะ ช่วยหนูที” เพราะน้ำเสียงและสายตาที่เว้าวอน ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ วาริชนิ่งเพื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจรับซองจดหมายจากแฟนคลับตัวเล็ก หลังเขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร                 “จดหมายฉบับนี้ถึงมือเขาแน่นอน” วาริชเอ่ยสั้น ๆ และนั่นก็ทำให้แฟนคลับคุณไฟถึงกับยิ้มแก้มปริ                 “ขอบคุณมากนะคะพี่ ขอบคุณจริง ๆ”                   หลังเคลียร์เรื่องแฟนคลับของคุณไฟเรียบร้อยแล้ว วาก็เปิดโทรศัพท์เพื่อเช็กเวลาต่อ พอเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลืออยู่ วาก็ไม่รอช้าเขารีบแวะเข้าร้านกาแฟแบรนด์ดัง เพื่อที่จะให้สั่งน้ำให้คุณไฟทันที                 “แฟนคลับที่คุณไฟว่า เธอไม่เป็นอะไรนะครับ ล้มจริง แต่ไม่มีบาดแผลแล้วเธอก็ฝากเอาจดหมายให้คุณด้วย” เมื่อเดินกลับมาหาคุณไฟแล้ว วาริชก็เอ่ยรายงานอีกฝ่ายพร้อมกับยื่นจดหมายจากแฟนคลับให้เจ้าตัว                 “แล้วก็…นี่ด้วยครับ” หลังคุณไฟรับจดหมายจากแฟนคลับไป วาริชก็ยื่นแก้วเครื่องดื่มให้อีกฝ่ายต่อ สิ่งนี้คุณไฟไม่ได้สั่งเขาเอาไว้ แต่วาตั้งใจจะซื้อให้อีกฝ่ายเพื่อแทนคำขอโทษ หลังเขาทำให้คุณไฟต้องวุ่นวายมาอธิบายเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง                 “อะไร” คุณไฟถาม ยังไม่ยอมเครื่องดื่มจากมือวา                 “ก็ของคุณไฟไงครับ” วาตอบเสียงแผ่วและยิ่งเห็นว่าคุณไฟนิ่ง เขาก็ยิ่งรู้สึกระหม่าอย่างบอกไม่ถูก                 “…..”                 “ผมเลี้ยง” แม้คุณไฟจะดูมึนงง แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยอมรับเครื่องดื่มจากมือวาไป                 “….ขอบใจ” คุณไฟเอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะยกเครื่องดื่มที่เป็นคำขอโทษจากวาขึ้นไปจิบ                   วันนี้เพื่อนของคุณไฟจะมากินข้าวที่คอนโด นั่นคือสิ่งที่วาริชเพิ่งรู้ หลังรถตู้ส่วนตัวใกล้จะถึงที่พักเต็มที สำหรับวา…นั่นไม่ใช่เรื่องน่าห่วงอะไร เนื่องจากไม่บ่อยครั้งนักที่เพื่อนคุณไฟจะมากินข้าวที่ห้องและส่วนใหญ่ก็เป็นการกินข้าว พบปะสังสรรค์ทั่วไปเท่านั้น ไม่ค่อยมีการดื่มแอลกอฮอล์จนถึงขั้นมึนเมา                 “แล้วนี่ เราต้องเตรียมอะไรไว้ไหมครับ” เมื่อเรากลับมาถึงห้อง วาริชก็เอ่ยถามคุณไฟ หลังเขาเหลือบมองนาฬิกาและพบว่าตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ ซึ่งถ้าหากเพื่อนคุณไฟต้องการทำอาหารเอง วาก็จะได้เป็นธุระไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตเตรียมไว้ให้                 “ไม่ต้อง เดี๋ยวพวกมันซื้อเข้ามาเอง” คุณไฟให้คำตอบพลางถอดเสื้อสูทชั้นนอกออก แล้วใช้มือนวดคลึงต้นคอของตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า                 “อ๋อ โอเคครับ” วารับคำพร้อมกับยืนสังเกตการกระทำของคุณไฟอย่างเงียบ ๆ                 พักหลังมานี้เรามีคิวถ่ายละครหลายวันติดกัน ไหนจะต้องตื่นเช้า เนื่องจากมีการเดินทางไปมาระหว่างจังหวัด  มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากคุณไฟจะเริ่มแสดงความเหนื่อยล้าออกมาบ้าง                   แม้ว่าคุณไฟจะไม่ได้ออกปากอะไร แต่ทว่านี่คือสัญญาณเตือนที่วาไม่สามารถปล่อยเฉยได้ เพราะถ้าหากอีกฝ่ายล้มป่วย แน่นอน…มันส่งผลกระทบไปถึงงานที่ถูกจัดคิวไว้อย่างแน่นเอี๊ยด ฉะนั้นวาจะต้องรีบดูแลเรื่องนี้ ก่อนที่คุณไฟจะได้ป่วยจริง ๆ ซึ่งบางทีเขาอาจต้องไปปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ว่าน เผื่ออีกฝ่ายจะมีวิธีแก้หรือไม่ก็เป็นธุระจองร้านนวดแผนไทยไว้ให้                 “ไอ้เจ้ามันบอกว่าให้นายอยู่รอก่อนนะ มันอยากได้ลูกมือช่วย” คุณไฟเอ่ย ขณะที่อีกฝ่ายกำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดบนออก                 “ได้เลยครับ” วาพยักหน้ารับ ก่อนที่เขาจะใช้สายตากวาดมองรอบ ๆ ห้องเพื่อหาอะไรทำ ระหว่างรอให้เพื่อนของอีกฝ่ายมาถึง                 ในบรรดาเพื่อนของคุณไฟ วารู้จักเกือบทุกคน แต่คนที่เขาสนิทที่สุดดูเหมือนจะเป็นพี่เจ้า เพราะอีกฝ่ายแวะเวียนเข้ามาหาคุณไฟอยู่บ่อย ๆ ซึ่งเท่าที่วารับรู้มา พี่เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของคุณไฟตั้งแต่สมัยที่ทั้งคู่เรียนป.ตรีด้วยกันที่อังกฤษ พอต่างฝ่ายต่างกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย ทั้งสองก็ยังติดต่อกันอยู่จนกระทั่งตอนนี้                   หลังใช้สายตาสอดส่องเพื่อหาหน้าที่ให้ตัวเองอยู่พักใหญ่ ในที่สุดวาริชก็มีอะไรให้ทำเสียที เมื่อเขาเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วพบว่าน้ำผลไม้ที่เคยทำไว้ให้คุณไฟใกล้จะหมดเต็มที ในระหว่างที่รอพี่เจ้า วาจึงเริ่มทำการหั่นผลไม้ เตรียมที่จะทำน้ำไว้ให้คุณเขา เพราะพรุ่งนี้คุณไฟมีเข้าฟิตเนสเพื่อพบเทรนเนอร์ตั้งแต่เช้า อีกฝ่ายจะได้เอาไปดื่มด้วย                 “วันพรุ่งนี้ไม่มีตารางงานนะครับ มีแค่เข้าฟิตเนสช่วงเช้าเท่านั้น” วาเอ่ยบอก เมื่อเขาเห็นว่าคุณไฟเดินออกมาจากห้องแต่งตัวแล้ว หลังอีกฝ่ายเดินหายเข้าไปในนั้นได้สักพักใหญ่                 “นี่เขาตั้งใจจะส่งมาให้ฉันใส่หรือว่ามันเป็นของนายกันนะ ทำไมไม่ทำการบ้านกันเลย” คุณไฟบ่นพึมพำพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาวาที่กำลังยืนหั่นผลไม้อยู่ อีกฝ่ายไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่เอาเสื้อมาทาบลงที่แผ่นหลังของวาเหมือนจะเทียบขนาดเสื้อ                 “มันพอดีกับตัวนายเลย” คุณเขาว่าต่อ                 “ครับ?”                 “ก่อนกลับนายก็อย่าลืมหยิบถุงเสื้อไปด้วยแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะตั้งไว้บนโต๊ะให้ เพราะห้องเสื้อผ้าฉันไม่มีที่จะเก็บแล้ว”                 “ขอบคุณมากครับ” เพราะรู้ดีว่าปฏิเสธไม่ได้ วาจึงเลือกที่จะขอบคุณแทนการปฏิเสธอย่างที่เคยทำ                 “แล้วระหว่างที่รอไอ้เจ้า…. นายจะหยิบเอาน้ำเอาขนมมานั่งกินรอก็ได้ ตอนนี้มันเพิ่งเลิกงาน กว่าจะมาถึงก็คงอีกสักพัก” คุณไฟว่าต่อ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากโซนครัว เอาถุงเสื้อไปตั้งไว้ให้วาแล้วเดินกลับเข้าห้องนอนตัวเองไป                                 หลังวาจัดการทำน้ำผลไม้เตรียมไว้ให้คุณไฟเรียบร้อยแล้ว เขาก็หยิบเอาขนมและนมกล่องหนึ่งตามคำอนุญาตของคุณเขา                 ภายในห้องของคุณไฟขนมส่วนใหญ่มักจะเป็นขนมคลีนทั้งสิ้น แม้กระทั่งสาหร่ายที่วาหยิบติดมือมาด้วย ก็ยังเป็นสาหร่ายอบกรอบโรยด้วยเมล็ดธัญพืช                 ระหว่างที่กำลังนั่งกินขนมรอเพื่อนคุณไฟ วาริชก็เปิดโทรศัพท์ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบไปเห็นถุงเสื้อที่คุณไฟวางทิ้งไว้ให้และด้วยความสงสัย นั่นจึงทำให้วาตัดสินใจลองกดเข้าเว็บไซต์ของแบรนด์ดู  เพราะเขาอยากรู้ว่าเสื้อที่คุณไฟให้ มันราคาเท่าไร                 “ค—คุณไฟครับ ผมรับไว้ไม่ได้หรอก!” พอได้เห็นราคาและมั่นใจแล้วว่าตัวเองดูไม่ผิดแน่ วาริชก็ถึงกับเบิกตากว้าง เขาลมแทบจับ เมื่อได้เห็นราคาเสื้อที่โชว์เด่นบนหน้าเว็บไซต์                 วาริชรู้ดีว่าข้าวของแบรนด์เนมมันมีมูลค่าสูง แต่เขาไม่คิดว่ามันจะแพงหูฉี่ขนาดนี้ ปกติเสื้ออย่างดีสุด วาก็ซื้อไม่เคยเกินห้าร้อยด้วยซ้ำ เขาไม่เคยคิดหวังว่าตัวเองจะต้องใส่เสื้อตัวละเกือบสองหมื่นอย่างที่คุณไฟเพิ่งให้มา แถมคราวนี้อีกฝ่ายให้เสื้อวามาถึงสองตัว ลองบวกลบราคาดูแล้ว นี่มันซื้อทองได้เป็นบาท ๆ ด้วยซ้ำ!                 “คุณไฟครับ!” หลังตะโกนเรียกแล้ว คุณเขาก็ไม่ยอมออกจากห้องมาเสียที ในที่สุดวาก็ตัดสินใจหยิบถุงเสื้อ บุกเข้าไปหาคุณไฟถึงในห้องนอน                 “มีอะไร” อีกฝ่ายที่กำลังนั่งอ่านบทละครอยู่ เอ่ยถามคิ้วขมวด                 “เสื้อครับ…มันแพงเกินไป ผมรับไว้ไม่ได้” วาเอ่ยเสียงลำบากใจพร้อมกับยื่นถุงเสื้อคืนให้ เขาหวังจะให้อีกคนรับกลับคืนไป แต่ทว่าคุณไฟกลับใช้สายตามองมันอย่างนิ่ง ๆ ไม่มีท่าทีว่าจะรับคืนด้วยซ้ำ                 “ให้แล้ว… ไม่รับคืน”                   ขณะที่กำลังนั่งหนักใจเรื่องเสื้ออยู่ เสียงใส่รหัสผ่านและเปิดประตูก็ดังขึ้น นั่นจึงทำให้วาหันมองไปตามต้นเสียง เพื่อที่จะพบว่าพี่เจ้าได้เดินทางมาถึงแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้มาตัวเปล่า แต่ยังหอบหิ้วถุงของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตมาด้วย เพียงแค่เห็นเช่นนั้น วาก็รีบลุกขึ้นไปช่วยอีกฝ่ายหอบหิ้วถุงของไปวางไว้เคาน์เตอร์ครัวทันที                 “พี่เจ้า สวัสดีครับ”                 “สวัสดีครับน้องวา ยังตัวเล็กเหมือนเดิมเลยนะ” หลังอีกฝ่ายวางถุงของเสร็จ พี่เจ้าก็ทักทายกลับตามมารยาทพร้อมกับเอ่ยแซวอย่างในทุกครั้ง                 “วาหยุดสูงแล้ว มันได้เท่านี้แหละครับ”                 “ฮ่า ๆ” พี่เจ้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ยต่อ “แล้วนี่เป็นไร? ตอนพี่เดินเข้ามา เห็นเราแล้วนั่งคิ้วขมวดอยู่”                 “อ๋อ ก็คุณไฟน่ะสิครับให้เสื้อวามา”                 “แล้ว?”                 “มันแพงเกินไปครับ รวม ๆ แล้วก็ตั้งหลายหมื่น เมื่อกี้วาจะเอาไปคืนเขาก็ถูกไล่ออกมา เพราะคุณไฟกำลังซ้อมบทอยู่” วาริชเอ่ยคล้ายจะระบายความหนักใจเสียมากกว่าและนั่นก็ทำให้พี่เจ้าหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง                 “พี่ว่าถ้ามันให้แล้ว วาก็รับ ๆ ไว้เถอะ ที่มันให้…ก็แสดงว่ามันคิดดีแล้วล่ะ”                 “แต่มันแพงนะครับ” เขาแย้ง                 “แค่นั้น ขนหน้าแข้งไอ้ไฟไม่ร่วงหรอกน่า อีกอย่าง…พวกข้าวของแบรนด์เนม บริษัทเขาก็ส่งมาให้เองไม่ใช่เหรอ”                 “ใช่ครับ”                 ข้อดีอีกหนึ่งอย่างของการเป็นคนดังก็คงจะเป็นเรื่องนี้ อันที่จริงจะเรียกว่าแฟร์ ๆ กันทั้งคู่ก็ได้ เพราะต่างฝ่ายก็ต่างได้รับประโยชน์จากมัน เมื่อมีห้องเสื้อส่งเสื้อผ้ามาให้ คนดังก็จะมีเสื้อผ้าแบรนด์เนมใส่โดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาท ส่วนห้องเสื้อก็จะได้รับการโปรโมตแบรนด์โดยที่ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา                 “นั่นแหละ แล้วเราจะคิดมากทำไมเล่า มาช่วยพี่ทำอาหารดีกว่า” อีกฝ่ายว่าพลางตบบ่าวาปุ ๆ ราวกับจะให้เขาเลิกคิดเรื่องนี้                 “แล้ววันนี้พี่เจ้าจะทำอาหารเองทั้งหมดเลยเหรอครับ” วาริชเอ่ยถามอีกฝ่ายพร้อมพลิกดูถุงของ เพื่อเช็กว่าอีกฝ่ายซื้ออะไรบ้าง                 “ก็คิดว่านะ แต่ถ้าไม่ทันจริง ๆ เดี๋ยวเราค่อยสั่งเพิ่มก็ได้”  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม