อารามผิงอันภายในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณ
เด็กน้อยนาม ลี่เซียน[1] ซึ่งได้รับการถ่ายทอดพลังวัตรยื้อชีวิตเมื่อแรกเกิดจากเจ้าอารามผู้เปี่ยมเมตตา ต่อมายังคร่ำเคร่งปฏิบัติธรรมและฝึกฌานอย่างเคร่งครัดนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก ลูกศิษย์ลูกหาในสำนักพรตยังไม่เคยหวงแหนพลังปราณต่อนาง
คืนนั้นเป็นคืนเดือนเพ็ญ จันทร์กระจ่างลอยเคว้งกลางนภากว้าง เหมาะแก่การรับพลังหยินเสริมพลังวัตร นางจึงวิ่งเล่นนอกอารามเพื่ออาบแสงจันทร์ไปทั่วหุบเขาอย่างซุกซนตามวิสัย
ท่ามกลางราตรีกาลสลัวราง บนยอดเขาสูงชันตั้งตระหง่านลูกหนึ่ง เงาร่างของเด็กหญิงชุดขาวพิสุทธิ์กำลังไต่ขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วว่องไว เมื่อปีนขึ้นมาได้ก็วิ่งวนจนกระทั่งบังเอิญมาเจอกับชายชราผู้หนึ่งแฝงซึ่งบุคลิกยอดคนผู้เร้นกายสันโดษ แผ่ซ่านกลิ่นอายเฉกเช่นเซียนผู้บำเพ็ญเพียรตบะจนกล้าแกร่ง
นักพรตเฒ่าผมขาวหนวดขาวเครายาวสยายลู่ลมผู้นี้คืออดีตจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ เซียนหย่งสือ
ผู้เลือกวางอาวุธสังหารแล้วเร้นกายสู่ทางธรรม
เขาเลือกฝึกตบะบำเพ็ญฌานอยู่ภายในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณแห่งนี้มานานมากแล้ว
ลี่เซียนปรากฏกายในขณะที่กำลังมีคลื่นพลังมหาศาลไหลวนรอบชายชราผู้นั้น
ซึ่งกำลังร่ายพิธีกรรมอลังการแห่งฌานขั้นสูง
ภายใต้การบริกรรมคาถาคือดวงจิตของนางมารนามว่า ซานซาน แม่นางน้อยที่บังเอิญอยู่ไม่ไกล จึงได้รับผลพวงจากวิชาดูดวิญญาณอันร้ายกาจโดยมิได้คาดฝัน
ยามนั้นเด็กหญิงลี่เซียนอายุแค่แปดขวบ กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่ว่าใครก็หานางไม่เจอ
เมื่อดวงวิญญาณหลุดลอย กายหยาบสลาย เด็กหญิงนับเป็นเซียนตัวน้อยเพราะบำเพ็ญฌานยาวนานจนเข้าสู่ขั้นที่ห้า จึงพอมีพลังแก่กล้าติดกายอยู่บ้าง
ยามที่ดวงจิตถูกกระชาก นางสามารถหาสิ่งยึดเหนี่ยวได้ทันท่วงที
และสิ่งนั้นคือกำไลหยกลายคราม
สมบัติล้ำค่าชิ้นเดียวที่สวมอยู่ตรงข้อเท้าไม่เคยห่างกาย
กำไลหยกลายคราม ตัวแทนมารดาผู้ลาลับ
กลับเป็นที่สิงสถิตของดวงจิตแม่นางน้อยผู้หนึ่ง
หลายร้อยปีต่อมา...กำไลหยกล้ำค่ายังคงเดินทางยาวนานผ่านกาลเวลา
บางคราถูกค้นพบโดยสัตว์นักล่า เมื่อมันเห็นว่าไม่สามารถกินได้ก็คาบไปทิ้ง บางคราถูกเก็บได้โดยมนุษย์ผู้โชคดี นำไปขายได้เงินมาใช้จ่ายอิ่มหนำ บางครั้งยังถูกสวมใส่อยู่บนข้อมือคุณหนูสูงส่ง กระทั่งตกเป็นทรัพย์สินตกทอดสู่ลูกหลาน
การเดินทางยังคงยาวนานอยู่เช่นนั้น กระทั่งกลายเป็นสมบัติติดกายราชนิกุลสูงศักดิ์ ยามเจ้าของร่างกายสิ้นสลายยังได้อยู่ในโลงไม้สลักทองคำด้วยกัน
ครั้นมีโจรขุดสุสานฝีมือฉกาจบังเอิญค้นพบ ยังถูกนำไปท่องหล้าอย่างบ้าคลั่ง เจอการฆ่าฟันแย่งชิงระหว่างโจรด้วยกัน จนสมบัติตกกระจายไปทั่วสารทิศ กำไลหยกลายครามยังกระเด็นตกแม่น้ำไหลเชี่ยว ถูกเกลียวคลื่นกลืนกินเนิ่นนาน
กระทั่งกาลเวลาผันผ่าน ดินน้ำผันแปร กำไลวงหนึ่งจึงปรากฏบนผิวดิน ฝุ่นจับเก่าคร่ำ จากที่ต้องอาศัยเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวกลับถูกกักขัง
ลี่เซียนบัดนี้มีกำไลหยกดึงรั้งวิญญาณจนติดตรึงมิอาจหลุดออกมาเปิดหูเปิดตามองดูใต้หล้าที่เปลี่ยนไป นางจึงทำได้เพียงถือโอกาสฝึกฌานไปเช่นนั้น
จากขั้นปล่อยวางเมื่อแรกเข้ามาฝังวิญญาณในกำไล ยามนี้แม่นางน้อยฝึกล่วงพ้นขั้นว่างเปล่า[2] เข้าสู่ขั้นมหายาน[3]แล้ว
ชายแดนระหว่างแคว้นต้าถังกับแคว้นเทียนเป่ย
พื้นที่ราบเวิ้งว้าง ทั้งแห้งแล้งและทุรกันดาร อันเป็นสถานที่โรมรันของเหล่าทหารระหว่างแคว้น
กระบวนทัพทหารนับหมื่นพันแปรผันตามสถานการณ์ประจัญบาน คล้ายมวลมหาคลื่นซัดสาดใส่หินโสโครกขนาดใหญ่
ล่วงพ้นสายัณห์ข้ามผ่านสนธยาจนอรุณรุ่งมาเยือนกระทั่งแสงแดดแผดเผาไปทั่วนภาเห็นสีแดงฉานเต็มสองตา
การนี้ศึกเกิดขึ้นมาหลายราตรี สมรภูมิรบในยามนี้ไม่ต่างอันใดกับนรกเดือด
สายลมพัดผ่านหอบกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง โชยกลิ่นอายแห่งความตายแผ่ซ่านไปทั่วธรณี
ลูกธนูกราดยิงถี่ยิบ หอกกระแทก โล่ปะทะ ดาบกระบี่กวัดแกว่ง โลหิตซ่านเซ็น ชีพคนปลิดปลิว ม้าห้อล้มร่วง
เสียงกู่ก้องคำรามฮึกเหิมผสานเสียงเกือกม้าและเสียงธนูแหวกอากาศดังตามด้วยเสียงร้องอนาถกึกก้องทะลุฟ้า
ทุกที่มีแต่เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็น ทุกที่มีแต่ความตาย
ท่ามกลางการต่อสู้ฟาดฟันประหนึ่งเกลียวคลื่นดำทะมึน กลุ่มทหารพุ่งปราดสี่ทิศเหยียบย่ำพื้นดินจนฝุ่นตลบฟุ้ง กำไลหยกวงหนึ่งแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น วิญญาณดรุณีน้อยทำได้เพียงเพ่งพิศเหตุการณ์รอบด้านเหมือนหลายร้อยปีที่ผ่านมา นางทำอันใดมิได้มากไปกว่านั้น เพราะถูกกักขังฝังแน่นยากหลบเลี่ยง
ชั่วขณะหนึ่งเกือกม้าพลันกระหน่ำตรงพื้นดินที่มีกำไล หวิดเหยียบย่ำถูกหยกเก่าคร่ำ พริบตาพลันมีด้ามทวนเหล็กไหลกระแทกซ้ำกระทบกำไลหยกพอดิบพอดี ลี่เซียนเบิกตาโพลงอยู่ในสิ่งสิงสถิต เสียงดัง ‘ตึง’ เกิดขึ้นจนแก้วหูเด็กสาวสะเทือน
เสี้ยวเวลากำไลหยกพลันแตกดังเปรี๊ยะ
สายลมหอบใหญ่พัดผ่าน ฝุ่นดินตลบฟุ้ง การต่อสู้โรมรันกำลังประจัญบาน เจ้าของทวนเหล็กควบม้าตะบึงพุ่งทะยานใส่ศัตรูอย่างเหี้ยมหาญ ใบหน้าคมคายภายใต้หน้ากากเพียงครึ่งเผยแววตาคมเข้มรัตติกาลร้อนแรงดุจเพลิง เรือนกายแกร่งส่งตัวตน สองแขนแข็งแรงส่งพลังไม่ยั้งมือ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเบื้องหลังกำลังมีควันสีขาวพร่างพราวพวยพุ่งขึ้นเหนือพื้นดิน มีเนตรงามดั่งดวงดาวสุกสกาวคู่หนึ่งจับจ้องมาที่เขาไม่วางตา...
----[1] ****ลี่เซียน แปลว่า นางฟ้าแสนสวย
[2] ขั้นที่แปดจากสิบขั้น เป็นขั้นที่พลังปราณและจิตหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
[3] ขั้นที่เก้าจากสิบขั้น เป็นขั้นที่ค่อยๆ สั่งสมพลังปราณมหาศาล จนกระทั่งแข็งแกร่งก็จะสามารถก้าวเข้าสู่วิถีเซียนขั้นต้น
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นแนวรักโรแมนติก มิใช่แนวเทพเซียนหรือแนวยุทธภพแต่อย่างใด แค่มีพลังเร้นลับระดับเหนือกว่ายุทธจักรเท่านั้น