“อะไรนะ! เตี่ยกับแม่ของแกบังคับให้แต่งงานกับคุณทาคุมิเหรอ! โห...สมัยนี้มันหมดยุคคลุมถุงชนแล้วนะเว้ยมินนี่ แล้วแกยอมไหมล่ะ”
ดารยาก็ดูทุกข์ร้อนไม่น้อย เพราะรู้ว่าเพื่อนรักไม่ได้ชอบพอกับทาคุมิ โคบายาชิ ลูกชายของทาคาชิ เจ้าของมิตซูบิชิแห่งญี่ปุ่น ขนาดตัวเธอเองยังไม่ชอบหน้าผู้ชายที่แสนจะกระด้างเย็นชาคนนี้เลย
“แล้วแกคิดว่าฉันจะปฏิเสธเตี่ยได้ไหมล่ะ”
มนต์นรีไม่อยากอธิบายเหตุผลร้อยแปดพันเก้าของบิดามารดาที่บีบบังคับให้เธอแต่งงานกับทาคุมิให้ดารยาฟังเลย เพราะมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน
“ไม่มีทางเลือกอื่นเลยเหรอ”
คนที่กำลังกลุ้มใจมากที่สุดส่ายหน้า “ฉันยังมองไม่เห็นทางเลย ฉันถามเตี่ยเหมือนกันว่ามีวิธีไหนที่ฉันจะไม่ต้องหมั้นหมายและแต่งงานกับอีตาทาคุมินั่น เตี่ยบอกว่าทางเดียวที่จะไม่ต้องแต่งงานกับเขา คือให้ฝ่ายชายเป็นฝ่ายยกเลิกการแต่งงานเอง เพราะเตี่ยไม่อยากผิดคำพูด”
ดารยาซึ่งเป็นจอมแผนการมาแต่ไหนแต่ไรทำท่าครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพื่อนรักกำลังพูด ทางเดียวที่มนต์นรีจะไม่ต้องคลุมถุงชนก็คือ ให้ผู้ชายเป็นฝ่ายยกเลิกเอง ดวงตาเรียวรีคู่สวยกลิ้งกลอกไปมาสองสามวินาที
“ฉันคิดออกแล้ว!”
มนต์นรีสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกำลังใจลอยอยู่ “แกนี่ ทำเอาฉันตกอกตกใจหมดเลย คิดอะไรออกฮะ”
“ฉันคิดว่าแกก็หาผู้ชายดีๆ รวยๆ สักคนมาแกล้งแสดงเป็นคนรักของแกสิ แล้วก็ก็บอกว่าแกกับเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว ประมาณนี้ ฉันว่านายทาคุมินั่นคงจะเลิกยุ่งกับแกแน่ เชื่อฉันสิ”
มนต์นรีตาโตเมื่อเพื่อนรักเสนอแนะวิธีที่มันเหมือนในละครน้ำเน่าไม่มีผิด
“บ้าน่ะสิ แล้วแกว่าจะมีผู้ชายดีๆ ที่ไหนจะมาเสี่ยงเป็นสามีจอมปลอมของฉัน แล้วยังต้องแสดงเป็นผัวเมียกันอีก โอ๊ย...ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
“แหมมินนี่ ฉันเห็นแกควงพระเอกละครมาตั้งสองสามคน แกก็เลือกเอาสักคนมาเล่นละครตบตาเตี่ยกับแม่ของแกสิ เล่นละครแค่ไม่นาน พอนายทาคุมินั่นขอล้มเลิกงานแต่ง แกก็จ่ายเงินเขาไป ไม่เสียหายหรอกน่า”
คนฟังถอนหายใจยาวออกมาหนักๆ กับวิธีการเชยๆ ของเพื่อนรัก เวลาแค่ไม่กี่วัน เธอจะหาผู้ชายดีๆ ที่ไหนมาเล่นบทสามีกำมะลอให้เธอ คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงให้แฟนสาวของตนเองเข้าใจผิดและหึงหวงเอาหรอก
เพราะหญิงสาวคิดว่าผู้ชายดีๆ รวยๆ มักจะมีเจ้าของกันหมดแล้ว ที่สำคัญเธอไม่กล้าเอาตนเองไปเป็นเมียกำมะลอของใครหรอก ไม่อยากเสียใจทีหลัง
“ช่างเถอะ เรื่องของฉันเดี๋ยวค่อยคิด ตอนนี้ฉันหิวแล้วไปหาอะไรกินก่อนเถอะ” มนต์นรีตัดบทเพราะเริ่มรู้สึกหิว
“โอเค ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน”
“ดารา”
“หือ?”
“คืนนี้ขอค้างที่คอนโดด้วยคนนะ ไม่อยากกลับไปนอนบ้าน ยังไม่อยากเห็นหน้าเตี่ยตอนนี้” ทุกครั้งที่มีเรื่องกับทางบ้าน มนต์นรีชอบมาค้างกับดารยาเป็นประจำ เพราะดารยาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ที่ไม่เคยทอดทิ้งเธอ ไม่ว่าเธอจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูกดารยาก็มักจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ
“อือ ฉันพอเข้าใจ งั้นตอนนี้เราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยมานอนดูหนังเรื่องใหม่ที่ฉันซื้อมาเมื่อวานตั้งสองเรื่องแน่ะ คืนนี้ทำใจให้สบาย แล้วถ้ายังไม่หายเซ็ง พรุ่งนี้เราไปช้อปกัน ถ้ายังไม่หายเครียดอีก ฉันจะพาแกไปเปิดหูเปิดตาที่ผับของฉัน ฉันรู้ว่าแกไม่ชอบเที่ยวกลางคืน แต่ว่าไปเที่ยวผับฉันแกไม่ต้องห่วง ฉันในฐานะเจ้าของผับจะดูแลแกเอง”
คืนนี้เฮ็นริคมาปลดปล่อยอารมณ์ที่ผับหรูแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานครกับกฤษณะพี่ชายของเกวลิน เพื่อนใหม่คนนี้มีนิสัยต่างกับน้องสาวของเขาโดยสิ้นเชิง และเฮ็นริคก็เพิ่งรู้ว่าสองพี่น้องไม่ค่อยจะถูกกัน เพราะเกวลินเป็นคนขี้อิจฉา หล่อนอิจฉาแม้กระทั่งพี่ชายของตนเอง
ชายหนุ่มสังเกตจากเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ช่วงที่เขาเข้าไปดูงานในบริษัทในเครืออัครพิบูล กรุ๊ป ก็เห็นพฤติกรรมของเกวลินที่มีต่อพี่ชายของตนเองเหมือนจะอิจฉาและไม่พอใจที่เห็นเขาให้ความสนิทสนมกับกฤษณะมากกว่า แต่เฮ็นริคไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้ สาเหตุที่ชายหนุ่มมาดื่มที่นี่คืนนี้ก็เพราะเขาได้รับคำขอร้องจากเจ้าสัวไชยวัฒน์ให้เป็นคนเทรนงานด้านบริหารให้กับเกวลินนั่นเอง
เฮ็นริคไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมท่านเจ้าสัวถึงได้มาขอร้องเขาในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ทั้งที่คนเป็นพ่อกับพี่ชายก็สามารถสอนงานเกวลินได้ พอถามเหตุผลกลับไปท่านเจ้าสัวก็บอกว่า ท่านต้องการให้ลูกสาวของตนเองได้เรียนรู้ประสบการณ์จากเขาบ้างก็เท่านั้นเอง
‘แค่นี้หรือคือเหตุผลที่แท้จริงของท่านเจ้าสัวไชยวัฒน์ อัครพิบูล ผู้ฉลาดเฉลียว ไม่อยากจะเชื่อเลย ให้ตายสิ’
เวลาหนึ่งอาทิตย์นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาคงไม่ต่างอะไรกับฝาผนังบ้านที่มีตุ๊กแกตัวเมียเกาะแจติดหนึบไม่ยอมปล่อย ทั้งที่เขาเพิ่งสลัดหล่อนทิ้งมาหมาดๆ แต่กลับต้องมาพบหล่อนอีกครั้งในฐานะลูกสาวของคู่ค้าคนสำคัญ ใบหน้าหล่อเหลาคมสันส่ายไปมาอย่างเบื่อหน่าย แก้วของเหลวสีอำพันถูกกระดกลงคออีกครั้งอย่างเซ็งๆ
กฤษณะมองเพื่อนใหม่อย่างเข้าใจ หลังจากที่รู้ว่าเฮ็นริคต้องจำใจยอมรับปากบิดาของเขาไปเป็นคนเทรนงานให้กับเกวลิน น้องสาวที่ร้ายกาจและสุดแสนจะเอาแต่ใจของเขา น้องสาวที่ไม่ค่อยกินเส้นกับเขานัก
“กฤษณ์ขา ป่านดีใจจังที่ได้พบคุณที่นี่”