ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
ดวงตากลมโตจับจ้องอยู่ที่นาฬิกาโบราณ ที่มีลูกตุ้มเหล็กแกว่งเป็นจังหวะอย่างจดจ่อ หัวใจเต้นแรงเร็วเหมือนกับปืนกลด้วยตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย ขณะชะเง้อคอมองลอดผ่านประตูบ้านไม้สักทองกรุลวดลายอ่อนช้อยงดงามอย่างไม่กลัวคอจะยาว หูก็แววฟังคนรับใช้ที่ถูกสั่งการให้ไปดูลาดเลาจากบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงว่ามีรถกลับเข้ามาหรือยัง
ใบหน้ารูปหัวใจแย้มยิ้มจนแก้มแทบจะปริ ประกอบกับดวงตากลมโตเป็นประกายสุขสม เพราะการรอคอยเป็นเวลาหลายปีกำลังจะสิ้นสุดลงไปในเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้า
คนที่เธอรักมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาวกลับมาแล้ว...พี่สองกลับมาแล้ว พี่สองจะจำเธอได้ไหม จำสาวน้อยที่อยู่บ้านชิดติดกัน เด็กตัวเล็กที่คอยร้องไห้โยเยเดินตามติดไปโรงเรียนทุกวัน คอยอ้อนวอนขอขึ้นขี่หลังเพราะหวงเมื่อมีสาวน้อยหน้าแฉล้มคอยเมียงมองและส่งสายตาหวานให้ ไม่รู้ว่าพี่สองจะยังคงจำเธอได้หรือเปล่า
ยิ่งคิดมณีมณฑ์ก็เริ่มกังวลและขลาดกลัว ฟันขาวสะอาดขบกัดปลายเล็บตัวเองแรงๆ หลายปีมานี้เธอเฝ้ารอฟังข่าวศรวัณจากบ้านใกล้ๆ เป็นประจำ ก็รู้บ้างไม่รู้บ้างให้พอชื่นใจได้ว่าชายหนุ่มยังคงไม่มีในหัวใจ แต่ปีกว่ามานี้เธอกลับไม่ได้ข่าวคราวของอีกฝ่ายเลยสักนิด ไม่ว่าจะเพียรสอบถามข่าวยังไงก็ไม่เคยมีใครตอบกลับมา
“มาแล้วค่ะคุณผึ้ง มาแล้วค่ะ” แน่งน้อยสาวใช้วัยไม่ถึงยี่สิบปีที่แม่จำต้องเลี้ยงไว้เพื่อคอยดูแลเธอซึ่งมักจะเป็นลมอยู่บ่อยครั้งวิ่งกระหืดกระหอบพร้อมเสียงตะโกนเสียงดัง ร้อนไปถึงหญิงวัยกลางคนซึ่งก้าวบันไดลงมาต้องดุเสียงเขียว
“มีอะไรน้อย ตะโกนเสียงดังลั่นบ้านเชียว” มณีวรรณไม่เพียงดุด้วยใบหน้าและสายตาแต่ยังจะดุด้วยคำพูดสำทับไปอีก “ฉันสอนแล้วใช่ไหม มาอยู่บ้านนี้ต้องให้ทำตัวเรียบร้อย สำรวม ไม่ทำตัวกระโดกกระเดกเหมือนม้าดีดกะโหลก”
หญิงวัยกลางคนที่ยังคงความสง่างามและสวยใสทั้งใบหน้าและเรือนกายที่แม้จะผ่านการมีบุตรมาแล้ว แต่รูปร่างก็ยังคงอรชรอ้อนแอ้นไม่ผิดแผกเมื่อตอนสาวๆ เดินมานั่งใกล้กับบุตรสาว มือเล็กคว้าหมอนอิงถักจากเส้นไหมเนื้อนุ่มงานจากฝีมือของนางเองออกไปเพื่อจะได้ใกล้ชิดบุตรสาวมากขึ้น
“เราก็เหมือนกันผึ้ง ใช้น้อยไปทำอะไรอีกแล้วฮึ” มณีวรรณถามน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนก็จริงแต่ก็คาดคั้นเอาคำตอบ ดวงตาจับจ้องร่างลูกสาวอย่างค่อนข้างจะแปลกใจกับการแต่งกายด้วยชุดใหม่ที่เพิ่งจะอ้อนให้เธอพาไปซื้อเมื่อสองสามวันก่อน
ริมฝีปากและใบหน้าที่เคยซีดเซียวกลับเป็นสีชมพูเรื่อโดยธรรมชาติมีแววเขินอายและดวงตาที่สุกสกาวใส เห็นแล้วให้แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าลูก หน้าตาสดใสเชียว” มณีวรรณลูบแผ่นหลังลูกสาวอย่างรักใคร่ระคนเอ็นดู “ว่าไงลูก มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่านี่ค่ะ ไม่มีอะไรสักหน่อย” มณีมณฑ์ตอบกลับพลางยกมือขึ้นปัดปลายจมูกโด่งปิดบังอาการเขินอายของตัวเองจากสายตามารดาที่ดูจะรู้ทันเธอไปหมดเสียทุกอย่าง
“ไม่มีจริงหรือ แม่ไม่อยากเชื่อหนูเลยนะผึ้ง ท่าทางแบบนี้กำลังคิดจะไปทำอะไรไม่ดีกับน้อยอีกแล้วใช่ไหม”
ดวงตาคมหวานปรายไปคาดคั้นสาวใช้ร่างเล็กที่นั่งอยู่ไม่สุข ยิ่งได้เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลน อ้าปากจะพูดอยู่ก็หลายครั้งแต่ก็รีบยกมือขึ้นปิดปากเสียทุกทีไปของแน่งน้อย ก็ทำให้มณีวรรณเกิดความสงสัยยิ่งขึ้น เธอมองเด็กรับใช้และลูกสาวสลับกันไปมาคาดคั้นหาคำตอบ
ถ้าลูกสาวเป็นเหมือนกับเด็กสาวทั่วไป ก็จะไม่เป็นห่วงขนาดนี้หรอก แต่มณีมณฑ์เป็นเด็กที่สุขภาพค่อนข้างจะอ่อนแอ ตากแดดหน่อยก็เป็นลมล้มพับ ฝนตกยังไม่ทันจะถูกไอฝนก็ป่วยเป็นไข้หวัด สารพันที่จะเป็นได้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงกัน
“ว่าไงน้อย คิดจะพาคุณผึ้งไปทำอะไรอีก ถ้าคุณผึ้งป่วยฉันจะหักเงินเรานะ” มณีวรรณขู่
“โธ่...แม่ขา น้อยไม่ได้ชวนผึ้งไปทำอะไรสักหน่อย” ผู้อ่อนวัยกว่าพูดออดอ้อนเสียงหวานใส ร่างเล็กบางเอนกายพร้อมปลายนิ้วยาวเรียวที่ยกขึ้นแนบปากห้ามแน่งน้อยไม่ให้พูดเรื่องที่ให้ไปสืบ เธอรีบสอดแขนเรียวเข้าระหว่างเอวเล็กของมารดา
“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะแม่” มณีมณฑ์รีบบอก ขณะสะบัดมือไล่แน่งน้อยให้ถอยห่างไปก่อนที่ความลับจะแตก ทำให้อายมารดาที่พร่ำตักเตือนหนักหนาว่าอย่างคิดใหญ่เกินตัวด้วยไม่อยากให้ผิดหวังและช้ำชอกใจ เพราะเธอไม่คู่ควรกับศรวัณ
ในตอนแรกพ่อและแม่ของศรวัณก็รักและเอ็นดูเธออยู่พอสมควร แต่พอเธอเติบโตเป็นสาว ความรักใคร่และเอ็นดูก็เริ่มจืดจาง รวมถึงความสัมพันธ์ที่ห่างเหินจนแทบจะไม่ค่อยจะสุงสิงกันในปัจจุบัน
ที่สำคัญคือคนที่จะมาเป็นสะใภ้ของตระกูลนิโรจน์อนันต์จะต้องเป็นหญิงสาวที่มีฐานะและชาติตระกูลที่เท่าเทียมกัน ดูอย่างพี่ชายคนโตที่รักกับสาวคนหนึ่งตั้งแต่ทั้งคู่ยังเรียนมหาลัย หวังว่าจะได้แต่งงานกันเมื่อเรียนจบ กลับต้องคลาดกันไปเพราะฝ่ายหญิงมีฐานะตกต่ำลง คุณใหญ่ต้องไปแต่งงานกับผู้หญิงที่แม่เลือกให้
ที่สำคัญก็คือคนที่เธอรัก ให้ความรักและสนิทสนมต่อเธอแบบน้องสาวเท่านั้นเอง หาใช่รักแบบคนที่ต้องการจะร่วมเป็นคู่ครอง คำสัญญาที่เคยให้ไว้ก็เพียงเพราะต้องการให้เด็กน้อยอย่างเธอทำใจได้กับการไปเรียนต่อของเขาเท่านั้นเอง อีกทั้งฐานะทางสังคมก็แตกต่างกัน ครอบครัวเธอเป็นเพียงแค่พ่อค้าแม่ค้าขายของ ที่โชคดีหน่อย ของที่ขายคุณภาพดีและราคาไม่แพงเลยขายดี ในขณะที่ครอบครัวของศรวัณเป็นนักธุรกิจมีชื่อ มีทั้งเงินทองและหน้าตา
“ผึ้งรู้ค่ะแม่” ‘แต่ผึ้งก็หักห้ามใจตัวเองไม่ให้รักพี่สองไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ’ มณีมณฑ์ต่อท้ายคำตอบด้วยใจที่หมองเศร้าเล็กน้อย
หลายปีที่ศรวัณไปเรียนต่อเมืองนอก เธอได้แต่เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไหร่ชายหนุ่มจะติดต่อกลับมา แต่ก็ไม่เคยเลยที่ชายหนุ่มจะส่งข่าวคราวมาถึงเธอตามคำสัญญา อย่าว่าแต่ติดต่อมาเลย ตอนที่อยู่ใกล้ชิดกัน วันสำคัญของเธอ เขาก็ไม่เคยที่จะมีคำอวยพรหรือของขวัญให้เลย คงเป็นเธอที่เฝ้าคอยมองดูเขาอยู่ด้านหลังตลอดมา
ใบหน้านวลใสซีดเผือดลง ฟันกระต่ายสองซี่ขบกับริมฝีปากอวบอิ่มที่เหมือนกับราดด้วยน้ำเชอรี่ฉ่ำนุ่มจนเจ็บแปลบ น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าอย่างปวดแปลบใจ เมื่อความรู้สึกที่มอบให้ไปไม่ได้รับการตอบสนองกลับมาอย่างที่ใจต้องการ
แต่ไม่! มณีมณฑ์สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด เธอจะไม่ยอมแพ้หรอก ยังไงก็จะใช้ความน่ารักใสซื่อไร้เดียงสาและร่างกายที่อ่อนแอให้เป็นประโยชน์ เรียกความสนใจและพยายามดึงเอาหัวใจศรวัณมาครอบครองให้จงได้ ประกายในดวงตากลมโตมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
“รู้ก็ดีแล้วลูก เรากับเขามันคนละชั้นกัน ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ไม่คู่ควรกัน แม่รักหนู ถึงอยากให้หนูหักใจจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดเวลาที่พี่สองมีคนอื่นเคียงข้างกาย” อย่างศรวัณ ด้วยหน้าตาที่เห็นมาตั้งแต่เด็กกับฐานะทางบ้าน เป็นไปไม่ได้เลยที่ตอนนี้จะไม่มีหญิงคนไหนอยู่เคียงข้าง เธอไม่อยากให้มณีมณฑ์เจ็บช้ำใจ
มณีวรรณลูบผมดกดำหนานุ่มเป็นเงางามของบุตรสาวอย่างกลัดกลุ้มใจและเป็นกังวล ด้วยรู้ดีว่าถึงแม้มณีมณฑ์จะตอบกลับมาแบบนั้น แต่ลูกสาวคนนี้เป็นคนดื้อเงียบ ถึงแม้จะรับปากแล้ว แต่ถ้าไม่พอใจก็จะไม่ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ได้