พลั่ก!
“โอ๊ย!”
ฉับพลันก็มีชายเร่ร่อนแต่งตัวซอมซ่อสองคนผ่านมาทางนี้ ทั้งสองรีบเข้ามาช่วยเหลืออวี่ถงที่บาดเจ็บนอนกองอยู่บนพื้นพลางแสดงฝีมือวาดลวดลายต่อสู้อันเฉียบคมเอาชนะกลุ่มโจรได้ทั้งหมด พวกมันล้มตายเป็นจำนวนมาก มีแค่สองสามคนเท่านั้นที่หนีเอาตัวรอดไปได้ หวังกุ้ยฉินรีบลงจากรถม้ามาดูอาการของสามี ดวงตาสองข้างเอ่อนองด้วยหยาดน้ำตาแห่งความหวาดกลัว
“ท่านพี่เจ้าคะ! ลืมตาขึ้นมาสิเจ้าคะ” วงแขนบอบบางประคองศีรษะชายหนุ่มให้หนุนบนตักขณะร้องเรียกสติคนเจ็บให้กลับคืนมา กระทั่งเปลือกตาของเขาค่อย ๆ เปิดปรืออีกครั้ง
“จะ...เจ้าเป็นยะ...อย่างไรบ้าง” อวี่ถงกัดฟันถามด้วยความห่วงใยกลัวคนรักจะบาดเจ็บ
คนงามส่ายหน้าทั้งน้ำตา อดใจหายไม่ได้ที่เห็นเขาเจ็บตัวขนาดนี้ ตอนแรกนึกว่าเขาจะตายจากนางไปแล้วเสียอีก
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านพี่ มีคนช่วยพวกเราเอาไว้เจ้าค่ะ ท่านพี่อยู่นิ่ง ๆ ก่อนนะเจ้าคะจะได้ไม่เจ็บแผล” นางบอกสามีก่อนจะหันไปหาชายเร่ร่อน
“ขอบคุณพวกท่านมากนะเจ้าคะที่ช่วยข้ากับสามีเอาไว้” หญิงสาวรีบขอบคุณทั้งสองด้วยความซาบซึ้งในพระคุณ พวกเขาเพียงพยักหน้ารับจากนั้นจึงช่วยกันพยุงชายหนุ่มซึ่งมีบาดแผลหลายแห่งขึ้นรถม้าโดยที่เขาไม่มีเรี่ยวแรงขยับกาย
“พวกท่านจะเดินทางไปไหนกันหรือ” บุรุษหน้าตาขะมุกขะมอมเอ่ยถาม
“พวกข้าจะไปบ้านญาติที่แคว้นเซี่ยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพวกท่านพักที่บ้านพวกข้าก่อนเถอะ สามีของท่านบาดเจ็บถึงขนาดนี้คงเดินทางต่อไปไม่ไหวหรอก” ทั้งสองเสนออย่างมีน้ำใจ นางจึงพยักหน้าด้วยความยินดีเพราะหากให้เดินทางต่อไปก็ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรอีก คงไม่แคล้วอวี่ถงต้องตายกลางทางด้วยพิษจากบาดแผลเป็นแน่
“ขอบคุณพวกท่านทั้งสองมากเจ้าค่ะ คงต้องรบกวนท่านแล้ว” กุ้ยฉินก้มหัวให้อย่างมีมารยาทก่อนจะขึ้นไปนั่งในรถม้าคอยประคองผู้เป็นสามี
อาจดูเหมือนนางไว้ใจคนง่ายเกินไปถ้าโดนหลอกคงได้ตายอย่างไร้ที่ฝัง ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะมีทางเลือกมากนัก ถ้าพวกโจรย้อนกลับมาเกรงว่าต่อให้อยากหนีก็คงไม่พ้น ดวงตาหงส์ลอบมองชายเร่ร่อนทั้งสองที่อาสาบังคับม้าให้อย่างคล่องแคล่วไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งซอมซ่อพอสมควร แต่ก็สามารถอาศัยบังแดดบังฝนได้อยู่บ้าง
พวกเขาแวะซื้อยาสมุนไพรให้อวี่ถงโดยใช้เงินที่กุ้ยฉินมอบให้และยังช่วยทำแผลจนเสร็จเรียบร้อยอีกด้วย ทำให้หญิงสาวรู้สึกซาบซึ้งมากขึ้น
“พวกท่านทั้งสองมีนามว่าอะไรหรือ” อย่างน้อยควรทราบชื่อเสียงเรียงนามของผู้มีพระคุณเอาไว้
“ข้ามีนามว่าหมิงเช่อ ส่วนสหายข้าฉางจวน พวกเราเป็นคนเร่ร่อนเพิ่งเดินทางมาอาศัยอยู่ที่เมืองนี้” หมิงเช่อนั้นตัวใหญ่กว่าฉางจวนเล็กน้อย แขนข้างหนึ่งของฉางจวนดูจะมีปัญหาเพราะเขาไม่อาจขยับมันได้อย่างเต็มที่ราวกับว่ามันเคยบาดเจ็บมาก่อน
“ข้าและสามีขอขอบคุณพวกท่านยิ่งนักเจ้าค่ะ หากมีโอกาสจะกลับมาตอบแทนพวกท่านแน่นอน” โฉมสะคราญให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะหากไม่มีทั้งสองคนนี้ นางก็อาจจะตายไปแล้วก็เป็นได้ หรือไม่ก็คงถูกพวกโจรย่ำยีจนไม่มีหน้าไปสู้ใครได้อีก
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ท่านอย่าได้คิดมากเลย พวกข้าเห็นคนถูกทำร้ายไม่อาจนิ่งดูดายได้ เชิญพวกท่านพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะหายดีเถิด แม้บ้านเราจะคับแคบไปสักนิดแต่ปลอดภัยแน่นอน” เจ้าบ้านฉีกยิ้มต้อนรับแขกแปลกหน้าอย่างอบอุ่น ด้วยนิสัยชอบช่วยเหลือผู้คนทำให้พวกเขาไม่อึดอัดใจหากต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นที่ไม่เคยรู้จัก
ระหว่างที่อวี่ถงรักษาตัวอยู่ที่บ้านของคนเร่ร่อนทั้งสอง คนงามก็แบ่งทรัพย์ส่วนตัวเล็กน้อยซื้อของในตลาดมาหุงหาอาหารให้พวกเขากินประทังชีวิตและไม่ลืมแบ่งเงินบางส่วนให้พวกเขาเป็นสินน้ำใจตอบแทนความดีอีกด้วย
ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีแต่ความสงบนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน ยังไม่ทันที่อวี่ถงจะหายจากการบาดเจ็บก็มีทหารของเมืองนี้บุกเข้ามาจับทุกคนในบ้านไปที่กรมตุลาการทั้งหมด แม้กระทั่งคนเจ็บก็ยังไม่ละเว้น กุ้ยฉินรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากที่จู่ ๆ ก็โดนจับมาทั้งที่พวกนางไม่มีความผิดใดเลย กระทั่งได้ฟังข้อกล่าวหา…
“พวกเจ้าทุกคนถูกจับเพราะกระทำความผิดร้ายแรงจากการสังหารฮูหยินใหญ่ตระกูลหวังผู้เป็นมารดาและแม่ยายจนเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม ทั้งยังสมคบกันขโมยอัญมณีของตระกูลหวังมาอีก” หวังกุ้ยฉินได้ยินดังนั้นก็แทบไม่เชื่อหูตนเอง นางถึงกับทรุดลงที่พื้นไม่มีแรงจะยืนต่อไปไหว สมองมึนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคล้ายไม่ต้องการรับรู้เสียมากกว่า
ท่านแม่ตายแล้วอย่างนั้นหรือ!
จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อก่อนออกมามารดาของนางยังแข็งแรงดีอยู่เลย แล้วเหตุใดถึงได้กล่าวเช่นนี้ ทั้งยังถูกใส่ความว่านางเป็นคนฆ่ามารดาอีก จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า
“ท่านผู้ตรวจการได้โปรดฟังข้าก่อน เหตุใดจึงแจ้งว่าพวกข้าเป็นฆาตกรเล่าเจ้าคะ ในเมื่อพวกเราเดินทางออกจากจวนตั้งหลายวันแล้วในระหว่างนั้นบ่าวไพร่ล้วนเป็นพยานว่าท่านแม่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ทั้งเมื่อเดินทางไกลยังโดนกลุ่มโจรดักปล้นชิงทำร้ายระหว่างทางจนบาดเจ็บอีก” คุณหนูใหญ่ตระกูลหวังพยายามอธิบาย
“แต่ท่านหวังซ่านซูและอนุหลินมาแจ้งทางการว่าเจ้าสังหารแม่ของตนแล้วจึงหนีออกมาพร้อมกับทรัพย์สินมีค่าและสามี สองคนนี้คงเป็นพรรคพวกของเจ้าล่ะสิ” ดูเหมือนว่าข้อหานี้จะถูกสืบพยานมาเรียบร้อยแล้ว
“ข้ากับพวกเขาไม่ได้ทำนะเจ้าคะ” ดวงหน้าหวานซีดเผือดแทบไร้สีเลือดเมื่อเริ่มตระหนักได้ว่าการตายของมารดาคงมิได้เป็นเรื่องเข้าใจผิดอีกต่อไป
“ไม่ต้องแก้ตัว หลักฐานชัดเจนถึงเพียงนี้ ฆ่าบุพการีผู้ให้กำเนิดโทษหนักหนานัก จับตัวนักโทษไปขังไว้ก่อน!” สิ้นสุดคำสั่งเหล่าทหารก็เข้าควบคุมตัวนักโทษทันที
“มันไม่เป็นความจริง! พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว!” หญิงสาวโวยวายแต่ทหารกลับไม่ฟังนางเลย ทุกคนถูกจับไปขังในคุกเพื่อรอการตัดสินคดี จนกระทั่งอวี่ถงฟื้นขึ้นมาจึงรับรู้เรื่องราวทั้งหมดและพอปะติดปะต่อแผนการของฝ่ายตรงข้ามเข้าด้วยกันได้
“พะ...พี่คิดว่า พะ...พวกเราคงโดนใส่ความขะ ขะ...เข้าแล้ว” ชายหนุ่มคาดเดาจากความแปลกของเหตุการณ์นี้พลางเค้นเสียงแหบแห้งพูดออกมาอย่างยากลำบากด้วยนับแต่ฟื้นขึ้นมาเขายังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักอึกเดียว
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะท่านพี่ แต่ไม่มีหลักฐานแก้ต่างก็เท่านั้น” น้ำตามากมายทะลักทลายไหลอาบแก้มคิดย้อนกลับไปก็ตระหนักได้ว่ากลุ่มโจรพวกนั้นแทบไม่สนใจทรัพย์สินในหีบที่ขนมาในรถม้าอย่างที่ข่มขู่ตอนแรกแต่กลับสนใจตัวนางและสามีมากกว่า
“พวกมันช่างชั่วช้านัก ถึงกับใส่ความข้าที่เป็นหลานแท้ ๆ ได้ลงคอ ไหนจะกล้าลงมือกับท่านแม่…ฮึก” คิดแล้วก็พลันจุกอก สายเลือดเดียวกันยังไม่ละเว้น
อวี่ถงมองฮูหยินของตนแล้วได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดลงไปข้างใน ถ้าเขาเป็นสามีที่มีอำนาจปกป้องนางได้มากกว่านี้คงจะดีไม่น้อย มิใช่เพียงคนเลี้ยงม้าคนหนึ่งไร้หัวนอนปลายเท้าไร้ญาติพี่น้อง นางกับมารดาคงสุขสบายไม่ถูกรังแกจากคนพวกนั้น
ฮูหยินใหญ่ถูกฆ่าตายอย่างน่าเวทนาและเหี้ยมโหด ยังไม่ทันได้ไปเคารพศพกลับต้องโทษประหารตายตกตามกัน เขาเอื้อมไปกุมมือขาวผ่องไว้อย่างให้กำลังใจ ความหวังจะรอดไปได้ริบหรี่ยิ่งกว่าแสงหิ่งห้อยเสียอีก ดูก็รู้ว่าหวังซ่านซูเจตนาสร้างเรื่องขึ้นมาตั้งแต่ต้น
เพียงก้าวขาพลาดลงกับดักไปข้างหนึ่งแล้วย่อมไม่มีทางจะหลุดออกมาได้ง่าย ๆ
......................................................................................
โถลูกสาวแม่ ฮึบไว้นะลูก
รี๊ดคงเตรียมไปดักทุบคู่ผีเน่าโลงผุแล้ว ฝากเผื่อไรท์ด้วยหลายๆทีนะคะ