สิบปีต่อมา
“บอสคะ พลอยเอาเอกสารมาให้เซ็นค่ะ ส่วนนี่เป็นของจากคุณแนนนี่ค่ะ พอดีเธอมาตอนที่บอส ประชุมอยู่ จึงฝากของไว้กับพลอย ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะคะ”
พลอยไพลิน เลขาสาวสวยของวินเซนต์เอ่ยขึ้นหลังจากที่เอาเอกสารกับของที่ ชลดา ว่าที่คู่หมั้นที่มารดาของวินเซนต์หามาให้ฝากเอาไว้เข้ามาให้ก่อนจะเอ่ยขอตัวออกจากห้องทำงานของเจ้านายหนุ่มไป โดยที่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักนิด ยังคงนั่งทำงานของตนเองไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน เขาจึงเก็บของแล้วเรียกเลขาคู่ใจมาหาเพื่อออกไปดื่มกับพวกเพื่อนๆที่นัดเขาเอาไว้
วินเซนต์เติบโตขึ้นเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง เขามุ่งมั่นทำงานพิสูจน์ให้กับคนในบริษัทของบิดาเห็นว่าเขามีคุณสมบัติพอที่จะขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุด จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วเขาก็ทำสำเร็จ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มผู้รักสนุก แต่เรื่องงานเขาไม่เคยเป็นสองรองใคร ชายหนุ่มออกเที่ยวกับพวกเพื่อนๆแทบทุกคืน แต่ก็มาทำงานทุกวันไม่เคยขาดเช่นกัน
“เฮ้ย มาแล้วเหรอไอ้เซนต์ นั่งๆๆๆ”
เอกภพ หนึ่งในเพื่อนสนิทของวินเซนต์เอ่ยขึ้นหลังจากเห็นเขาเดินเข้ามาพร้อมกับเลขาหนุ่มคู่ใจ ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งลงข้างกัน
“ไปจัดสาวๆมาเพิ่มสองคน เอาเด็ดๆล่ะ ทริปไม่อั้น ฮ่าฮ่าฮ่า”
เอกภพร้องบอกเด็กเสิร์ฟที่รู้จักกันดีเพราะพวกเขาเป็นขาประจำของผับแห่งนี้ ก่อนที่เด็กเสิร์ฟจะเดินยิ้มออกไปอย่างรู้กัน
“ทำไมมาเร็วจังวะวันนี้”
เอกภพถามขึ้น
“เบื่อๆว่ะ”
วินเซนต์บอกออกมาพร้อมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด ทำเอาเอกภพอดหันมากระซิบกับ มาวินเลขาหนุ่มคู่ใจของวินเซนต์ไม่ได้
“มันไปเครียดอะไรมาว่ะ”
เอกภพถามออกมาอย่างอยากรู้
“ก็เรื่องเดิมๆมั้งครับ”
มาวินตอบออกมาเพราะเรื่องที่วินเซนต์จะเครียดหนักๆก็มีเพียงไม่กี่เรื่อง ถ้าไม่ใช่เรื่องที่มารดาหาสาวมาให้ก็คงเป็นเรื่อง รักแรกฝังใจ ส่วนเรื่องงานน่ะเหรอ วินเซนต์แทบจะไม่เคยเครียดเลยสักครั้ง เพราะเขามั่นใจว่าเขาแกร่งพอที่คนอื่นจะไม่สามารถเข้ามาก่อกวนเขาได้ เพราะวินเซนต์เป็นคนฉลาดในการทำธุรกิจ จนทำให้บริษัทขึ้นเป็นที่หนึ่ง ทางด้านการโรงแรมภายในเวลาแค่ปีเดียว จนทุกคนต่างยอมรับในความสามารถของชายหนุ่ม
จากนั้นพวกผู้หญิงที่เอกภพให้คนไปตามมาบริการสองหนุ่มก็เดินเข้ามานั่งลงข้างกายอย่างรู้งาน ทั้งสามนั่งดื่มกันจนดึกดื่นก่อนแยกย้ายกันกลับ โดยมีหญิงบริการติดไม้ติดมือไปด้วย ยกเว้นเสียแต่วินเซนต์ เพราะเขามีคู่ขาประจำอยู่แล้ว และก็มีหลายคนเสียด้วย
“แซมมี่ คืนนี้มาหาผมที่คอนโดหน่อย”
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคู่ขาหนึ่งในหลายคนก่อนที่จะขับรถตรงกลับคอนโดทันที ส่วนมาวินก็เช่าห้องที่ผับไปตามระเบียบ
“อ๊ะๆๆๆๆ เซนต์คะ เบาๆ อื้อ เบา แซมมี่เจ็บ อ๊ะ อื้อ เจ็บ อ๊ะ”
เสียงแซมมี่คู่ขาของวินเซนต์ร้องบอกออกมาด้วยรู้สึกเจ็บปวดตรงกลางกายสาว เพราะวินเซนต์เอาแต่กระแทกกระทั้นใสเธอทันทีที่เธอมาถึง ไม่มีการเล้าโลมใดๆทั้งสิ้น จนเธอรู้สึกเจ็บเสียดมากกว่ามีความสุขเสียอีก
ตับๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“เงียบไป แค่ครางก็พอ อ๊าส!! อื้ม”
วินเซนต์กัดฟันบอกออกมาก่อนที่จะกระแทกเข้าใส่ร่องสาวของแซมมี่รัวเร็วและแรงขึ้นตามความต้องการที่กำลังจะปลดปล่อยออกมา จนหญิงสาวหัวสั่นหัวคลอนก่อนที่บทรักอันแสนทรหดสำหรับหญิงสาวจะสิ้นสุด วินเซนต์ลุกออกจากร่างสวยทันทีพร้อมกับจับถุงยางโยนทิ้งข้างเตียง
“เสร็จแล้ว ถ้าเจ็บก็รีบออกไป ก่อนที่ผมจะเอาคุณอีกรอบ”
วินเซนต์บอกออกมาอย่างอารมณ์เสีย พร้อมกับเดินเข้าห้องน้ำไปล้างเนื้อล้างตัวโดยมีสายตาโกรธเคืองจากแซมมี่มองตามไปก่อนจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
“นี่ถ้าไม่คิดว่าเงินถึง ฉันไม่มาหรอก เสียของหมด ฮึ่ย”
แซมมี่อดบ่นออกมาไม่ได้ เพราะวินเซนต์ถือเป็นหนึ่งในหลายๆคนที่สาวๆต่างหมายปอง เขาเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องบนเตียง ที่ผู้หญิงทุกคนฟันธงว่าแทบไม่เคยมีความสุขเลยเวลามีอะไรกับชายหนุ่ม เนื่องจากวินเซนต์ไม่มีคำหวาน ไม่มีความอ่อนโยนใดๆทั้งสิ้น เหมือนกับว่าเขาเรียกพวกเธอมาแค่ปลดปล่อย แล้วก็ไล่กลับอยู่แบบนี้เป็นประจำ ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าเขารวย กระเป๋าหนัก พวกเธอคงไม่ยอมทนอยู่อย่างนี้แน่นอน เพราะน้องสาวของพวกเธอกว่าจะกลับเข้าที่ก็ต้องใช้เวลาหลายวัน ทำให้พวกเธอขาดรายได้จากตรงนั้นไป
ส่วนวินเซนต์เมื่อออกมาจากห้องน้ำ เขาก็เดินออกจากห้องนี้ตรงไปที่ห้องนอนใหญ่ของตนเองทันที ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนอย่างเบื่อหน่าย มือใหญ่เอื้อมไปหยิบรูปของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่อยู่ในใจเขามาตลอดหลายสิบปีอย่างคิดถึง
“ตอนไหนพี่จะกลับมา ผมคิดถึงพี่จะตายอยู่แล้ว...พี่ไผ่”
เขาพูดออกมากับรูปของต้นไผ่ ก่อนจะเอาแนบอกแล้วหลับไปเหมือนเช่นทุกวัน ตลอดสิบปีที่ผ่านมา วินเซนต์นั้นแทบไม่เคยลืมต้นไผ่ได้เลยสักครั้ง เขาเคยบินไปถึงสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อไปหาเธอถึงสองครั้ง แต่ก็กลับผิดหวังกลับมา เมื่อหญิงสาวนั้นเป็นนักกิจกรรม เธอไปทำงานอาสาอยู่อีกประเทศหนึ่ง เขาจึงบินกลับประเทศไทยด้วยความผิดหวังเพราะเธอไปออกค่ายอาสา จนเวลาล่วงเลยมาถึงสิบปี เขาก็แทบไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหน เพราะงานรัดตัวแทบดิ้นหนีไปทางไหนไม่ได้
“บอสครับ บ่ายโมงวันนี้จะมีผู้บริหารจากต่างประเทศเข้าร่วมการประชุม เรื่องการร่วมทุนที่จะเอาลูกทัวร์มาลงที่โรงแรมของเรานะครับ”
มาวินบอกออกมาในขณะวินเซนต์ยังนั่งเซ็นเอกสารอยู่อย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก
“ฉันจำเป็นต้องเข้าเหรอ ให้เสกสรรเข้าแทนก็แล้วกัน มันทำหน้าที่ประสานงานอยู่แล้วนี่”
วินเซนต์บอกออกมา ก่อนจะก้มหน้าสนใจงานตรงหน้าต่อ ทำเอามาวินถึงกับกุมขมับ เพราะงานนี้ถือเป็นการร่วมทุนครั้งใหญ่กับบริษัททัวร์ระดับโลกที่กำลังจะเข้ามาตีตลาดในไทย ซึ่งทางนั้นอุตส่าเลือกเครือโรงแรมของวินเซนต์เพื่อที่จะส่งลูกทัวร์มาลงที่โรงแรมทุกโรงแรมในเครือของเขา แต่วินเซนต์กลับจะให้เสกสรร ซึ่งเป็นลูกชายของหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของบริษัทเข้าแทน ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเสกสรรทำอะไรแทบไม่เป็น นอกจากประจบคนโน้นคนนี้ไปวันๆ จนต้องให้ไปทำงานด้านประชาสัมพันธ์บริษัทแทน เพราะไม่อยากให้จับงานด้านกลยุทธ์นั่นเอง
“โธ่บอสครับ ขานั้นเขาเข้าอยู่แล้ว แต่ถ้าบอสไม่เข้า รับรองทางโน้นเขาไม่เซ็นสัญญากับทางเราแน่นอนครับบอส นี่เป็นบริษัทใหญ่ด้วย ถ้าผิดพลาดขึ้นมา มีหวังคนอื่นได้เนื้อชิ้นใหญ่ไปแน่ๆครับ”
มาวินบอกออกมา แต่วินเซนต์กลับไม่สนใจ
“ก็ดี ให้มันโดนบ้างก็ดี จะได้รู้ว่าบริษัทนี้ไม่ใช่สนามเด็กเล่น หัดทำงานเสียบ้าง”
วินเซนต์พูดออกมาก่อนจะไล่มาวินให้ออกจากห้องทำงานของเขาไป เพราะเขาจะทำงานต่อ จนมาวินต้องจำใจเดินออกไป เพื่อแจ้งให้เสกสรรรู้ว่าวินเซนต์ไม่เข้าร่วมประชุม จนเสกสรรต้องโวยวายตามสายมา เพราะกลัวตัวเองทำพลาด
ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ เมื่อ ถึงเวลาประชุม เสกสรรที่เป็นหัวหน้าเข้าร่วม แทบจนหนทางไม่สามารถตอบสนองความต้องการของอีกฝั่งได้ จนผู้บริหารฝั่งนั้น ขอชะลอการลงทุนซึ่งความหมายจริงๆของคำนั้นคือ ยกเลิกสัญญานั่นเอง